xs
xsm
sm
md
lg

“สู้เพื่อตัวเอง!!” ถูกซ้อม-โรครุม-หมดตัว มหากาพย์มรสุมชีวิต “แอน-เซ็กซี่สตาร์” [มีคลิป]

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

[อดีตซุปตาร์สายเซ็กซี่ แอน-กัญญารัตน์ บ่อสันเที๊ยะ สมัยนั้นไม่มีใครไม่รู้จักเธอ]
เธอคืออดีต “เซ็กซี่สตาร์” ที่เคยโด่งดังจนไม่มีใครไม่รู้จัก คือหญิงสาวที่ถูกมองว่าโชคดีเพราะได้เป็นเจ้าสาวของ “พระเอกแห่งยุค” และคือคนดังที่ถูกโชคชะตาเล่นตลกกับชีวิตมากที่สุดคนหนึ่ง

จนส่งให้นางแบบสาวพราวเสน่ห์ต้องกลายเป็น “กระสอบทราย” เพราะถูกซ้อมด้วยน้ำมือของคนที่เธอรัก ทั้งยังถูกซ้ำด้วยพิษจากโรคร้าย จนต้องขายทรัพย์สินให้สิ้นเนื้อประดาตัว

สั่งสมบาดแผลฉกรรจ์ที่หลายต่อหลายคนเกินทานรับได้ แต่เธอกลับไม่เคยคิดหนีปัญหาหรือมองว่าชีวิตไร้ค่า เพราะบอกตัวเองไว้เสมอว่าจะต้อง “สู้เพื่อตัวเอง!!”




ขอลูกอย่าอาย “ถ่ายเซ็กซี่” หาเงินส่งเสีย

“มันคือสิ่งที่แม่ทำเพื่อเอาเงินมาเลี้ยงลูก ถ้าแม่ไม่ทำตรงนี้ แล้วเราจะได้มีเงินเรียนหนังสือไหม” นี่คือเหตุผลที่ แอน-กัญญารัตน์ บ่อสันเที๊ยะ บอกกับลูกๆ ทั้งสองของเธอเอาไว้ ในวันที่จำต้องสลัดผ้า รับข้อเสนอในฐานะ “เซ็กซี่สตาร์” หลังครอบครัวที่เคยพร้อมหน้าต้องแยกทาง และคนเป็นแม่อย่างเธอก็ทำได้เพียงพร่ำบอก “น้องภีม” กับ “น้องชชา” ลูกชายคนโตกับลูกสาวคนที่สอง เพื่อให้เด็กๆ สามารถคลายปมในใจจากคำล้อของเพื่อนๆ ที่โรงเรียนได้

“สำหรับตัวเราเอง เราไม่เสียใจอะไรค่ะ แต่จะเสียใจที่มันไปกระทบลูกของเรามากกว่า เพื่อนล้อลูกว่าแม่แกถ่ายรูปโป๊ เราก็จะบอกลูกว่าเราทำอาชีพสุจริตนะลูก เราไม่ได้ไปค้าประเวณี ค้ายาเสพติด หรือไปขายของผิดกฎหมาย”

เมื่อถึงจุดที่ “ชีวิตติดลบ” ผู้หญิงร่างบางๆ คนนี้ จึงต้องกลายมาเป็นเสาหลักของครอบครัวที่แตกแยก เพราะการหย่าร้างกันในครั้งนั้น ไม่ได้ทำให้เธอมีทรัพย์สินมากมายติดตัวกลับมา แต่กลับต้องรับหน้าที่ดูแลลูกวัย 2 ขวบกับ 1 ขวบด้วยตัวคนเดียวอีกต่างหาก การติดต่อยื่นข้อเสนอของหนังสือแนวปลุกใจเสือป่าในตอนนั้น จึงกลายเป็นทางออกที่ดีที่สุดของครอบครัวนี้



