สระแก้ว - ผวจ.สระแก้ว สั่งตรวจสอบพื้นที่ป่าชายเขา หลังภาพถ่ายทางอากาศพบรอยแผ้วถางในแนวเชิงเขา รอยต่อระหว่าง อ.วัฒนานคร และ อ.ตาพระยา เบื้องต้น ไม่พบมีการบุกรุกเพิ่มเติมจากพื้นที่ป่า
วันนี้ (8 พ.ย.) ผู้สื่อข่าวรายงานความคืบหน้ากรณีที่ พล.ต.ปิยะพงษ์ กลิ่นพันธุ์ ผบ.กองกำลังบูรพา ได้สั่งให้มีการตรวจสอบภาพถ่ายทางอากาศในพื้นที่ อ.วัฒนานคร เขตรอยต่อ อ.ตาพระยา จ.สระแก้ว ที่พบว่ามีการแผ้วถางเพื่อเพาะปลูกพืชไร่ กินพื้นที่แนวป่าติดเขาซึ่งเป็นป่าอุดมสมบูรณ์ ว่า
ล่าสุด นายวิชิต ชาตไพสิฐ ผู้ว่าราชการจังหวัดสระแก้ว ได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง อ.วัฒนานคร นำโดย นายบุรินทร์ ม่วงเขต ปลัดอำเภอวัฒนานคร ปลัดอำเภอตาพระยา กำนันตำบลแซร์ออ เจ้าหน้าที่ทหารร้อย รส.มว.ที่ 3 มทบ.19 เจ้าหน้าที่ป่าไม้หน่วยอนุรักษ์ป่า สก.3 (หนองน้ำใส) และผู้ใหญ่บ้าน ม.5 และ ม.12 ต.แซร์ออ ร่วมกันลงพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริง โดยพบว่า บริเวณดังกล่าวอยู่ทางทิศตะวันตกของเขาพรมสุวรรณ ม.5 ต.แซร์ออ อ.วัฒนานคร ซึ่งเป็นเขตรอยต่อ อ.ตาพระยา
และมีราษฎรเข้าไปทำกินในพื้นที่ด้วยการทำไร่มันสำปะหลัง ปลูกไม้ยูคาลิปตัส และสวนยางพารา โดยพบว่ามีการปลูกกระท่อมในบริเวณดังกล่าวจำนวน 1 หลังด้วย ขณะที่สภาพพื้นที่เป็นที่ลาดชันเล็กน้อย
โดยพบที่ทำกินของ นายคำลี พุยเตชะ ซึ่งปัจจุบันบวชเป็นพระภิกษุ จำวัดอยู่วัดเขาพรมสุวรรณ และได้มอบที่ดินให้บุตรทำกินต่อ ซึ่งจากการตรวจสอบกับแผนที่มาตราส่วน ซึ่งจัดทำโดยสำนักจัดการที่ดินกรมป่าไม้ ระบุว่า พื้นที่ดังกล่าวเป็นพื้นที่เป้าหมายจัดที่ดินทำกิน ตามโครงการจัดที่ดินทำกินให้แก่ชุมชนตามนโยบายของรัฐบาล (คทช.) และพบว่าไม่ได้มีการบุกรุกแนวเขตป่า หรือพื้นที่ป่าเพิ่มเติมใหม่แต่อย่างใด และสภาพความเป็นจริงของพื้นที่ ตรวจสอบเป็นที่ราบไม่ได้อยู่ในพื้นที่เขาหรือเนินสูง
ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวยังรายงานว่า จากการลงพื้นที่ตรวจสอบ พบว่าก่อนหน้านี้พื้นที่แห่งนี้มีราษฎรครอบครองหลายราย เช่น นายคำลี พุยเตชะ ภารโรงของโรงเรียน ญาติของครู และเสี่ย ย. ซึ่งเป็นไร่มันสำปะหลัง และไม้ยูคาลิปตัส รวมทั้งหมดประมาณกว่า 100 ไร่ ซึ่งเจ้าหน้าที่ไม่มีการออกเอกสารสิทธิให้ และไม่ให้มีการเสียภาษีบำรุงท้องที่ด้วย รวมทั้งยังพบว่า หลายจุดเป็นพื้นที่ลาดเอียงเป็นระดับลงไปจนถึงถนนสาย 3395 วัฒนานคร-ตาพระยา
นายวิชิต ชาตไพสิฐ ผู้ว่าราชการจังหวัดสระแก้ว กล่าวว่า หลังจากสั่งให้นายอำเภอไปตรวจสอบหากพบร่องรอยการบุกรุก ไม่มีเอกสาร หรือกฎหมายอ้างอิง หรือละเมิดกฎหมาย ก็ต้องดำเนินการ แต่หากมีการครอบครองมาก่อนหน้านี้ ก็ต้องแสดงหลักฐานการทำประโยชน์ เพื่อป้องกันข้อครหาที่จะตามมาด้วย ซึ่งต้องชัดเจนเพื่อไม่ให้มีการร้องเรียนเข้ามา
