xs
xsm
sm
md
lg

ระวัง! วิกฤตฝุ่นระลอกใหม่ อันตรายถึงขั้น"ประกาศพื้นที่ภัยพิบัติ"!!

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


ฝุ่นละอองกลับมารุนแรงอีกครั้ง! กรมอุตุนิยมวิทยาเผยความกดอากาศสูงระลอกใหม่ทำให้ฝุ่นทวีความรุนแรงขึ้น แพทย์ชี้ พื้นที่อันตรายเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา เสี่ยงสุดในหญิงตั้งครรถ์และเด็ก เสี่ยงสมองเสื่อม มะเร็ง โรคหัวใจ โรคปอด เพิ่มขึ้น!

กระทบสุขภาพ เสี่ยงสมองเสื่อม!!

ฝุ่นละอองเกินค่ามาตรฐานจะกลับมาแย่อีกครั้ง! หลังจากกรมอุตนิยมวิทยาออกมาพยากรณ์อากาศ ว่าบริเวณความกดอากาศสูงกำลังปานกลางระลอกใหม่ได้แผ่ลงมาปกคลุมถึงประเทศลาว และภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทยแล้ว ลักษณะเช่นนี้ทำให้ภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีอากาศหนาวเย็นลงกับมีลมแรง และอุณหภูมิจะลดลง 2-4 องศาเซลเซียส ส่วนภาคเหนือ ภาคกลางและภาคตะวันออก อุณหภูมิจะลดลง 1-3 องศาเซลเซียส ซึ่งจากสภาพอากาศดังกล่าวจะทำให้ฝุ่นกลับมาอีกระลอก



ด้าน ผศ.ดร. สุรัตน์ บัวเลิศ คณบดีคณะสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อไว้ว่า ในวันที่ 18 ม.ค. นี้ เชื่อว่าสถานการณ์ฝุ่นจะกลับมารุนแรงอีกครั้ง เนื่องจากพยากรณ์อากาศชี้ว่าจะมีความกดอากาศสูงเข้ามา ส่งผลให้อากาศมีความชื้น จึงเป็นปัจจัยหลักที่จะส่งผลกระทบทำให้ฝุ่นกลับมาอีกครั้ง
“จากการพยากรณ์อากาศจะมีความกดอากาศสูงเข้ามา ส่งผลให้อากาศมีความชื้น ฝุ่นจะกลับมา ควรติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เนื่องจากสาเหตุฝุ่นละอองมาจากการเผาไหม้ไม่สมบูรณ์ของรถยนต์ รถควันดำ และสภาพอากาศปิดทำให้อากาศค้างอยู่กับที่ ปีหน้าก็จะเจออีก พบกับตัวเลขเกินมาตรฐานอีก แต่จะหนักหรือเบาขึ้นกับสภาพอากาศ”

 