[“คุณแม่แอน” แม่เลี้ยงเดี่ยวสมัยยังสาว]
“ตอนที่ศาลตัดสินเรื่องการหย่าขาด เราก็ได้เงินจากพ่อของเขาแค่ก้อนแรก แล้วก็ไม่ได้มีก้อนต่อไป แต่เราก็ไม่ได้เรียกร้องอะไรค่ะ เพราะถือว่าในเมื่อคุณไม่ให้ ก็ไม่เป็นไร เราเลี้ยงของเราได้

ตอนนั้นคิดแค่ว่า เราจะทำยังไงเพื่อจะให้ลูกได้เข้าโรงเรียน ให้ลูกได้อยู่รอด เราก็เลยตัดสินใจเรียกค่าตัวเขาไปสูงมาก แล้วก็คิดว่าเขาคงให้ไม่ได้ คือเรียกไปครึ่งล้าน ซึ่งถ้าเทียบกับค่าเงินสมัยนั้นแล้ว ก็ถือว่าค่าตัวสูงอยู่พอสมควร เพราะเราไม่เคยถ่ายอะไรแบบนี้มาก่อน แต่กลายเป็นว่าเขาตอบกลับมาว่าโอเค

ตอนแรกที่ตัดสินใจเรียกค่าตัวเขาไปขนาดนั้น เพราะคิดว่าเขาคงไม่เอาเราแน่ๆ คือเป็นการตัดปัญหาไปเลย เขาจะได้ไม่ต้องมานั่งตื๊อเราอีก แต่พอเขาตอบตกลง เราก็เลยต้องคิดหนักเลยว่า มันจะออกมาเป็นลุคแบบไหน และเราก็อายด้วยค่ะ ไม่เคยต้องมานั่งถอดเสื้อผ้าให้ใครเขาดูเรือนร่างของตัวเองเลย



แต่ภาพที่ออกมาก็ไม่ได้เห็นอะไรมากนะคะ เพราะแขนเราจะบังเอาไว้หมด ทุกอย่างเซฟหมด เขาจะมีที่แปะหัวนม เราก็จะมีเสื้อคลุม ถ่ายเสร็จแต่ละเซตจะไม่ได้เดินโทงๆ กันอย่างสมัยนี้ พอถ่ายเสร็จ เราก็จะบอกเขาว่าขอเสื้อมาคลุมหน่อย จะยืนอยู่ตรงนี้ก่อน พอเซตฉากเสร็จแล้ว พร้อมแล้วเราก็ค่อยถอด

พอหนังสือออกมา เราก็ไม่กล้าซื้อด้วย (หัวเราะเขินๆ) ตอนที่หนังสือวางตามแผง ก็มีไปยืนดู แต่พอได้ยินวัยรุ่นเขาพูดกันว่าจะซื้อ เราก็อาย เพราะจริงๆ แล้วเป็นคนขี้อายมากๆ ก่อนที่จะตัดสินใจถ่ายหนังสือเล่มนั้นก็คิดนานมาก จะถ่าย-ไม่ถ่าย วนไปมาอยู่อย่างนี้ ถามเขาว่าต้องโป๊ขนาดไหน เพราะเราก็มีลิมิตของเราเหมือนกัน จะให้เอ็กซ์ไปเลยก็คงไม่ได้ เลยขอแบบเซ็กซี่ที่เราพอจะทำได้”

และผลตอบรับการโชว์วาบหวิวครั้งแรกในชีวิตของแอนในครั้งนั้น ก็สร้างปรากฏการณ์ “หนังสือเกลี้ยงแผง” จนต้องตีพิมพ์ครั้งที่ 2 ส่งให้มีกองบรรณาธิการหนังสือแนวเซ็กซี่ติดต่อเธอมาเพิ่มอีก แล้วก็สร้างปรากฏการณ์เกลี้ยงแผงแบบเดิมซ้ำอีก จากดวงดาวที่เคยฉายประกายอยู่เพียงบนแคตวอล์ก จึงเจิดจรัสอยู่ทั้งบนจอเงินและจอทองในขณะนั้น อย่างที่ทุกสายตาต้องจับตามอง “ซิงเกิลมัมสุดแซ่บ” รายนี้



