BMW เอาใจนักขับรุ่นเล็กด้วยการกระตุ้นตลาดให้กับรถยนต์ในกลุ่มสปอร์ตภายใต้รหัส 2 Series โดยจัดการปรับโฉมทั้งรุ่นปกติ และตัวแรงอย่างในรหัส M ด้วย พร้อมทางเลือกของเครื่องยนต์ที่มีให้สัมผัสมากมายทั้งในกลุ่มเบนซิน และเทอร์โบดีเซล
สำหรับ 2 Series รุ่นนี้มากับรหัสตัวถัง F22 ซึ่งเปิดตัวมาตั้งแต่ปี 2014 โดยเน้นทำตลาดด้วยตัวถังคูเป้ และเปิดประทุนที่อ้างอิงพื้นฐานทางวิศวกรรมมาจากรุ่น 1 Series ที่เน้นทำตลาดด้วยตัวถังแฮทช์แบ็ก และซีดาน โดยการปรับโฉมครั้งนี้สามารถสัมผัสได้ตั้งแต่ด้านหน้ากับไฟหน้าชุดใหม่ที่มีการติดตั้งแบบ Bi-LED เป็นอุปกรณ์มาตรฐานในทุกรุ่น และมีแบบปรับระดับได้สำหรับคนที่อยากจ่ายเงินเพิ่ม ส่วนกระจังหน้าแบบ Kidney Grille ก็มีการลบเหลี่ยมและออกแบบให้มีความโค้งมนมากขึ้น ส่วนกันชนหน้ามีการออกแบบในส่วนของช่องรับอากาศด้านหน้า และด้านข้างใหม่ เช่นเดียวกับสปอตไลท์ทรงใหม่ โดยถ้าอยากได้แบบ LED ก็ต้องจ่ายเงินเพิ่ม
ส่วนด้านหลังแม้ว่าจะมากับไฟท้ายทรงเดิม แต่ก็มีการออกแบบการจัดเรียงไฟท้ายใหม่เพื่อให้สามารถสัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลง ขณะที่ตัวถังมีการเพิ่มสีใหม่อีก 3 สี คือ Mediterranean Blue, Seaside Blue และ Sunset Orange เช่นเดียวกับล้อแม็กขนาด 17 และ 18 นิ้วก็มีการเพิ่มลายใหม่อีก 4 ลาย
ทางเลือกของเครื่องยนต์มีมากมายเช่นเคยทั้งรุ่นระดับปกติและระดับไฮเอนด์ สำหรับสเป็กยุโรปจะเริ่มที่รุ่น 218i เครื่องยนต์ 1,500 ซีซี TwinPower เทอร์โบแบบ 3 สูบที่มีกำลัง 136 แรงม้า รุ่น 220i เครื่องยนต์ 4 สูบ 2,000 ซีซี TwinPower เทอร์โบ 184 แรงม้า ตามด้วย 230i บล็อกเดียวกันแต่ขยับความแรงเป็น 252 แรงม้า ส่วนแบบ 6 สูบก็เป็นรุ่น M240i 3,000 ซีซี เทอร์โบคู่ 340 แรงม้า และตัวแรงสุดคือ M2 ที่ขยับความเร้าใจขึ้นเป็น 370 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 50.9 กก.-ม. ใช้เวลาเพียง 4.3 วินาทีในการทำอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง และมีความเร็วสูงสุด 250 กิโลเมตร/ชั่วโมง
ส่วนทางด้านเครื่องยนต์เทอร์โบดีเซลใช้เครื่องยนต์บล็อกเดียวกันแบบ 4 สูบ 2,000 ซีซี แต่มีกำลังแตกต่างกันออกไป โดยเริ่มกับรุ่น 218d ที่มีกำลัง 150 แรงม้า ตามด้วย 220d ขยับขึ้นมาเป็น 190 แรงม้า และ 225d ที่เร้าใจในระดับ 224 แรงม้า
ติดตามข่าวสารและความเคลื่อนไหวในวงการยานยนต์ได้ที่หน้าแฟนเพจ MGR Motoring
สำหรับ 2 Series รุ่นนี้มากับรหัสตัวถัง F22 ซึ่งเปิดตัวมาตั้งแต่ปี 2014 โดยเน้นทำตลาดด้วยตัวถังคูเป้ และเปิดประทุนที่อ้างอิงพื้นฐานทางวิศวกรรมมาจากรุ่น 1 Series ที่เน้นทำตลาดด้วยตัวถังแฮทช์แบ็ก และซีดาน โดยการปรับโฉมครั้งนี้สามารถสัมผัสได้ตั้งแต่ด้านหน้ากับไฟหน้าชุดใหม่ที่มีการติดตั้งแบบ Bi-LED เป็นอุปกรณ์มาตรฐานในทุกรุ่น และมีแบบปรับระดับได้สำหรับคนที่อยากจ่ายเงินเพิ่ม ส่วนกระจังหน้าแบบ Kidney Grille ก็มีการลบเหลี่ยมและออกแบบให้มีความโค้งมนมากขึ้น ส่วนกันชนหน้ามีการออกแบบในส่วนของช่องรับอากาศด้านหน้า และด้านข้างใหม่ เช่นเดียวกับสปอตไลท์ทรงใหม่ โดยถ้าอยากได้แบบ LED ก็ต้องจ่ายเงินเพิ่ม
ส่วนด้านหลังแม้ว่าจะมากับไฟท้ายทรงเดิม แต่ก็มีการออกแบบการจัดเรียงไฟท้ายใหม่เพื่อให้สามารถสัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลง ขณะที่ตัวถังมีการเพิ่มสีใหม่อีก 3 สี คือ Mediterranean Blue, Seaside Blue และ Sunset Orange เช่นเดียวกับล้อแม็กขนาด 17 และ 18 นิ้วก็มีการเพิ่มลายใหม่อีก 4 ลาย
ทางเลือกของเครื่องยนต์มีมากมายเช่นเคยทั้งรุ่นระดับปกติและระดับไฮเอนด์ สำหรับสเป็กยุโรปจะเริ่มที่รุ่น 218i เครื่องยนต์ 1,500 ซีซี TwinPower เทอร์โบแบบ 3 สูบที่มีกำลัง 136 แรงม้า รุ่น 220i เครื่องยนต์ 4 สูบ 2,000 ซีซี TwinPower เทอร์โบ 184 แรงม้า ตามด้วย 230i บล็อกเดียวกันแต่ขยับความแรงเป็น 252 แรงม้า ส่วนแบบ 6 สูบก็เป็นรุ่น M240i 3,000 ซีซี เทอร์โบคู่ 340 แรงม้า และตัวแรงสุดคือ M2 ที่ขยับความเร้าใจขึ้นเป็น 370 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 50.9 กก.-ม. ใช้เวลาเพียง 4.3 วินาทีในการทำอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง และมีความเร็วสูงสุด 250 กิโลเมตร/ชั่วโมง
ส่วนทางด้านเครื่องยนต์เทอร์โบดีเซลใช้เครื่องยนต์บล็อกเดียวกันแบบ 4 สูบ 2,000 ซีซี แต่มีกำลังแตกต่างกันออกไป โดยเริ่มกับรุ่น 218d ที่มีกำลัง 150 แรงม้า ตามด้วย 220d ขยับขึ้นมาเป็น 190 แรงม้า และ 225d ที่เร้าใจในระดับ 224 แรงม้า
ติดตามข่าวสารและความเคลื่อนไหวในวงการยานยนต์ได้ที่หน้าแฟนเพจ MGR Motoring