นอกจากนี้ทีมข่าวได้ลงสำรวจไปยังพื้นที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ พบว่า มีเพียง30 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นที่ยอมใส่หน้ากากกันฝุ่นพิษ ส่วนที่เหลือเลือกที่จะไม่ใส่หน้ากาก ซึ่งมาจากเหตุผลที่ว่าหาไม่ได้ และขี้เกียจใส่ สะท้อนให้เห็นว่าคนบางส่วนไม่ได้เกรงกลัวว่าฝุ่นจะส่งผลกระทบต่อสุขภาพแต่อย่างใด
ทีมข่าว MGR Live ได้ติดต่อไปยัง ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา กรรมการแพทยสภา และเป็นเจ้าของเพจ "ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา Thiravat Hemachudha” พื้นที่อันตรายของฝุ่นในสถานการร์ปัจจุบันยังคงเปลี่ยนแปลงไปได้ตลอดเวลา ให้ช่วยวิเคราะห์ และได้คำตอบว่าหากไม่รีบแก้อาจจะเข้าข่ายประกาศเป็นพื้นที่ภัยพิบัติ และยังเสี่ยงสุดในหญิงตั้งครรถ์และเด็ก
“ ในระดับของ เขียว เหลือง ส้ม แดง ม่วง น้ำตาล และความเสี่ยงหรืออันตรายที่จะเกิดขึ้น ยังขึ้นอยู่กับว่ามีอะไรอยู่ไนฝุ่น 2.5 นี้และยังขึ้นอยู่กับภาวะสุขภาพของคนคนนั้นซึ่งอาจได้รับสารพิษอยู่แล้วจากการกินอาหารพืชผักผลไม้น้ำดื่มที่ปนเปื้อนด้วยสารเคมีสารพิษฆ่าหญ้าฆ่าแมลงและยังขึ้นอยู่กับโรคประจำตัวของคนนั้นๆ
เสี่ยงสุดในหญิงตั้งครรถ์และเด็ก โดยยิ่งเด็กยิ่งเสี่ยง มีผลทำให้ร่างกายอักเสบ เสี่ยงสมองเสื่อม มะเร็ง โรคหัวใจ โรคปอด เพิ่มขึ้น ส่วนการนั่งในรถยนต์ควรจะใส่หน้ากากหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับตัวกรองอากาศที่อยู่ในเครื่องปรับอากาศในรถ ซึ่งจะเป็นในลักษณะเดียวกันกับเครื่องปรับอากาศที่อยู่ในตัวอาคาร จึงจำเป็นจะต้องมีช่วงเวลาที่ปลดปล่อยให้อากาศภายนอกเข้ามาในเครื่อง หรือถ้าแค่เดินไปที่รถจากอาคารอาจจะไม่จำเป็นต้องใช้หน้ากาก ถ้าไม่มีหน้ากาก N95 ใช้หน้ากากธรรมดาก็ยังกันได้ N20-50 แต่ก็คือกันได้ 20-50 เปอร์เซ็นต์”
ส่วนพื้นที่อันตรายตามสีต่างๆ นั้น นพ. ธีระวัฒน์ ยังเสริมอีกว่า การระบุว่าจะอยู่ในพื้นที่ตรงนั้นได้นานแค่ไหนคงระบุไม่ได้ คงบอกได้แค่ว่าพื้นที่สีเหลือง คือ ให้ระวัง สีส้ม คือ เริ่มไม่ปลอดภัย สีแดง คือ เริ่มไม่ดีต่อสุขภาพมากขึ้น สีม่วง คือ แย่มาก น้ำตาลแดง คือ เริ่มจะแย่ที่สุด น้ำตาลแดงเข้ม ไม่สามารถระบุได้ ต้องดูที่ระดับตัวเลขมีทั้งน้ำตาลแดง 300- 500 กับน้ำตาลแดงมากกว่า 500
“ในพื้นที่สีเขียวกับสีเหลืองจะไม่เป็นไร ถ้าหากเริ่มขึ้นมาเป็นสีส้ม จะเริ่มมีปัญหา เริ่มมีผลกระทบต่อสุขภาพ คือจะมีผลโดยเฉพาะคนที่มีความเสี่ยง คนที่มีโรคประจำตัว โดยเฉพาะ โรคทางเดินหายใจ โรคปอด โรคหัวใจ ส่วนคนที่มีความเสี่ยงในกลุ่มอื่น ถึงแม้ว่าจะไม่มีโรคประจำตัว ก็คือเด็ก ผู้สูงวัย คนท้อง
ส่วนสีส้ม อาจจะต้องมีการ “เลื่อน” หมายถึงอาจจะต้องรอเวลา ให้เลื่อนจากสีส้มเป็นสีเหลือง ถ้าดูตามมาตรการคนทั่วไปให้เลื่อน คนกลุ่มเสี่ยงให้ลด ถ้าหากว่าเป็นโรงเรียนคือให้ลด หมายถึงลดเวลาการออกไปกลางแจ้ง สำหรับคนทั่วไปหรือคนกลุ่มเสี่ยง สำหรับโรงเรียนหรือหน่วยงานอาจจะลดชั่วโมงเรียนหรือการทำงาน