“เจ้าชู้” ไม่ว่า แต่อย่ามองเป็น “กระสอบทราย”

[ให้สัมภาษณ์เปิดทุกมุมชีวิต ผ่านรายการ “พระอาทิตย์ Live”]
ถึงแม้ “คุณแม่เลี้ยงเดี่ยว” รายนี้ จะไม่ยอมปริปาก เอ่ยถึงชื่อ “พ่อของลูก” แม้เพียงสักครั้งตลอดช่วงบทสนทนา แต่การที่ “พระเอกแห่งยุค” เป็นข่าวครึกโครมเรื่องทำร้ายร่างกายภรรยาในสมัยนั้น ก็ทำให้ชื่อของ เจค-ศตวรรษ ดุลยวิจิตร เป็นที่โจษจันมาจนถึงตอนนี้ ซึ่งเป็นสาเหตุเดียวกับที่หญิงแกร่งวัย 29 ในขณะนั้น ขอเดินออกมาจาก “ความรุนแรง” ที่เธอและลูกๆ ต้องเผชิญอยู่

“ไอ้เรื่องเจ้าชู้ เราโอเคนะคะ แต่ที่เรารับไม่ได้คือ มันมีการลงไม้ลงมือกันเกิดขึ้น และเราก็ทนมาระยะนึงแล้ว แต่ความอดทนของผู้หญิงเรามันมีขีดจำกัด เมื่อโดนมาตลอดจนมันถึงขีดสุด จนรู้สึกว่าเรารับไม่ไหวแล้ว ที่สำคัญเราไม่อยากเห็นลูกๆ จะต้องมาเจอสภาพแบบนี้ค่ะ

เรากลัวว่าความทรงจำเรื่องความรุนแรงจะติดอยู่ในหัวของเด็กๆ และมันจะทำให้เขารู้สึกว่าอาจจะเกิดความรุนแรงกับเขาในอนาคตข้างหน้าได้ ก็เลยตัดสินใจว่าไม่ไหวแล้ว ขึ้นโรงพัก ขอเลิกดีกว่า แต่มันก็ไม่ได้ง่ายเลยค่ะ เพราะมีการทำร้ายร่างกายกันถึงขนาดเลือดออก



[แก้วตาดวงใจ “น้องชชา” (ลูกสาว) และ “น้องภีม” (ลูกชาย)]
และจริงๆ แล้ว เราก็ไม่ได้อยากจะให้เป็นข่าวเลยค่ะ แต่ตอนที่เขาไปรับเรามาจากบ้านแม่ คิ้วเราแตก หัวเราก็แตก และคนข้างบ้านที่เขาเห็นประจำ เขาก็บอกเราว่าอย่าทนเลย แผลขนาดนี้แล้ว ลูกเราก็เห็น ก็เลยตัดสินใจไปลงบันทึกประจำวันว่า ขออย่าให้ผู้ชายคนนี้มายุ่งเกี่ยวกับเราอีก ฉันไม่ต้องการอะไร ฉันขอเลิก ขอไปจากผู้ชายคนนี้ ไม่เอาอะไรก็ได้ และเราก็ไม่เอาอะไรจริงๆ ค่ะ ขอแค่ลูก

บอกตามตรงว่า ถ้าไม่ใช่เพราะคำว่า “ลูก” แอนอาจไม่ลุกขึ้นมาปกป้องสิทธิ์ของตัวเองแบบนี้ แต่ด้วยความที่ไม่อยากให้ “ดวงใจตัวน้อยๆ” ของเธอต้องมาแบกรับความทุกข์ทนเหมือนอย่างช่วงวัยเด็กของตัวเอง เธอจึงตัดสินใจที่จะทำเพื่ออนาคตที่สดใสของเด็กๆ

“เราก็เคยเจอความรุนแรงแบบนี้มาเหมือนกัน แม่กับพ่อเลี้ยงเรา เขาตีกันบ่อยๆ และในความรู้สึกของเรา เราก็ยังจำภาพนั้นได้ว่า เขาตีกัน เอามีดไล่ฟันกัน มันทำให้รู้สึกว่าในเมื่อเราผ่านชีวิตตรงนั้นมาได้แล้ว และตอนนี้เราก็เป็นแม่คนแล้ว เราก็ไม่อยากให้ลูกๆ ไปเจอชีวิตแบบนั้นเหมือนเรา”



