สตาร์ทอัพน้องใหม่จากย่านซิลิคอนแวลลีย์ที่สองผู้ก่อตั้งมีดีกรีอดีตวิศวกรจากเวย์โม เปิดตัวรถไฟฟ้าอัตโนมัติขนาดเล็กหรือหุ่นยนต์ดิลีฟเวอรี่ ตอบโจทย์ลูกค้ายุคดิจิตอลที่ต้องการสินค้ารวดเร็วทันใจโดยไม่ต้องขยับตัวออกจากบ้าน
รถไร้คนขับคันจิ๋วที่หน้าตาเหมือนเตาปิ้งขนมปังยักษ์ติดล้อที่เห็นในภาพเป็นผลงานการพัฒนาของสตาร์ทอัพชื่อว่า นูโร ที่เก็บงำแผนการธุรกิจเป็นความลับนับจากก่อตั้งบริษัทเมื่อ 18 เดือนที่แล้ว ก่อนจะมาเฉลยเมื่อปลายเดือนมกราคมพร้อมการเปิดตัวรถรุ่นนี้ และการเปิดเผยยอดการระดมทุนสองรอบรวมทั้งสิ้น 92 ล้านดอลลาร์
ขณะที่บริษัทรถยักษ์ใหญ่ทุกแห่งและบริษัทไฮเทคอีกเป็นสิบแข่งกันพัฒนาโรโบแท็กซี่ นูโรกลับไม่สนใจจะให้บริการคน แต่พุ่งเข้าหาแอมะซอน, ยูไนเต็ด พาร์เซล เซอร์วิส และผู้ค้าปลีกอื่นๆ ที่ต้องการสร้างธุรกิจอี-คอมเมิร์ซของตัวเอง
เดฟ เฟอร์กูสัน ผู้ร่วมก่อตั้งนูโร บอกว่า อยู่ๆ พวกเขาก็คิดได้ว่า สามารถทำให้การจัดส่งทุกสิ่ง ทุกที่ และทุกเวลาเป็นไปได้จริง ที่สำคัญรถส่งของอัตโนมัติยัง “เกิด” เร็วกว่ารถขับขี่อัตโนมัติ และอาจเป็น “เครื่องมือทรงพลัง” สำหรับธุรกิจท้องถิ่น เช่น ร้านสะดวกซื้อ ร้านดอกไม้ หรือร้านรับซ่อมรองเท้า เพื่อส่งสินค้าถึงมือลูกค้าเร็วขึ้นในยุคที่ผู้บริโภคต้องการบริการที่เร็วและสะดวกขึ้น โดยนูโรกำลังพิจารณาทั้งรูปแบบการให้เช่ารถเพื่อใช้เป็นร้านค้าเคลื่อนที่ และการให้บริการส่งสินค้าแบบจ่ายต่อครั้ง หรือแบบสมาชิก
รถส่งของไร้คนขับของนูโรหนัก 680 กิโลกรัม ใช้พลังงานจากชุดแบตเตอรี่ มีความยาวและความสูงพอๆ กับเอสยูวีทั่วไป แต่กว้างแค่เมตรเดียว ไม่มีทั้งประตูและหน้าต่าง ห้องโดยสารภายในรองรับน้ำหนักบรรทุก 113 กิโลกรัม แบ่งออกเป็น 2 ช่อง วางถุงสินค้าขนาดใหญ่ได้ 10 ถุง และปรับได้ตามต้องการ เช่น ติดตั้งล็อกเกอร์ ชั้นวางสินค้า ตู้เย็น เครื่องทำความร้อน หรือแม้แต่ราวแขวนผ้าสำหรับร้านซักแห้งเคลื่อนที่ โดยรถจะมีปุ่มกดเพื่อให้ลูกค้าปลดล็อกช่องเก็บของ ขณะที่ตัวรถควบคุมจากระยะไกล
ความที่ไม่ได้พัฒนาขึ้นเพื่อใช้บนฟรีเวย์ที่ไม่จำกัดความเร็ว รถของนูโรจึงสามารถใช้เรดาร์และเซ็นเซอร์ไลดาร์ที่มีระยะการทำงานสั้นกว่ารถขับขี่อัตโนมัติที่วิ่งด้วยความเร็วสูง
นูโรบอกว่า ที่ตัดสินใจลงเล่นในตลาดนี้เพราะมั่นใจว่า ยังมีช่องทางเติบโตอีกมาก เห็นได้จากปริมาณการจัดส่งของยูพีเอสเพียงรายเดียวที่สูงถึง 19 ล้านชิ้นต่อวัน บริษัทจัดส่งพัสดุภัณฑ์ระดับโลกแห่งนี้ว่าจ้างพนักงานราว 353,000 คน ไม่รวมฝ่ายบริหารและนักบิน และใช้เงิน 57 เซ็นต์จากยอดขายทุก 1 ดอลลาร์เป็นค่าตอบแทนและสวัสดิการพนักงาน แต่ถ้าเป็นรถไร้คนขับของนูโร ปัญหาเรื่องการต่อรองทั้งหลายแหล่จะหมดไปทันที และสิ่งเดียวที่ต้องการคือไฟฟ้า