กรณีพื้นที่สีแดง ถ้าจำเป็นต้องเข้าไปในพื้นที่นั้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ควรที่จะต้องใส่หน้ากาก หน้ากากที่ดีที่สุดคือ N95 แต่จะมีปัญหาใส่แล้วอึดอัด เพราะฉะนั้นคนที่จะต้องใส่ N95 ในพื้นที่สีแดงลักษณะอย่างนี้คือคนที่มีความเสี่ยง คือมีหัวใจ โรคปอด คนที่มีโรคประจำตัว แต่คนในกลุ่มนี้คือกลุ่มคนที่น่าห่วงที่สุดเพราะฉะนั้นคนในกลุ่มนี้ก็คงต้องใช้มาตราการอย่างอื่น เป็นไปได้ห้ามเข้าไปในพื้นที่นั้น หรือถ้าหากว่าจะเข้าไปพื้นที่ตรงนั้นก็เข้าไปในระยะเวลาที่สั้นที่สุด
สำหรับคนที่ปกติเข้าไปอยู่ในพื้นที่สีแดงก็จำเป็นต้องใส่ เพราะว่าฝุ่นจิ๋วตัวนี้ถึงแม้ว่าจะเป็นคนปกติก็ตาม สามารถซึมเข้าไปโดยผ่านถุงลมเล็กๆ เข้าไปในกระแสเลือดได้ ส่งผลกระทบ สะสมไปเรื่อยๆ ในที่สุดแล้วก็จะมีผลกระทบต่อระบบร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของสมอง เรื่องของระบบเส้นเลือด กระทบต่อหัวใจ ก็คือเป็นผลสะสมในระยะยาว
ถ้าเป็นสีแดง คนทั่วไปก็คือลด คนกลุ่มเสี่ยงและโรงเรียนคือเป็นละ ส่วนยานพาหนะหรือหน่วยงานต่างๆ ก็จะเป็นเลื่อนคือเลื่อนเวลาออกไป”
อย่างไรก็ตามนายแพทย์ท่านนี้ยังให้ข้อมูลเพิ่มอีกว่า ไม่ได้มีแค่พื้นที่สีเขียว ส้ม แดง ที่ได้กล่าวไปเบื้องต้นนั้น หากเข้าข่ายเป็นพื้นที่ สีม่วง น้ำตาล นั้นคงต้องถึงขั้นประกาศภาวะภัยพิบัติ



“พื้นที่สีม่วง ก็จะเพิ่มขึ้นมาตามลำดับ กลายเป็นคนทั่วไปเป็นละ คนกลุ่มเสี่ยงเป็นเลิก โรงเรียนเป็นเลิก ยานพาหนะและหน่วยงานเป็นลด เพราะฉะนั้นคำว่าเลิกคือ ถ้าเป็นคนทั่วไปหรือคนกลุ่มเสี่ยงต้องอยู่ในที่พักอาศัยเลย ต้องควบคุมมลพิษในตัวอาคารด้วย
ถ้าเป็นโรงเรียนหรือหน่วยงาน ก็เปิดเฉพาะหน่วยงานสำคัญที่ปิดไม่ได้ เช่น โรงพยาบาลหรือว่าที่เกี่ยวข้องกับสาธารณูปโภค ส่วนเรื่องยานพาหนะลดยานพานะส่วนบุคคลที่จะเข้าไปในพื้นที่นั้นเลย
สีน้ำตาลแดง คือเลิก ยุติ ละ ก็คือคนทั่วไปคนกลุ่มเสี่ยงคือคำว่าเลิกทุกสิ่งทุกอย่างให้อยู่ในที่พักอาศัยเท่านั้น แต่ฝุ่นเหล่านี้ก็จะลอยเข้ามาในตัวอาคารด้วย ตรงนี้ก็จะมีเครื่องฟอกอากาศ แล้วก็เรื่องเครื่องปรับอากาศก็ต้องระวัง เพราะว่าต้องมีเครื่องกรองอากาศเพราะสามารถกรองได้ระดับ 2.5 ถ้าหากว่าเป็นน้ำตาลแดง โงเรียนหน่วยงานต้องปิดเรียนเลย ยานพาหนะคืองดยานพาหนะส่วนบุคคลเข้าไปในพื้นที่ ถ้าเป็นน้ำตาลแดงเข้มคือเกิน 500 คือยุติทุกสิ่งทุกอย่าง เหมือนกับว่าปิดพื้นที่นั้น ประกาศให้พื้นที่นั้นเป็นภัยพิบัติ”

15จุดเสี่ยงอันตรายที่ควรเลี่ยง!!

หลังจากที่คนกรุงต้องเผชิญกับเรื่องฝุ่นมลภาวะต่อเนื่องกันมาหลายวัน ทำให้ข้อมูลล่าสุดพบจุดเสี่ยงอันตรายในสถานการณ์ที่อยู่ในพื้นที่สีส้มโดยเริ่มมีผลกระทบต่อสุขภาพ ซึ่งอ้างอิงจากเว็บไซต์ของกองจัดการคุณภาพอากาศและเสียง กรุงเทพฯ ที่มีทั้งหมด 15 เขต
ได้แก่ เขตสัมพันธวงศ์,เขตวังทองหลาง ,เขตปทุมวัน ,เขตบางรัก ,เขตสาทร,เขตบางคอแหลม,เขตยานนาวา,เขตธนบุรี ,เขตคลองสาน,เขตภาษีเจริญ,เขตหนองแขม,เขตพระนคร,เขตคลองเตย,เขตบึงกุ่ม ,เขตบางขุนเทียน ส่วนในพื้นที่ทั่วไปที่เหลือยังอยู่ในพื้นที่สีเหลืองระดับปานกลาง และมีพื้นที่สีเขียวระดับคุณภาพดีอยู่บ้างบางจุด



