ยก “ถ้ำหลวง” ขึ้นชั้นอุทยานแห่งชาติแล้ว แต่ยังห้ามคนเข้า หลังน้ำ-ทรายเต็มถึงเนินนมสาว

เชียงราย - ครม.อนุมัติ ยก “ถ้ำหลวง” ขึ้นชั้นอุทยานแห่งชาติแล้ว แต่ยังห้ามคนเข้าออก หลังคณะสำรวจพบทั้งน้ำ-โคลน-ทรายเต็มโถงถ้ำจนถึงเนินนมสาว ขณะที่ จนท.เร่งสำรวจแนวเขตคลุมพื้นที่ 14 หมู่บ้าน 4 ตำบล 1.2 หมื่นไร่

วันนี้ (29 ม.ค.) นายภาสกร บุญญลักษม์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานการประชุมคณะทำงานบูรณะปรับปรุงฟื้นฟู วนอุทยานถ้ำหลวง-ขุนน้ำนางนอน ต.โป่งผา อ.แม่สาย จ.เชียงราย หลังจากนายจงคล้าย วรพงศธร รองอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช, พล.ร.ต.อาภากร อยู่คงแก้ว ผบ.หน่วยบัญชาการสงครามพิเศษทางเรือ กองเรือยุทธการ กองทัพเหรือ หรือหน่วยซีล นำคณะเจ้าหน้าที่ และมิสเตอร์เวิร์น อันสเวิร์ธ นักสำรวจถ้ำชาวอังกฤษ เข้าสำรวจภายในถ้ำหลวงเป็นครั้งแรก ตั้งแต่ปฏิบัติการช่วยเหลือทีมฟุตบอลหมูป่า อะคาเดมี จำนวน 13 คนแล้วเสร็จ เพื่อเตรียมเก็บกู้อุปกรณ์ที่คงค้างภายในและสำรวจเพื่อเตรียมเปิดถ้ำในอนาคต

นายกมลไชย คชชา ผู้อำนวยการสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 15 กรมอุทยานแห่งชาติฯ ได้สรุปว่าพื้นที่ลึกจากปากถ้ำเข้าไปประมาณ 2 กิโลเมตร ตั้งแต่โถงที่ 3 ไปจนถึงบริเวณสามแยกก่อนเลี้ยวซ้ายไปทางเนินนมสาว และหาดพัทยา ซึ่งเป็นจุดที่ทีมหมูป่าฯ เคยติดอยู่ เต็มไปด้วยโคลนเลนระยะทางกว่า 450 เมตร ลักษณะเป็นท่อยาวขนาดใหญ่ ส่วนตรงสามแยกยังมีน้ำท่วม-มีทรายอุดรูที่จะใช้เดินทางต่อไปอีกด้วย คณะฯ จึงได้ยุติการสำรวจ โดยคาดว่าเด็กๆ ทีมหมูป่าเข้าไปได้ก่อนติดถ้ำวันที่ 23 มิ.ย. 2561 ก็เพราะเห็นว่าไม่มีน้ำ แต่น้ำได้ไหลออกมาปิดทับภายหลัง

แต่เจ้าหน้าที่พบถังอัดอากาศคงค้างอยู่ภายใน 379 ถัง อุปกรณ์สื่อสาร กระดาษฟอยล์ เข็มฉีดยาสำหรับฉีดเด็กๆ สายไฟฟ้า ท่ออากาศ เครื่องสูบน้ำ ฯลฯ รวมทั้งมีขยะจำนวนมากซึ่งได้ทำบันทึกข้อมูลและภาพถ่ายเอาไว้แล้ว

ด้านนายภาสกรกล่าวว่า ได้ให้ทางเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องไปทำการวิเคราะห์ดูว่าอุปกรณ์ใดสมควรหรือไม่สมควรนำเอาออกมาจากถ้ำก่อน ส่วนการจะเข้าไปสำรวจอีกครั้ง หรือนำอุปกรณ์ต่างๆ ออกมาแล้วแยกแยะว่าจะนำไปไว้ ณ จุดใด หรือส่งมอบให้หน่วยงานที่เป็นเจ้าของได้อย่างไรนั้น คงต้องใช้เวลา เพราะถ้ำอยู่ภายใต้คำสั่งกองอำนวยการ ปภ.จ.เชียงราย ซึ่งยังไม่อนุญาตให้ผู้ใดเข้าออก