[ความสนิทสนมของคุณแม่-ลูกชายคนโต]
หนึ่งในรอยแผลที่กรีดแทงใจที่สุดเหตุการณ์นึงสำหรับคนเป็นแม่ ก็คือวินาทีที่ น้องภีม-ภาคิน บวรศิริลักษณ์ เด็กชายวัย 2 ขวบในขณะนั้น พยายามทุกวิถีทางเท่าที่จะทำได้ เพื่อช่วยให้ “คุณแม่แอน” ได้รอดปลอดภัยจากการสาดความเกลียดชังใส่กัน จนถึงขั้นเลือดตกยางออก

“ตอนที่พ่อเขาตีเรา เขาก็รู้ค่ะ เขาพยายามขึ้นไปเคาะประตูเรียกเราตลอดเลย บอกว่า "แม่..ภีมอยากกินขนมๆ" ด้วยความที่เขาเป็นเด็ก และเขาก็กลัวพ่อเขาด้วย เขาไม่รู้จะทำยังไง เขาก็เลยร้องให้เราเปิดประตูให้ได้แบบนั้น แล้วพอเราเปิดประตู เขาเห็นเราเลือดไหล เขาก็เข้ามากอดเรา แล้วก็ไม่ยอมไปไหนเลย

เทียบกับสมัยแรกๆ ที่คบกัน เขาก็ดูไม่มีวี่แววจะทำแบบนี้เลย หรืออาจเพราะเรายังไม่ได้ศึกษากันนานพอ แล้วก็มาใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน จากแรกๆ เราไปไหนมาไหนด้วยกัน มันก็ยังโอเค แต่พอหลังๆ เรามีลูก เราก็เริ่มห่างจากเขา แต่เราก็ได้ยินมาบ้างว่าเขาเจ้าชู้ ซึ่งความเจ้าชู้ของเขา เราโอเค เพราะเราถือว่าสามีออกไปข้างนอก เขาก็ไม่ใช่ของเรา แต่พอกลับเข้าบ้าน เราก็ทำหน้าที่ให้ดีที่สุด

เราแค่คิดว่า ถ้าจะเจ้าชู้ก็ทำไป แต่อย่าให้ผู้หญิงคนอื่นมาวุ่นวายกับเรา เราไม่ชอบ คุณจะไปจัดการอะไรกันเองก็ไป แต่อย่ามาวุ่นวายอะไรกับเรา และลูกเรา แต่ที่ยอมไม่ได้ก็คือการทำร้ายร่างกายกันนี่แหละค่ะ

ตอนนั้นถือเป็นช่วงมรสุมในชีวิตที่หนักมากเหมือนกัน เพราะแฟนละครของเขาก็กล่าวหาเราว่า เราสร้างกระแส ทำให้เขาเสื่อมเสียชื่อเสียง ทำให้เขาดูเป็นคนไม่ดี แต่เราก็คิดว่า..เอาเหอะ ใครจะคิดยังไงก็คิด เพราะเขาไม่โดนอย่างเรา เขาไม่รู้หรอก

มันเหมือนคำพูดที่ว่า "คนในอยากออก คนนอกอยากเข้า" คือคนที่เป็นดารา ภายนอกดูสวยงาม แต่ภายในบ้านคนอื่นเขาไม่รู้หรอกค่ะว่า ความจริงมันเป็นยังไง”



