xs
xsm
sm
md
lg

เผยกลยุทธ์นิสสัน ภายใต้บังเหียน “อันตวน บาร์เตส”

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

นิสสัน หนึ่งในแบรนด์รถยนต์จากญี่ปุ่นที่คนไทยรู้จักคุ้นเคยเป็นอย่างดี ผ่านร้อนผ่านหนาวทำตลาดในเมืองไทยมาอย่างยาวนาน มาดูกันว่านิสสันยุคนี้จะมีทิศทางอย่างไรผ่านบทสัมภาษณ์นายใหญ่คนใหม่ “อันตวน บาร์เตส” กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท นิสสัน มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด ที่เปิดเผยแผนการและกลยุทธ์ต่างๆ ของนิสสันในการลุยตลาดเมืองไทย

-มุมมองต่อตลาดรถยนต์ไทย?

เป็นตลาดที่มีความท้าทายสูงมาก ผู้บริโภคมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะการตัดสินใจเปลี่ยนรูปแบบของรถยนต์ที่ใช้งาน เช่น จากรถเก๋งซีดานขนาดกลาง กลายไปเป็นรถยนต์ขนาดใหญ่แบบเอสยูวีหรือพีพีวี ได้ทันที โดยเฉพาะเวลาที่มีรถยนต์รุ่นใหม่ออกสู่ตลาดจะฮือฮามากเป็นพิเศษ ยอดขายสวิงแบบสุดโต่งบางเวลาพุ่งสูงสุด แล้วต่อมาร่วงติดพื้นได้อย่างน่าประหลาดใจ

การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภคในการเลือกซื้อรถเกิดขึ้นได้ โดยเฉพาะเทรนด์ของ เอสยูวี และพีพีวี ซึ่งไทยก็กำลังเปลี่ยนไปในแนวทางนั้น เช่นเดียวกับตลาดใหญ่ของโลกทั้ง อเมริกา ยุโรป และญี่ปุ่นที่รถเอนกประสงค์แบบเอสยูวีและพีพีวี ได้รับความนิยมมากขึ้น ซึ่งนิสสันก็สนใจในส่วนของพีพีวี แต่ยังไม่สามารถบอกอะไรได้ในเวลานี้

-หลังเข้ารับตำแหน่งยอดขายนิสสันเป็นอย่างไร?

ภาพรวมของนิสสัน หลังจากที่เข้ามารับตำแหน่ง 2 เดือน สัดส่วนการขายในตลาดรวมเพิ่มขึ้นไปอยู่ที่ 6% แต่ยังไม่น่าพอใจ ศักยภาพของทีมงานนิสสันทำได้ดีกว่านี้ เราเปลี่ยนกลยุทธ์และปรับปรุงแก้ไขเพื่อกอบกู้ยอดขายให้กลับคืนมา โดยศึกษาตลาดและทำงานร่วมมือกับดีลเลอร์มากขึ้น ส่งผลให้ในเดือน มกราคม 2560 แชร์ขยับอยู่ที่ 6.2% และเดือนกุมภาพันธ์ขยับขึ้นไปแตะ 6.5% ถือเป็นแนวโน้มที่ดี ซึ่งเราต้องเดินหน้าต่อไป

ปัจจุบัน 2ใน3 ของรถยนต์ที่นิสสันผลิตในประเทศไทยส่งออกไปรองรับตลาดอื่นๆ ทั่วโลก เช่น นิสสัน มาร์ช ที่ส่งออกไปขายยังประเทศญี่ปุ่น นับเป็นข้อดีของนิสสันที่มีความยืดหยุ่นในการผลิตสูง สามารถปรับไลน์ผลิตได้ทั้งส่งออกหรือขายในประเทศ โดยปีนี้จะเพิ่มสัดส่วนในการทำตลาดในประเทศมากขึ้น

-มีกลยุทธ์อย่างไร?