ดังนั้น เพื่อความปลอดภัยจึงยังไม่มีกำหนดจะเข้าไปสำรวจใหม่อีกครั้ง เนื่องจากสถานการณ์ล่าสุดยังมีน้ำ และไม่สามารถทราบได้จากภายนอก เพียงแต่ที่ผ่านมาเมื่อน้ำปากถ้ำแห้งสนิท และเข้าสู่ฤดูแล้ง เจ้าหน้าที่จึงเข้าไปสำรวจ ส่วนการจะเข้าไปอีกครั้งคาดว่าต้องรออย่างน้อย 1-2 เดือน อย่างไรก็ตาม ในช่วงที่รออยู่นี้ทางกรมอุทยานแห่งชาติฯ ก็จะผลักดันให้วนอุทยานเป็นอุทยานแห่งชาติอย่างเต็มตัว เพื่อพัฒนาได้เต็มที่ เพราะปัจจุบันมีนักท่องเที่ยวไปเที่ยวกันเป็นจำนวนมาก และคาดว่าทั้ง 2 เรื่องดังกล่าวจะแล้วเสร็จสมบูรณ์ราวปลายปี 2562 นี้

ทั้งนี้ มีการแจ้งต่อประชุมด้วยว่า คณะรัฐมนตรีได้มีมติให้ยกฐานะวนอุทยานแห่งชาติถ้ำหลวงฯ เป็นอุทยานแห่งชาติ ในรูปแบบอุทยานประวัติศาตร์แล้ว เมื่อวันที่ 11 ธ.ค.ที่ผ่านมา และให้นายกวี ประสมพล เป็นหัวหน้าอุทยานแห่งชาติถ้ำหลวงฯ

ดังนั้น ทางสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 15 ซึ่งเป็นต้นสังกัด จึงได้นำเจ้าหน้าที่กรมอุทยานแห่งชาติฯ ร่วมกับสำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ 2 (เชียงราย) เจ้าหน้าที่โครงการพัฒนาดอยตุงฯ ฉก.ม.2 ฉก.ม.3 กองกำลังผาเมือง ฝ่ายปกครองและเจ้าของพื้นที่ทำกินที่ติดกับแนวเขต ทำการสำรวจแนวเขต ครอบคลุมพื้นที่ 14 หมู่บ้าน 4 ตำบล คือ ต.โป่งผา ต.โป่งงาม ต.เวียงพางคำ และ ต.ห้วยไคร้ อ.แม่สาย ระยะทางประมาณ 43.02 กิโลเมตร รวมเนื้อที่ประมาณ 12,000 ไร่ ซึ่งเป็นเขตวนอุทยานถ้ำหลวงฯ เดิมประมาณ 5,000 ไร่ และบางส่วนอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติป่าดอยนางนอน ที่ทางกองทัพบกขอใช้พื้นที่และทางโครงการพัฒนาดอยตุงฯ เข้าไปพัฒนาพื้นที่อยู่

ล่าสุด ทางกรมอุทยานแห่งชาติฯ ได้ทำหนังสือแจ้งหน่วยงานต่างๆ จนได้รับความเห็นชอบแล้ว รวมทั้งทำประชาคมชาวบ้านทั้ง 4 ตำบล ภายใต้หลักการว่าต้องไม่ประกาศเป็นอุทยานแห่งชาติทับซ้อนที่ดินทำกิน และชาวบ้านต้องได้รับประโยชน์จากการมีอุทยานแห่งชาติด้วย ซึ่งการดำเนินการผ่านพ้นไปได้ด้วยดี และทางสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 15 จะสรุปรายงานแจ้งกรมอุทยนแห่งชาติฯ ให้ได้รับทราบเพื่อดำเนินการต่อไป

ส่วนการพัฒนาและปรับปรุงพื้นที่ต่างๆ ทั้งถนน จัดระเบียบร้านค้า การจราจร สถานที่จอดรถ ฯลฯ ทั้งกรมอุทยานแห่งชาติฯ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้เดินหน้าดำเนินการอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าบางโครงการจะติดขัดเรื่องการขออนุญาตใช้พื้นที่เนื่องจากก่อนการประกาศเป็นเขตอุทยานแห่งชาติถ้ำหลวงฯ อย่างเป็นทางการ พื้นที่หลายส่วนยังอยู่ในการดูแลของหน่วยงานเดิมอยู่