นครปฐม - เพื่อลูก แม่กัดฟันส่งข้อความผ่านโซเซียลหาหลวงพี่น้ำฝน วอนช่วยลูกสาวเหยื่อเมาแล้วขับ นอนติดเตียง 1 ปี พร้อมสู้ให้ลูกเดินได้ ตามฝันเป็นตำรวจพิสูจน์หลักฐาน
น.ส.ชลดา สอนดี อายุ 47 ปี ชาวตำบลสนามจันทร์ เขตเทศบาลนครนครปฐม กล่าวว่า ครอบครัวของตนมีลูกสาว 2 คน โดยสามีที่เป็นหัวหน้าครอบครัวได้ทำอาชีพรับจ้างขับรถขนผักอยู่ในตลาดปฐมมงคลใกล้ที่พัก โดยอุบัติเหตุดังกล่าวเกิดขึ้นกับลูกสาวคนเล็กชื่อว่า น.ส.เบญจมาศ ผิวบัวคำ หรือน้องบัว อายุ 23 ปี ซึ่งได้เกิดเหตุเมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2566 เวลาประมาณ 5 ทุ่ม ขณะกำลังนั่งรถจักรยานยนต์กลับเข้าหอพัก หลังจากไปประชุมเพื่อเตรียมตัวทำกิจกรรมค่ายอาสา เหตุเกิดที่บริเวณสะพานซังฮี้ กรุงเทพฯ
โดยทราบว่าคนที่ขี่รถมาชนมีอาการเมาและขับมาชนประสานงากับรถบิ๊กไบค์และกระเด็นมาชนรถของน้องบัว หลังรับแจ้งเหตุได้เข้าไปดูอาการที่โรงพยาบาลสิรินธร ซึ่งแพทย์บอกเบื้องต้นว่ามีอาการสาหัสและมีสิทธิที่จะเป็นอัมพาตตลอดชีวิต เนื่องจากมีการกระทบกระเทือนที่อวัยวะหลายอย่าง ทั้งม้าม ตับอ่อนฉีกขาด มีเลือดออกในช่องท้องซึ่งต้องได้รับการผ่าตัดเป็นการด่วน โดยส่งผลกระทบไปถึงสมอง ซึ่งต้องใช้เวลาในการรักษาโดยที่ไม่ทราบว่าจะกลับมาเป็นปกติได้หรือไม่
น.ส.ชลดา กล่าวว่า หลังจากที่ต้องไปเฝ้าลูกที่โรงพยาบาลในกรุงเทพมีแต่ความหวังที่อยากจะให้ลูกกลับมามีชีวิตเหมือนเดิมอีกครั้งและไม่เคยสิ้นหวัง โดยพยายามเรียนรู้การปฐมพยาบาลและการกายภาพขณะที่ลูกอยู่ห้องไอซียู และในขณะที่นอนพักรักษาตัวอยู่ ในโรงพยาบาล กระทั่งกลับมาที่บ้านในจังหวัดนครปฐม น้องบัว ลูกสาวยังไม่สามารถจะลุกขึ้นมานั่งได้เพราะกล้ามเนื้อแขนขาอ่อนแรงไปทั้งหมด
โดยปัญหาจากที่อาจารย์ประจำคณะนิติวิทยา ได้เข้ามามาช่วยดูบอกว่าอาการนี้เกิดจากเลือดไปเลี้ยงสมองไม่พอทำให้สมองขาดเลือด และส่งผลกระทบทำให้กล้ามเนื้อแขนขาไม่มีแรง แต่ยังมีหวังที่จะพัฒนาและกายภาพให้กลับมาใช้ชีวิตได้ ตนจึงตั้งหน้าตั้งตาในการดูแลลูกสาวทุกวันเพื่อให้เขามีชีวิตกลับมาและสามารถกลับไปเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยได้อีกครั้ง