“ขายบ้าน-หมดสมบัติ” ชีวิตพังเพราะพิษโรค

[เข้าออกโรงพยาบาลเป็นว่าเล่น เพราะโรครุมเร้า]
“ตอนนั้นหมอสันนิษฐานเลยค่ะว่า คุณน่าจะเป็น “มะเร็งปากมดลูก” แล้วก็ขออนุญาตตัดชิ้นเนื้อไปตรวจ อีก 1 อาทิตย์ถัดมา มาฟังผล พอหมอบอกว่า "คำที่หมอสันนิษฐานไว้เป็นจริงนะ" เราก็อึ้งเลย ฟุ้งซ่านไปหมดเลยว่า แล้วลูกล่ะ แม่ล่ะ จะอยู่ยังไง ฉันจะหายไหม จะรักษาได้ไหม

สรุปคือเราเป็นมะเร็งปากมดลูก แล้วก็ต้องรีบผ่าตัดด้วยค่ะ เพราะมันเริ่มจะเข้าระยะที่ 3 แล้ว เราก็เลยต้องขายคอนโดฯ ที่เคยซื้อไว้ทิ้ง ทำให้พอจะมีเงินก้อนมาเก็บไว้รักษาตัวอยู่บ้าง ซึ่งเป็นเงินที่เคยเก็บเอาไว้ให้ลูก รวมๆ แล้วก็ใช้ไปเกือบๆ ล้าน

อดีตเซ็กซี่โมเดลบอกเล่าถึงมรสุมในชีวิตของเธอในวัย 35 เอาไว้แบบสั้นๆ หลังต่อสู้กับโรคร้ายโรคนี้ได้สำเร็จ ใช้การรักษาด้วยวิธีคีโมฯ นาน 3 เดือนก็เห็นผล แอนจึงได้แต่ปิดท้ายเรื่องราวของก้อนเนื้อร้ายก้อนนั้น ผ่านรอยยิ้มสบายๆ ว่า “ก็โชคดีอยู่ค่ะ ที่เราไม่ตาย” ก่อนจะเผยถึงโรคที่ทำให้เธอทุกข์ทรมานยิ่งกว่า ซึ่งคราวนี้ใช้เวลาในการต่อสู้นานถึง 6 ปี

“หลังจากเป็นมะเร็งประมาณ 15 ปีจนรักษาหาย จู่ๆ ก็กลายเป็นโรค "น้ำในข้อกระดูกแห้ง" โดยไม่รู้ตัวค่ะ เป็นขึ้นมาได้ยังไงก็ไม่รู้ จากปกติแล้ว ข้อของเราจะมีน้ำใสๆ อยู่ตรงบริเวณข้อต่อ ของเราเป็นที่สะโพก พอน้ำที่สะโพกระหว่างข้อต่อแห้ง กระดูกมันก็เลยติดกัน พอเวลาเดินก็ทำให้เกิดเสียงกึกๆๆ เหมือนกระดูกมันสีกัน ทำให้เจ็บขา เดินไม่ได้ ถ้าจะเดินก็ต้องมีที่ช่วยค้ำ เป็นแบบนั้นอยู่ประมาณ 2-3 เดือน ไม่ไหว ก็เลยตัดสินใจไปพบแพทย์ แล้วก็ต้องผ่าตัด”



แต่แล้วความเจ็บปวดของโรคนี้ กลับไม่หยุดอยู่เพียงแค่นั้น แอนต้องทนปวดกระดูกจนต้องผ่าตัดเพิ่มอีก 5 ครั้ง ถึงแม้ว่าจะแอดมิดเข้าโรงพยาบาลที่เชี่ยวชาญเรื่องการรักษากระดูกโดยเฉพาะแล้วก็ตาม “เข้าโรงพยาบาลจนกลายเป็นว่า เห็นห้องผ่าตัดเป็นห้องท่องเที่ยวไปเลยค่ะ” เจ้าของสถิติผ่าตัดกระดูก 6 ครั้งบอกเล่าเรื่องราวหนักๆ ในชีวิต ก่อนแนบเสียงหัวเราะและลงรายละเอียดให้คู่สนทนาเข้าใจมากขึ้น

