ลาวเร่งแกะรอยเส้นทางช่วยพ่อค้าไทยถูกอุ้มรีดเงิน ลูก-เมียไม่เชื่อปมขัดแย้งธุรกิจ

แขวงบ่อแก้ว สปป.ลาว /เชียงราย - คืบหน้าคนร้ายอุ้มพ่อค้าชายแดนไทยรีดเงิน 5 ล้าน..ล่าสุด สปป.ลาว เร่งวางแผนช่วย ขณะที่ลูก-เมียไม่เชื่อโยงธุรกิจส่งออกน้ำตาล บอกเลิกค้ามาร่วม 10 ปี-เคลียร์หมดแล้ว เหลือแต่ร่วมทุนจีนทำโรงฆ่าสัตว์ในลาวเท่านั้น

วันนี้ (29 ก.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานความคืบหน้ากรณีนายสิงห์แก้ว วงค์ใหญ่ อายุ 54 ปี บ้านเลขที่ 382 หมู่ 10 ต.นางแล อ.เมืองเชียงราย จ.เชียงราย ประธานสมาคมส่งออกสัตว์เชียงแสน อ.เชียงแสน ถูกคนร้ายลักพาตัวอุ้มหายไปในเมืองต้นผึ้ง แขวงบ่อแก้ว สปป.ลาว ตรงกันข้าม อ.เชียงแสน จ.เชียงราย เมื่อวันที่ 28 ก.ค.ที่ผ่านมา และเรียกค่าไถ่จากญาติฝั่งไทย 5 ล้านบาท

ท่านไชสะเถียน เหรียนสัก รองเจ้าเมืองต้นผึ้ง แขวงบ่อแก้ว สปป.ลาว กล่าวว่า หลังจากได้รับการประสานจากทาง อ.เชียงแสน ก็ได้ให้เจ้าหน้าที่ออกติดตามหาตัวนายสิงห์แก้ว อย่างต่อเนื่อง และจากข้อมูลของเจ้าหน้าที่ ทราบว่านายสิงห์แก้ว ได้เดินทางขึ้นฝั่ง สปป.ลาว ที่ท่าเรือคิงส์โรมัน เขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมคำ ตรงกันข้ามบ้านสบรวก หมู่ 1 ต.เวียง อ.เชียงแสน

จากนั้นได้มีชายชาวลาว 1 คนทราบชื่อว่านายสะหวาด เป็นคนขับรถไปรับ และมีนายจุ๋ม หุ้นส่วนชาวจีนที่ร่วมลงทุนโรงงานฆ่าสัตว์ในฝั่ง สปป.ลาว นั่งโดยสารไปด้วย โดยได้พานายสิงห์แก้ว มุ่งหน้าจะไปทางเมืองห้วยทราย แต่ปรากฎว่าขณะอยู่ในเขตเมืองต้นผึ้ง ก็ถูกชายฉกรรจ์ออกมาดักหน้ารถแล้วใช้ปืนจี้บังคับให้นายสิงห์แก้ว ลงจากรถแล้วพาตัวไปในที่สุด

ล่าสุด ขณะนี้เจ้าหน้าที่ สปป.ลาว กำลังอยู่ระหว่างติดตามหาแหล่งกักขังนายสิงห์แก้ว ซึ่งพอจะทราบแหล่งเบื้องต้นแล้ว อยู่ระหว่างวางแผนเพื่อหาทางช่วยเหลืออยู่

ขณะที่เจ้าหน้าที่ไทยได้สอบญาติของนายสิงห์แก้ว คาดการณ์ว่าสาเหตุของการอุ้มลักพาตัวอาจจะเกี่ยวข้องกับธุรกิจการซื้อขายน้ำตาลที่ต้องนำส่งให้กับผู้ซื้อ แต่ที่ผ่านมาเกิดปัญหาทางธุรกิจวงเงินกว่า 13 ล้านบาท จนมีการฟ้องร้องกันอยู่ หรือธุรกิจการซื้อขายต้นไม้ใหญ่ ไม้ดอกไม้ประดับมูลค่าประมาณ 300,000 บาท รวมถึงธุรกิจโรงฆ่าสัตว์ใน สปป.ลาว ที่มีการลงนามร่วมก่อสร้างกันเมื่อเดือน มี.ค. 2562 ที่ผ่านมา และเป็นต้นเหตุให้นายจุ๋ม-นายเหว่ย ซึ่งเป็นชาวจีนติดต่อให้นายสิงห์แก้ว เดินทางข้ามไปจนถูกอุ้มหายตัวไปดังกล่าว

