วันนี้(4มิ.ย.)ค่ายรถยนต์มิตซูบิชิฉลองการผลิตรถยนต์ครบ 5 ล้านคันในไทย พร้อมยันภายในสิ้นปีนี้เตรียมเดินหน้าเจรจาบีโอไอ ดันไทยสู่ฐานการผลิตรถยนต์พลังงานไฟฟ้า เล็งเริ่มต้นจากระบบ PHEV ก่อนขยับสู่ EV ล้วน เชื่อความนิยมจะเกิดขึ้นได้ต้องเริ่มจากโครงสร้างพื้นฐานที่ดี ชี้การเปลี่ยนผ่านเทคโนโลยีต้องระวังผลกระทบเกิดขึ้นกับซับพลายเออร์ผู้ผลิตชิ้นส่วนเกี่ยวเนื่อง
นายโอซามุ มาสุโกะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร มิตซูบิชิ มอเตอร์ส คอร์ปอเรชั่น และที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ด้านการลงทุนของไทย สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนหรือบีโอไอ เปิดเผยในงานฉลองความสำเร็จกับการดำเนินธุรกิจในประเทศไทย หลังจากผลิตรถยนต์ครบ 5 ล้านคันที่ศูนย์การผลิตแหลมฉบัง โดยรถยนต์คันที่ 5 ล้าน คือ มิตซูบิชิ ปาเจโร สปอร์ต ว่า มิตซูบิชิกำลังศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับการยื่นแผนการลงทุนในโครงการรถยนต์แบบพลังงานไฟฟ้า ตามที่บีโอไอกำหนดไว้ว่าต้องไม่เกินวันที่ 31 ธันวาคม 2561 หรือภายในสิ้นปีนี้
“เรายอมรับว่าเทรนด์ของตลาดทั่วโลกกำลังมุ่งไปที่รถยนต์พลังงานไฟฟ้า ในกลุ่มของประเทศที่พัฒนาแล้วจะเห็นการเติบโตได้รวดเร็วกว่า โดยปัจจัยสำคัญที่จะทำให้ความนิยมเกิดขึ้นได้ ต้องเริ่มต้นจากความพร้อมของโครงสร้างพื้นฐานที่ดี รวมถึงการผลักดันนโยบายจากภาครัฐในแต่ละประเทศ” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร มิตซูบิชิ มอเตอร์ส คอร์ปอเรชั่น กล่าวและว่า
สำหรับตลาดในประเทศไทย มิตซูบิชิมีแผนจะเริ่มต้นจากรถยนต์ไฟฟ้าแบบผสม กลุ่มปลั๊ก-อิน ไฮบริด หรือ PHEV ก่อน แล้วจึงค่อยขยับไปสู่กลุ่มรถยนต์ไฟฟ้าแบบแบตเตอรี่ หรือ EV ซึ่งอย่างหลังอาจต้องใช้ระยะเวลาประมาณ 10 ปี หรือเร็วกว่านั้น ทั้งนี้ ต้องขึ้นอยู่กับความต้องการของผู้บริโภคเป็นหลักด้วย
“ผมเห็นด้วยกับนโยบายไทยแลนด์ 4.0 ซึ่งเป็นนโยบายในระยะยาวของไทยที่มุ่งสร้างการเติบโตให้แก่อุตสาหกรรมยานยนต์ ส่วนในรายละเอียดเงื่อนไขต่างๆ ที่ทางบีโอไอจัดทำแพคแกจไว้ ทางเรากำลังพิจารณา และเชื่อว่าทางภาครัฐจะมีความยืดหยุ่น หากได้เจรจารับฟังความคิดเห็นและความต้องการจากค่ายรถยนต์ที่แสดงความสนใจอย่างจริงจัง” นายโอซามุ กล่าว
อย่างไรก็ตาม ปัญหาใหญ่ที่ค่ายรถยนต์ต่างต้องคำนึงถึงควบคู่ไปกับการพัฒนาเทคโนโลยีการใช้พลังงานสะอาดและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม นั่นคือ การเปลี่ยนผ่านเทคโนโลยีต้องระวังอย่าให้เกิดผลกระทบกับซับพลายเออร์ผู้ผลิตชิ้นส่วนเกี่ยวเนื่องสำหรับรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายใน
ทั้งนี้ มิตซูบิชิ มอเตอร์ส เริ่มต้นดำเนินธุรกิจในประเทศไทย ในปี 2504 และผลิตรถยนต์ครบ 1 ล้านคันในปี 2546 ก่อนจะผลิตครบ 2 ล้านคันในปี 2553 และผลิตครบ 3 ล้านคันในปี 2556 และต่อเนื่องครบ 4 ล้านคันใน 2558 โดยในจำนวนการผลิต 5 ล้านคันในปี 2561 นี้ เป็นการผลิตเพื่อส่งออก 3.7 ล้านคัน โดยโรงงานผลิตรถยนต์ 3 แห่งในนิคมอุตสาหกรรมแหลมฉบัง นับว่าเป็นศูนย์การผลิตนอกประเทศญี่ปุ่นที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของมิตซูบิชิ มอเตอร์ส มีกำลังการผลิตสูงถึง 424,000 คันต่อปี และส่งออกไปกว่า 120 ประเทศทั่วโลก.