น.ส.ชลดา กล่าวอีกว่า ช่วงระยะเวลาหนึ่งปีกว่าที่ผ่านมาครอบครัวประสบปัญหาหนักเนื่องจากมีรายจ่ายค่าน้ำค่าไฟ และค่ายารวมถึงค่าเดินทางไปกายภาพให้น้องบัวสูงมาก สวนทางกับรายรับที่พ่อหาเงินเข้าบ้านเป็นหลัก ซึ่งตนหากวันไหนที่ลูกสาวไม่ไปกายภาพที่โรงพยาบาล จะใช้วิธีรับร้อยพวงมาลัย อยู่ข้างข้างเตียงลูกเป็นอาชีพเสริม โดยได้มีการประสานงานขอการช่วยเหลือไปยังหลายหน่วยงาน เช่น สำนักงานขนส่งจังหวัดนครปฐม เพื่อขอรถวีลแชร์แบบมอเตอร์ ขอประสานการทำถนนทางเข้าบ้านให้เป็นทางเรียบจากเทศบาลนครนครปฐม และทางขึ้นบ้านแบบลาดเอียง จากสำนักงานพัฒนาสังคมจังหวัดนครปฐม
รวมถึงต้องพาลูกไปทำกายภาพครั้งละครึ่งเดือน ที่โรงพยาบาลหลวงพ่อเปิ่นในอำเภอนครชัยศรี ซึ่งการประสานงานส่วนใหญ่ยังไม่ได้รับการตอบสนองหรือช่วยเหลืออย่างเต็มที่ จะมีเพียงเทศบาลนครนครปฐมได้ให้ไปรับผ้าอ้อม 3 เดือนต่อหนึ่งครั้ง ซึ่งในความเป็นจริงลูกสาวจะต้องใช้ผ้าอ้อมตกประมาณวันละ 5 แผ่นเป็นอย่างน้อย ซึ่งกระทบรายได้ในบ้านเพราะเริ่มไม่เพียงพอ
"ปกติแม่เคยมาที่วัดไผ่ล้อมตั้งแต่ลูกยังเด็ก เห็นหลวงพี่น้ำฝนมานาน ซึ่งได้ติดตามภารกิจการช่วยเหลือคนโดยเฉพาะการมอบเตียงไฟฟ้าให้โรงพยาบาลนครปฐม ในใจคิดว่าอยากจะประสานขอรถวีลแชร์แบบอาบน้ำให้ลูกสักคันเนื่องจาก น้องบัว ไม่สามารถลุกไปเข้าห้องน้ำเองได้จะต้องจับใส่รถเข็นเพื่อเข็นเข้าไปอาบน้ำในห้องน้ำ และได้เห็นจากเพจ "คิดไม่ออกบอกหลวงพี่น้ำฝน" ว่ามีการช่วยเหลือมอบเตียงผู้ป่วย และรถวีลแชร์ จึงได้ส่งข้อความไปขอ ซึ่งมีการตอบรับทันที และเช้าวันรุ่งขึ้นหลวงพี่น้ำฝนก็มาเองโดยเอารถวีลแชร์มาให้ถึง 2 คัน รวมถึงเงินยังชีพอีก 2,000 บาท ทำให้รู้สึกประทับใจและไม่คิดว่าจะได้รับการช่วยเหลือได้รวดเร็วขนาดนี้" น.ส.ชลดา กล่าว
น.ส.ชลดา กล่าวต่อไปว่า วันนี้หลวงพี่น้ำฝนได้เข้ามามอบของและเงินจำนวนหนึ่งซึ่งท่านยังบอกว่าจะช่วยประสานไปยังโรงพยาบาลนครปฐม เพื่อให้มีการจัดระบบในการบำบัดและทำกายภาพให้ลูกสาว ซึ่งจะทำให้ลดค่าใช้จ่ายในการเดินทางเยอะมาก รวมถึงท่านยังบอกว่าท่านจะช่วยน้องจนกว่าน้องจะเดินเองได้และกลับไปเรียนหนังสืออีกครั้งทำให้แม่มีกำลังใจมากขึ้น และไม่คิดว่าจะได้รับสิ่งดีๆ เหล่านี้ทันทีที่ร้องขอไป ซึ่งต้องกราบขอบพระคุณหลวงพี่น้ำฝนด้วย