แน่นอนว่า นูโรไม่ใช่บริษัทแรกที่ต้องการเข้าไปเติมเต็มบริการจัดส่งสินค้าในเซ็กเมนต์นี้ ฤดูร้อนที่แล้ว ฟอร์ด มอเตอร์ร่วมกับโดมิโนทดสอบรถส่งพิซซ่าไร้คนขับ เดือนมกราคมที่ผ่านมา โตโยต้า มอเตอร์ เริ่มให้บริการ “อี-พาเลตต์” หรือรถแวนแห่งอนาคตที่มีแอมะซอน.คอมและพิซซ่าฮัทเป็นพันธมิตร ขณะที่เรโนลต์-นิสสันมีแผนเปิดตัวรถแวนอัตโนมัติสำหรับการจัดส่งสินค้าในเดือนกันยายน และยูเดลฟ์ สตาร์ทอัพที่เชี่ยวชาญเทคโนโลยีการขับขี่อัตโนมัติ กำลังทดสอบรถส่งของไร้คนขับในแคลิฟอร์เนีย
อย่างไรก็ตาม ผู้เล่นส่วนใหญ่ยังเผชิญอุปสรรคด้านกฎระเบียบ รวมถึงความท้าทายทางเทคนิคอีกมากมาย เช่น สตาร์ชิป และมาร์เบิล ที่ต้องการใช้ทางเท้าเป็นถนนสำหรับหุ่นยนต์ส่งของ แต่ถูกต่อต้านจากบางชุมชน ขณะที่บริษัทอย่างเอลรอย แอร์ ต้องการใช้รถอัตโนมัติขนาดใหญ่ขึ้นรับส่งสินค้าระหว่างเมือง
สำหรับนูโรนั้นมีจุดแข็งที่ผู้ร่วมก่อตั้งคือ เจียจุน จู หนึ่งในวิศวกรรุ่นบุกเบิกของเวย์โม บริษัทพัฒนารถไร้คนขับของกูเกิล (ปัจจุบันคืออัลฟาเบต) และเฟอร์กูสัน ที่จบด็อกเตอร์สาขาหุ่นยนต์จากคาร์เนกี้ เมลลอน และเข้าทำงานที่เวย์โมตั้งแต่ปี 2011
นับตั้งแต่ลาออกจากเวย์โม ทั้งคู่ระดมทุนสองรอบได้เงินทั้งสิ้น 92 ล้านดอลลาร์จากการจัดการของบริษัทเวนเจอร์แคปิตอล 2 แห่งคือ บันยัน แคปิตอล และเกรย์ล็อก พาร์ตเนอร์ แต่สินทรัพย์ที่มีมูลค่าที่สุดของนูโรน่าจะเป็นพนักงาน เนื่องจากบริษัทแห่งนี้สามารถดึงดูดมือดีนับสิบจากบริษัทยักษ์ใหญ่ในย่านเบย์แอเรียในแคลิฟอร์เนีย ซึ่งรวมถึงแอปเปิล, กูเกิล, เทสลา และอูเบอร์ เทคโนโลยีส์ มาร่วมงานด้วย
ถ้าเปรียบเทียบกับโรบ็อตคาร์ทั่วไปแล้ว รถนูโรดูบอบบางและวิ่งช้ากว่าจึงปลอดภัยกว่าสำหรับคนเดินถนน นอกจากนั้นหากตกอยู่ในสถานการณ์คับขัน นูโรยังถูกตั้งโปรแกรมให้พุ่งชนรถที่จอดอยู่หรือต้นไม้แทน เพื่อหลีกเลี่ยงการชนคน
นูโรยังเชื่อว่า รถส่งของมีเส้นทางในการทำกำไรที่ชัดเจนและใช้เวลาน้อยกว่ารถขับขี่อัตโนมัติ
อย่างไรก็ตาม แม้มีจุดแข็งมากมาย แต่นูโรยังไม่ได้ทำข้อตกลงกับใคร แต่บอกว่ากำลังคุยกับผู้ค้าปลีกทั้งรายเล็กรายใหญ่หลายแห่ง รวมถึงว่าที่หุ้นส่วนที่อาจผลิตรถให้ และเล็งเป้าหมายระยะสั้นในการนำรถจิ๋วออกให้บริการ “ที่เป็นประโยชน์” บางอย่างในอเมริกาภายในปลายปีนี้