นายโอซามุ มาสุโกะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร มิตซูบิชิ มอเตอร์ส คอร์ปอเรชั่น และที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ด้านการลงทุนของไทย สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนหรือบีโอไอ เปิดเผยในงานฉลองความสำเร็จกับการดำเนินธุรกิจในประเทศไทย หลังจากผลิตรถยนต์ครบ 5 ล้านคันที่ศูนย์การผลิตแหลมฉบัง โดยรถยนต์คันที่ 5 ล้าน คือ มิตซูบิชิ ปาเจโร สปอร์ต ว่า มิตซูบิชิกำลังศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับการยื่นแผนการลงทุนในโครงการรถยนต์แบบพลังงานไฟฟ้า ตามที่บีโอไอกำหนดไว้ว่าต้องไม่เกินวันที่ 31 ธันวาคม 2561 หรือภายในสิ้นปีนี้
“เรายอมรับว่าเทรนด์ของตลาดทั่วโลกกำลังมุ่งไปที่รถยนต์พลังงานไฟฟ้า ในกลุ่มของประเทศที่พัฒนาแล้วจะเห็นการเติบโตได้รวดเร็วกว่า โดยปัจจัยสำคัญที่จะทำให้ความนิยมเกิดขึ้นได้ ต้องเริ่มต้นจากความพร้อมของโครงสร้างพื้นฐานที่ดี รวมถึงการผลักดันนโยบายจากภาครัฐในแต่ละประเทศ” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร มิตซูบิชิ มอเตอร์ส คอร์ปอเรชั่น กล่าวและว่า
สำหรับตลาดในประเทศไทย มิตซูบิชิมีแผนจะเริ่มต้นจากรถยนต์ไฟฟ้าแบบผสม กลุ่มปลั๊ก-อิน ไฮบริด หรือ PHEV ก่อน แล้วจึงค่อยขยับไปสู่กลุ่มรถยนต์ไฟฟ้าแบบแบตเตอรี่ หรือ EV ซึ่งอย่างหลังอาจต้องใช้ระยะเวลาประมาณ 10 ปี หรือเร็วกว่านั้น ทั้งนี้ ต้องขึ้นอยู่กับความต้องการของผู้บริโภคเป็นหลักด้วย
“ผมเห็นด้วยกับนโยบายไทยแลนด์ 4.0 ซึ่งเป็นนโยบายในระยะยาวของไทยที่มุ่งสร้างการเติบโตให้แก่อุตสาหกรรมยานยนต์ ส่วนในรายละเอียดเงื่อนไขต่างๆ ที่ทางบีโอไอจัดทำแพคแกจไว้ ทางเรากำลังพิจารณา และเชื่อว่าทางภาครัฐจะมีความยืดหยุ่น หากได้เจรจารับฟังความคิดเห็นและความต้องการจากค่ายรถยนต์ที่แสดงความสนใจอย่างจริงจัง” นายโอซามุ กล่าว
อย่างไรก็ตาม ปัญหาใหญ่ที่ค่ายรถยนต์ต่างต้องคำนึงถึงควบคู่ไปกับการพัฒนาเทคโนโลยีการใช้พลังงานสะอาดและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม นั่นคือ การเปลี่ยนผ่านเทคโนโลยีต้องระวังอย่าให้เกิดผลกระทบกับซับพลายเออร์ผู้ผลิตชิ้นส่วนเกี่ยวเนื่องสำหรับรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายใน
ทั้งนี้ มิตซูบิชิ มอเตอร์ส เริ่มต้นดำเนินธุรกิจในประเทศไทย ในปี 2504 และผลิตรถยนต์ครบ 1 ล้านคันในปี 2546 ก่อนจะผลิตครบ 2 ล้านคันในปี 2553 และผลิตครบ 3 ล้านคันในปี 2556 และต่อเนื่องครบ 4 ล้านคันใน 2558 โดยในจำนวนการผลิต 5 ล้านคันในปี 2561 นี้ เป็นการผลิตเพื่อส่งออก 3.7 ล้านคัน โดยโรงงานผลิตรถยนต์ 3 แห่งในนิคมอุตสาหกรรมแหลมฉบัง นับว่าเป็นศูนย์การผลิตนอกประเทศญี่ปุ่นที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของมิตซูบิชิ มอเตอร์ส มีกำลังการผลิตสูงถึง 424,000 คันต่อปี และส่งออกไปกว่า 120 ประเทศทั่วโลก.