“ช่วงนั้นผ่าตัดปีละครั้งเลยค่ะ นี่ก็ผ่ามาได้ 6 ครั้งแล้ว แต่หลังจากครั้งสุดท้ายนี้ก็ไม่น่าจะต้องผ่าแล้วค่ะ เพราะทุกอย่างมันพอดีแล้ว ถามว่า 6 ครั้งต้องผ่าอะไรบ้าง? ผ่ารอบที่ 1 ใส่ข้อกระดูก, ผ่ารอบ 2 เปลี่ยนข้อกระดูก, รอบ 3 ผ่าเพื่อใส่ยาฆ่าเชื้อที่ข้อกระดูก

รอบที่ 4 ผ่าเอายาฆ่าเชื้อตรงข้อกระดูกออก แล้วก็กลายเป็นว่าตอนไปรื้อกระดูกตรงขา ใส่เหล็กให้ขาเรายาวเท่ากัน แต่คงรื้อแรงไป กระดูกท่อนขาเราหัก ก็เลยใส่เหล็กให้กระดูกเราเชื่อมกันเอง, แต่ปรากฏว่ากระดูกไม่เชื่อม ก็เลยต้องไป ผ่ารอบที่ 5 เพื่อที่จะรัดลวดตรงกระดูกที่มันหัก ให้มันติดกัน แล้วก็มาเป็น รอบที่ 6 รอบสุดท้าย

ต้องบอกว่าการผ่าตัดกระดูกมันเป็นอะไรที่เจ็บมาก (เน้นเสียง) เจ็บมากจริงๆ เชื่อไหมคะว่าตอนออกจากห้องคลอด ยังไม่เจ็บเท่ากับการผ่าตัดกระดูกเลย เจ็บแบบอธิบายไม่ถูก และสิ่งที่อธิบายไม่ถูกมากกว่าอีกคือ ตอนผ่าคุณหมอบังเอิญไปเกี่ยวโดนเส้นประสาท เรานอนไม่ได้เลย เหมือนมีเข็มเป็นพันๆ เล่มมาทิ่มที่ขาเรา



ที่น่าตกใจคือ ตลอดระยะเวลาการรักษาโรคกระดูกโรคนี้ ส่งผลให้แอนและครอบครัวต้องขายสมบัติทุกอย่างที่มีอยู่ในมือ แม้กระทั่งบ้านพักที่ทุกคนเคยอาศัยอยู่ด้วยกัน เนื่องจากการผ่าตัดครั้งหนึ่งๆ เธอต้องนอนพักรักษาตัวอยู่โรงพยาบาลนานถึง 2 เดือน ส่วนสิทธิ์ “30 บาทรักษาทุกโรค” ก็ใช้ไม่ได้กับการนอนพักห้องเดี่ยว รวมถึงค่ายานอกเหนือจากในบัญชี และค่าเหล็กเทียมกระดูกที่สูงถึงแท่งละ 200,000 บาทต่อครั้งด้วย

เวลานอนโรงพยาบาลก็มี 2 เดือนบ้าง 2 เดือนครึ่งบ้าง กว่าจะได้กลับบ้าน เพราะการผ่าตัดกระดูกตรงนี้ คุณหมอเขาจะให้นอนตรงๆ เฉยๆ เพราะเราใส่ข้อ เขากลัวข้อจะหลุด เขาต้องแน่ใจว่าเราลงน้ำหนักที่ขาได้แล้ว กลับบ้านได้แล้ว เขาถึงจะยอมให้เรากลับค่ะ

พอค่าใช้จ่ายมันเริ่มเยอะขึ้นๆ เราก็ไม่ไหว เพราะถึงน้องภีมจะมีรับงานในวงการ แต่เขาก็ต้องเรียนด้วย ทำให้รับได้ไม่เต็มที่ ยิ่งช่วงหลังดาราเยอะ แข่งขันสูงด้วย สุดท้ายก็กลายเป็นเราติดค่าบ้านมาเรื่อยๆ ติดมาประมาณ 3 ปีจนทางแบงก์บอกว่า ถ้าไม่เคลียร์เขาก็จะยึดนะ ก็เลยต้องขายบ้าน เอาเงินไปใช้หนี้แบงก์