กรมควบคุมมลพิษ ได้มีการรายงานสถานการรณ์ว่า สถานการณ์ PM2.5 พื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑลว่า คุณภาพอาาศเริ่มมีผลกระทบต่อสุขภาพ ปริมาณฝุ่นละอองมีแนวโน้มลดลงเล็กน้อย
พื้นที่ริมถนน โดยสถานีวัดคุณภาพอากาศแสดงผลค่าฝุ่นละออง PM2.5 โดยรวมอยู่ในระดับเริ่มมีผลกระทบต่อสุขภาพ มีค่าเกินมาตรฐาน (50 มคก./ลบ.ม.) อยู่ 14 พื้นที่ ส่วนพื้นที่ทั่วไป ที่ห่างจากริมถนนสายหลัก โดยรวมอยู่ในระดับปานกลาง มีค่าเกินมาตรฐาน (50 มคก./ลบ.ม.) อยู่ 6 พื้นที่
นอกจากนี้ยังคาดการณ์ ว่าคุณภาพอากาศในวันที่ 18 ม.ค.นี้จะอยู่ในระดับ “ปานกลาง" และจากการคาดการณ์ของกรมอุตุนิยมวิทยา พื้นที่ กทม. และ ปริมณฑล จะยังไม่มีฝนตกในพื้นที่ ขอความร่วมมือประชาชน งดการเผาในที่โล่งทุกประเภท และงดการใช้รถยนต์ควันดำอย่างเด็ดขาด
กรมควบคุมมลพิษได้ประสานงานกับ กทม. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้ง กทม. บก.จร. ขนส่ง กองทัพฯ กรมอุตุนิยมวิทยา และผวจ.ปริมณฑล ทั้ง 5 จว. เพื่อดำเนินมาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหา PM2.5 อย่างต่อเนื่อง เช่น บก.จร. เพิ่มจำนวนจุดตรวจวัดรถยนต์ควันดำเป็น 20 จุด กทม. กวาดล้างถนนอย่างเข้มงวดทุกวัน พร้อมทั้งจัดอุปกรณ์ฉีดพ่นละอองน้ำเพื่อลดปัญหาฝุ่นละออง เร่งคืนพื้นที่ผิวจราจร ลดฝุ่นละอองจากการก่อสร้าง ปฏิบัติการฝนหลวง เพื่อดำเนินการลดปริมาณฝุ่นละออง อย่างต่อเนื่อง
ขณะเดียวกัน กระทรวงคมนาคมได้มีมาตราการเพื่อลดปริมาณฝุ่นละออง โดยขอความร่วมมือให้หยุดการก่อสร้างรถไฟฟ้า 3 สาย ส้ม เหลือง ชมพู ในช่วงวันที่ 16-22 ม.ค.นี้ เพราะเป็นสาเหตุหลักทำให้เกิดฝุ่นและให้มีการตรวจรถโดยสารของขสมก.ที่มีควันดำ ซึ่งห้ามโดยเด็ดขาดให้หยุดวิ่งตั้งแต่วันที่ 18.ม.ค.นี้เป็นต้นไป และมีการปรับเครื่องยนต์เพื่อใช้น้ำมันไบโอดีเซล B20 เพื่อลดมลพิษ

สำหรับการตรวจจับควันดำ เพียงวันเดียวสามารถจับรถควันดำเกินมาตราฐานได้ 651 คัน ใน 20 จุด ทั่วกรุงเทพ มีมาตราฐานว่าหากเป็นรถเล็กจะใช้อำนาจกรมควบคุมมลพิษติดสติ๊กเกอร์ห้าวใช้ชั่วคราว 30 วัน แต่ถ้าเป็นรถใหญ่ เช่นรถบรรทุก 6 ล้อ จะใช้วิธีฉีดสเปรย์ข้างรถ

สกู๊ป: ทีมข่าว MGR Live



 
** มาตามติด ไลฟ์สไตล์บันดาลใจ+ประเด็นสดใหม่ ได้ที่นี่!! **



กำลังโหลดความคิดเห็น