อย่างไรก็ตาม นางศรีวรรณ และลูก เปิดเผยในทำนองเดียวกันว่า ลึกๆ แล้วก็ไม่ทราบสาเหตุที่นายสิงห์แก้วถูกลักพาตัวและเรียกค่าไถ่ เนื่องจากได้เลิกทำธุรกิจซื้อขายน้ำตาลทรายไปกว่า 10 ปี ส่วนเรื่องเงินๆ ทองๆ ที่ค้างกันอยู่ก็ได้ชำระไปจนหมดแล้ว จึงคิดว่าไม่น่าจะมีปัญหาในเรื่องนี้

ต่อมานายสิงห์แก้วได้หันมาทำธุรกิจด้านการส่งออกโค-กระบือและสุกร โดยเดินทางข้ามไปมาระหว่างไทย-สปป.ลาว บ่อยครั้ง แต่ก็ช่วงหลังส่งออกไปได้น้อยเพราะส่งต่อเข้าตลาดจีนได้ยากขึ้น บางเดือนแทบไม่มีคำสั่งซื้อเลย จึงได้หันมาทำธุรกิจใหม่คือโรงฆ่าสัตว์ดังกล่าว ถือเป็นธุรกิจใหม่ที่พึ่งทำและทำให้ต้องเดินทางข้ามไปฝั่งลาวบ่อยครั้งขึ้น

นางศรีวรรณ และลูก กล่าวว่า ครอบครัวของเราไม่มีเงินมากถึง 5 ล้านบาทตามที่ถูกเรียกค่าไถ่ จึงขอให้ทาง สปป.ลาว ช่วยติดตามช่วยเหลือให้ได้ เพราะห่วงเรื่องอันตรายมาก และรู้สึกแปลกใจกันมากที่เกิดเรื่องนี้ขึ้น เนื่องจากที่ผ่านมานายสิงห์แก้วก็ไม่เคยมีเรื่องขัดแย้งกับใคร ธุรกิจก็ไม่เคยมีความขัดแย้งหรือปัญหาใหญ่ๆ หากจะมีบ้างก็ไม่มีมูลค่าสูงถึง 5 ล้านบาทแน่ และยืนยันว่าปัญหาเรื่องการค้าน้ำตาลมูลค่ากว่า 13 ล้านบาทสูงนั้นไม่น่าจะเป็นไปได้และเรื่องก็จบไปนานแล้วด้วย

“ข้อความที่แชตมาเรียกเงินก็ไม่ได้บอกเหตุผล และเขาก็ติดต่อมาเมื่อช่วงเย็นวันที่ 28 ก.ค.เท่านั้น จากนั้นก็ไม่ได้ติดต่อมาอีกเลย ทางญาติก็ยังไม่ได้โอนเพราะเราไม่มีเงินมากขนาดนั้น ก็อยากให้ทางการลาวช่วย และขอให้คนที่กักตัวนายสิงห์แก้วปล่อยตัวออกมาด้วย เพื่อจะได้หาทางออกร่วมกันต่อไป”

ด้านนายสุริยา อุดเจริญ กำนัน ต.นางแล อ.เมืองเชียงราย กล่าวว่า นายสิงห์แก้วเพิ่งย้ายจากภูมิลำเนาเดิมที่ อ.พาน จ.เชียงราย มาสร้างบ้านอยู่ที่หมู่บ้านป่าซางวิวัฒน์ ต.นางแล เมื่อประมาณ 10 ปีก่อน ส่วนตัวเป็นคนดี อ่อนน้อมถ่อมตน และพูดจาไพเราะ ซึ่งด้วยอัธยาศัยที่ดีจึงเป็นที่รักใคร่ของเพื่อนบ้านทุกคน รวมทั้งไม่เคยมีเรื่องทะเลาะขัดแย้งกับใครในพื้นที่มาก่อน และเราก็ทราบกันเพียงว่าเขาไปทำธุรกิจที่ชายแดนและไม่เคยได้ยินว่าขัดแย้งกับใครเช่นกัน

ด้านนายประจญ ปรัชญ์สกุล ผู้ว่าราชการ จ.เชียงราย มอบหมายให้นายประสงค์ หล้าอ่อน นายอำเภอเชียงแสน ได้ประสานกับทาง สปป.ลาว อย่างต่อเนื่อง ขณะนี้ทางอำเภอเชียงแสน ได้มีหนังสือที่ ชร.0918.7/1590 ลงวันที่ 29 ก.ค.นี้ ส่งถึงเจ้าเมืองต้นผึ้ง เพื่อขอความอนุเคราะห์ช่วยเหลือติดตามคนไทยถูกจับเรียกค่าไถ่ดังกล่าวแล้ว โดยขณะนี้กำลังผลการดำเนินการจากทางฝั่ง สปป.ลาว