ตอนนี้ที่บ้านเราก็ไม่มีเงินสำรองแล้วค่ะ มันหมดไปกับการรักษาตัวแล้ว ทุกวันนี้ก็ยังติดหนี้ที่โรงพยาบาลอยู่เลย เพราะค่าเหล็กครั้งสุดท้ายยังไม่มีเงินจ่ายเลย ตอนแรกว่าจะไม่ผ่าค่ะ กะว่าจะเก็บเงินจ่ายค่าเหล็กได้ก่อน แต่คุณหมอบอกว่าไม่ต้อง เดี๋ยวเขาผ่าตามเดิม แล้วเขาก็ไปคุยกับ ผอ.โรงพยาบาลเลิดสินให้ เอาเอกสารมาให้เราเขียน ให้ผ่อนจ่ายได้

คุณหมอใจดีมาก คุณหมอน่ารักมาก คุณหมอบอกว่ายังไงก็จะรักษาจนกว่าจะเดินได้ เขาบอกว่าเขาไม่อยากใส่เหล็กที่ไม่มีคุณภาพให้เรา เพราะเหล็กธรรมดาจะอยู่ได้แค่ 5 ปี แล้วก็ต้องไปเปลี่ยน แต่ถ้าเป็นเหล็กไทเทเนียม มันจะอยู่ได้ประมาณ 10-20 ปี เขาก็เลยให้เรา



[ลูกๆ คือกำลังใจสำคัญ ที่ทำให้หยัดยืนมาได้จนถึงทุกวันนี้]
ถึงตอนนี้ครอบครัวของเธอจะไม่มีบ้านให้ได้อยู่รวมกันเป็นหลักแหล่งเหมือนเคย ทุกคนต้องแยกย้ายกันไปหาที่พึ่งพิง “คุณแม่แอน” ต้องนอนบ้านเพื่อน สลับกับการพักรักษาตัวที่โรงพยาบาล, “น้องภีม” ลูกชายคนโตต้องไปพักอาศัยกับเพื่อนรุ่นพี่ และ “น้องชชา” ลูกสาวคนที่ 2 ก็ใช้เงินเดือนที่ได้จากการเป็นมนุษย์เงินเดือนจบใหม่ดูแลตัวเอง แต่คุณแม่ยังสาวคนนี้ก็ไม่เคยคิดว่าชีวิตตัวเองไร้ค่า เพราะเชื่อว่า “ปัญหามีไว้ให้แก้ ไม่ได้มีไว้ให้หนี”

“ปัญหาทุกเรื่องที่เข้ามาในชีวิต มันมีทางแก้หมด อยู่ที่ว่าเราจะยอมรับมันได้ไหม และเราจะแก้มันด้วยวิธีไหน แต่ละคนมีวิธีแก้ไม่เหมือนกัน อย่างของเรา เราก็มีความรู้สึกว่าเรามีลูกเป็นกำลังใจ ถ้าเราไม่สบายใจมากๆ เราก็เข้าห้องพระสวดมนต์

ในเมื่อปัญหามันก็มีไว้ให้แก้ แล้วทำไมเราต้องไปหนีปัญหาด้วยการประชดชีวิต เราจะชอบมองกว้างๆ ค่ะว่ายังมีอีกหลายคนที่เขาปากกัดตีนถีบ คนที่เขาต้องสู้เพื่อให้ตัวเองอยู่รอด เพราะฉะนั้น เราก็ต้องสู้สิ คือไม่ได้สู้เพื่อลูก ไม่ได้สู้เพื่อแม่ แต่ “สู้เพื่อตัวเอง” ให้ตัวเองได้มีชีวิตอยู่ ให้ได้ทำอะไรดีๆ ไปได้อีกนานๆ จะได้เห็นความสำเร็จของลูกๆ ในอนาคต”




สัมภาษณ์: รายการ “พระอาทิตย์ Live”
เรียบเรียง: อิสสริยา อาชวานันทกุล
ขอบคุณภาพ: อินสตาแกรม @ann_areeruth, @peem_parkin และ @sshashaar


กำลังโหลดความคิดเห็น