หลักใหญ่จะประกอบไปด้วย 3 ส่วนสำคัญ คือ 1.”ผลิตภัณฑ์” ในปีนี้เราเปิดตัว นิสสัน โน๊ต เป็นอาวุธหลักในการทำตลาดของเรา ที่มาพร้อมกับเทคโนโลยีใหม่ ซึ่งใช้เป็นจุดขายของนิสสัน โน๊ต 2. “การบริการ” คือรวมทุกอย่างทั้งในส่วนของการบริการก่อนการขายและหลังการขาย ได้รับการปรับปรุงให้มีสิทธิภาพกว่าเดิม เป้าหมายคือเพิ่มความพึงพอใจให้ลูกค้า 3. “ดีลเลอร์” นิสสันทำงานร่วมกับดีลเลอร์ใกล้ชิดขึ้น ให้มีการเก็บฐานข้อมูลลูกค้าและเพิ่มสัดส่วนกำไรเพื่อเป็นแรงจูงใจในการขายรถยนต์

-กระแสตอบรับนิสสัน โน๊ต?

ดีเกินความคาดหมายแต่ไม่สามารถบอกเป็นตัวเลขได้ว่ามียอดจองเท่าไหร่ เพราะนิสสัน โน๊ตจะขายอย่างเป็นทางการในวันนี้ 17 มี.ค. 60 คาดว่าน่าจะใช้เวลาประมาณ 7-10 วันสำหรับการประเมินยอดจองจริงที่เกิดขึ้น จากยอดจองที่ลูกค้าแสดงเจตจำนงค์ไว้ล่วงหน้า โดยเป็นเรื่องน่าประหลาดใจที่ รุ่นท้อป VL มีสัดส่วนการจองล่วงหน้ามากถึง 85% รุ่น V มีเพียง 15% แตกต่างจากที่นิสสันคาดไว้ก่อนการเปิดตัว

ซึ่งการมียอดจองล่วงหน้าดังกล่าว ทำให้เราทราบความต้องการของลูกค้าว่า รุ่นย่อยและสีใดได้รับความนิยม ดังนั้นเราจึงสามารถปรับไลน์ผลิตได้ทัน ผลิตรถได้ตรงตามความต้องการของตลาด ทำให้ไม่มีรถค้างสต็อกกับดีลเลอร์ ซึ่งจะเป็นผลดีต่อทุกฝ่ายทั้งผู้ผลิต ดีลเลอร์และลูกค้า ที่ไม่ต้องรอรถนาน
ส่วนแคมเปญส่วนลด 20,000 บาท จำนวน 2,017 คัน มีลูกค้าจองเข้ามาถึง 6,700 ราย เกินกว่าจำนวนสิทธิ์ที่เราจำกัดไว้ และคงจะไม่มีการขยายแคมเปญดังกล่าวออกไป เพราะเป็นแคมเปญที่พิเศษจริงๆ

-เมื่อไหร่นิสสัน ลีฟจะเข้ามา?


เราทำงานร่วมกับรัฐบาลอย่างเข้มข้น เฉพาะในส่วนของนิสสัน มีความพร้อม 100% สำหรับการทำตลาด เพียงแต่ว่า ปัจจัยที่จะทำให้รถไฟฟ้าอย่างนิสสัน ลีฟ หรือรถประเภทอื่นๆ ที่ใช้ไฟฟ้าประกอบในการขับเคลื่อน จำเป็นจะต้องมีปัจจัย 3 อย่าง ได้แก่ 1.ผู้ผลิต ที่ต้องมีสินค้าตอบสนองตรงความต้องการ 2.ภาครัฐ ที่ต้องออกมาตรการสนับสนุนให้ชัดเจนและเป็นไปได้ ทั้งในส่วนของโครงสร้างพื้นฐานเช่นสถานีชาร์จหรืออัตราภาษี 3.ลูกค้า ต้องมีความเข้าใจในการใช้งาน มีกำลังในการซื้อ ซึ่งทั้ง 3 ปัจจัยนี้ต้องมาพร้อมกันอย่างลงตัวรถไฟฟ้าจึงจะแจ้งเกิดในตลาดได้

กำลังโหลดความคิดเห็น