น.ส.เบญจมาศ ผิวบัวคำ หรือน้องบัว อายุ 23 ปี กล่าวว่า ตนกำลังศึกษาสาขานิติวิทยาศาสตร์ ซึ่งตอนนี้ได้พักการเรียนไป ซึ่งตอนนี้เพื่อนๆ ได้เรียนจบกันไปหมดแล้ว ซึ่งยังมีความกังวลใจว่าจะเรียนจบหรือไม่เพราะยังไม่สามารถลุกขึ้นนั่งได้ตามปกติ แต่ทางอาจารย์ได้มีการประสานงานมาว่าจะให้ทำงานส่งทดแทนการไปฝึกงาน โดยตอนนี้รู้สึกวิตกเพราะตลอดระยะเวลา 3 ปีได้กู้ยืมเงินกองทุนการศึกษามาเกือบ 200,000 บาท และยังต้องมีค่าเทอมที่จะต้องจ่ายในเทอมนี้อีก 15,000 บาท ซึ่งหากไม่สามารถทำงานได้เงินก้อนนี้จะถือเป็นปัญหาของชีวิตเหมือนกันเพราะรายได้ในครอบครัวไม่ได้มากนัก
น้องบัว บอกว่า ช่วงเกิดอุบัติเหตุกำลังนั่งรถจักรยานยนต์มาที่สะพานซังฮี้ จู่ๆ ภาพก็ตัดไปไม่รู้สึกตัวว่าเกิดอะไรขึ้นมารู้สึกตัวอีกทีตื่นแล้วที่โรงพยาบาล โดยไม่ได้รู้สึกเจ็บอะไรเพราะร่างกายไร้ความรู้สึกไปหลายส่วน แต่แม่ยังไม่เคยทิ้งและอยู่ด้วยทุกวันทั้งช่วยดูแลและทำกายภาพ และตัวเองมีเป้าหมายว่าที่มาเรียนคณะนิติวิทยาศาสตร์ เพราะอยากเป็นตำรวจหญิงในสาขาพิสูจน์หลักฐาน หรือสายงานเกี่ยวกับนิติวิทยาศาสตร์ ซึ่งได้กำหนดรูปแบบการเรียนไว้โดยการเรียน รด.จบปี 5 มีตำแหน่งเป็นว่าที่ร้อยตรีไว้แล้ว เหลือเพียงฝึกงานให้จบการศึกษา แต่มาเกิดเหตุเสียก่อน วันนี้ดีใจมากที่หลวงพี่น้ำฝนไม่ทอดทิ้ง เมื่อรู้ปัญหาท่านมาหาและมาช่วยเหลือทันที แม้ว่าหมอจะเคยบอกกับแม่ว่าหนูจะกลับมาเดินอีกไม่ได้ แต่แม่ทำกายภาพให้จนเริ่มลุกขึ้นนั่งได้แล้ว หนูเชื่อว่าจะต้องเดินได้ และจะพยายามกายภาพตัวเองทุกวัน หากเดินได้จะต้องเดินไปทางสองที่ คือไปพบหลวงพี่น้ำฝนที่วัดไผ่ล้อม และไปหาพยาบาลที่คอยดูแลที่โรงพยาบาลสิรินธร โดยตอนนี้อยากหายไวๆ อยากเรียนให้จบ อยากไปสอบตำรวจ และอยากดูแลครอบครัวตอบแทนที่ทุกคนดูแลเรามาในช่วงที่เราเจ็บป่วย
ขณะที่หลวงพี่น้ำฝน เจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อม บอกว่าเห็นกรณีของน้องบัว รู้สึกเห็นใจ เพราะน้องเองเป็นคนตั้งไจเรียนและมีเป้าหมายชีวิต ซึ่งอาตมาเห็นว่า การจะไปกายภาพบำบัดในพื้นที่ต่างอำเภอ ครั้งหนึ่งต้องจ่ายค่ารถค่าเดินทางหลายพันบาท อาตมาได้ประสานกับ นพ.สุรชัย โชคครรชิตไชย ผู้อำนวยการโรงพยาบาลนครปฐม เพื่อที่จะให้เข้ามารับการรักษาและกายภาพที่โรงพยาบาลนครปฐมซึ่งอยู่ใกล้บ้านและจะลดค่าใช้จ่ายได้มาก อีกส่วนคือจะได้ประสานหน่วยงานต่างๆ ที่สามารถช่วยเหลือให้ครอบครัวนี้สามารถดำเนินชีวิตไปได้ เช่น เทศบาลนครนครปฐม ในเรื่องของการทำทางเดินให้เป็นผิวเรียบ ซึ่งทราบว่าจะช่วยให้ชาวบ้านอีกหลายครอบครัวสามารถใช้ชีวิตได้ดีขึ้น รวมถึงถมทางเข้าบ้านเนื่องจากมีน้ำท่วมทุกครั้งเวลามีฝนตกหนัก อันนี้จะไปเป็นธุระให้