xs
xsm
sm
md
lg

ขอไลน์เธอ แลกเงินมา... “7.3 ล้าน” คุ้มไหมน้า ข่าวพีอาร์-ติ๊กเกอร์ลุงตู่!!?

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


อ้าปากค้างกันทั้งประเทศ!!... เมื่อพ่อแม่พี่น้องได้รู้ชะตากรรม “เงินภาษี” ของตัวเองว่า กำลังจะถูกผันไปเป็นค่า “ข่าวประชาสัมพันธ์-สติกเกอร์ดุ๊กดิ๊ก” ที่ส่งผ่านระบบไลน์ของรัฐบาล เข้าสู่สมาร์ทโฟนของประชาชน โฆษกอ้างเพื่อการประชาสัมพันธ์ “เชิงรุก” จึงถูกรุมซ้ำเหยียบกลับ หันมาทำ “เชิงรับ(ฟัง)” ให้ดีก่อนไหม ถามหน่อยใครอยากแอดบ้าง “Line Official Account” ของลุงๆ?



“7 ล้านกว่า” ราคาจริงที่ “ไร้สาระ”

[ภาพจำลอง ล้อเลียนสติกเกอร์ในอนาคตของรัฐบาล จากแฟนเพจ "BENDA5000"]
“เอามา 7 ล้าน” ทันทีที่มีกระแสข่าวเรื่อง “โครงการประชาสัมพันธ์ข่าวสารรัฐบาลเชิงรุก” ของรัฐบาล ผ่านทาง Line Official และ Line Sticker ออกมา แฟนเพจ “BENDA5000” ก็ลุกขึ้นมาวาดภาพ “สติกเกอร์ไลน์จำลอง” ล้อเลียนนโยบายออกมาทันที

โดยภาพดังกล่าว คล้ายจะนำเสนอผ่านใบหน้าของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี จนกลายเป็นโพสต์ที่ถูกแชร์กันอย่างสนั่นหวั่นไหว เหมือนกับว่าภาพจำลองสติกเกอร์ล้อเลียนชุดดังกล่าว ช่วยแทนเสียงพูดของประชาชนที่อยากตั้งคำถามกับงบประมาณ “7.3 ล้าน” ที่ต้องทุ่มเงินลงไป

เป้าหมายที่ทางรัฐบาลทำ มันค่อนข้างกำกวม “การประชาสัมพันธ์เชิงรุก” อย่างที่เขาบอกไว้ มันหมายถึงอะไร ผมเองก็นึกไม่ออกเหมือนกันครับ มันไม่เห็นเป็นรูปธรรมเท่าไหร่ครับว่า รัฐจะใช้งบตรงนี้ไปเพื่ออะไรบ้าง เรารู้แค่ว่าเขาจะใช้ทำประชาสัมพันธ์รัฐบาล แต่ก็ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องใช้เงินมากมายขนาดนี้ด้วย

บอม-ธิตินันท์ จันทร์แต่งผล มือเบสวง "ภูมิจิต" และเจ้าของแฟนเพจ “BENDA5000” ที่ลุกขึ้นมาวาดภาพสติกเกอร์ล้อเลียน จนถูกแชร์ให้ว่อนโลกออนไลน์ ให้สัมภาษณ์กับ ทีมข่าวผู้จัดการ Live เอาไว้แบบนั้น ผ่านมุมมองของคนที่รับออกแบบสติกเกอร์ไลน์มาตลอด ซึ่งถ้าผลิตออกมาเพียง 1 ชุด จำนวน 8 คาแร็กเตอร์ เท่ากับโปรเจกต์นี้ของรัฐบาล ราคาการจ้างทำโดยปกติแล้ว ก็จะอยู่ที่ประมาณ 5,000-7,000 บาทเท่านั้นเอง



[โปรเจกต์ที่ประชาชนโซเชียลฯ ไม่เห็นด้วย]
แน่นอนว่าไม่ใช่เพียงบอมเท่านั้นที่ไม่เข้าใจการ “ตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ” ในครั้งนี้ แต่ประชาชนชาวโซเชียลฯ หลายต่อหลายคนก็มองไม่เห็นสาระของมันเช่นเดียวกัน และบรรทัดต่อจากนี้คือส่วนหนึ่งของความคิดที่ไม่เห็นด้วย

"บริหารประเทศให้ดี เดี๋ยวคนก็ชื่นชมเองแหละ ไม่ต้องโฆษณาเชิงรก-เชิงรุกอะไรให้เปลืองงบฯ หรอกครับ"

"สื่อสารกับประชาชน โผล่มาสื่อสารทุกวันศุกร์ ยังไม่พอใจอีกเหรอ"

"สติกเกอร์ไลน์ที่เป็นแบบโฆษณาแบรนด์ ให้โหลดฟรี ต้องจ่ายให้ไลน์เป็นหลักล้านจริงๆ นะ เคยถามคนที่อยู่ฝ่ายการตลาดของสินค้า เห็นว่าเกือบ 5,000,000 แต่ถ้าเป็นแบบที่เราทำขาย ไลน์ไม่เก็บเงิน เพราะหักเปอร์เซ็นต์จากยอดโหลดอยู่แล้ว แต่ยังไงก็ตาม เรามองว่าโครงการนี้ไร้สาระ"

"ถึงมันจะเป็นราคาจริง แต่ผมว่าแม่งเลอะเทอะ ไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้น เอาเงิน 7,000,000 ไปทำอย่างอื่นดีกว่า"



กลับมาตอบคำถามกันให้ชัดๆ ว่า “7.3 ล้าน” ที่รัฐบาลมุ่งหมายจะทุ่มทุนลงไปในโปรเจกต์นี้นั้น ได้อะไรกลับคืนมาบ้าง จากเอกสาร “รายละเอียดการคำนวณราคากลาง (ราคาอ้างอิง) จ้างทำ Line Official Account เพื่อประชาสัมพันธ์ข่าวสารรัฐบาลเชิงรุก” แล้วนั้น แบ่งออกได้เป็น 2 ทาง ดังนี้

1.ได้บริการจากระบบ Line Official Account ที่จะช่วยให้มีบัญชีอย่างเป็นทางการ ใช้ส่งข้อมูล, คลิป, ภาพ และข่าวสารต่างๆ ได้เป็นระยะเวลา 1 ปี คิดเป็นมูลค่า “4,320,000 บาท”

และ 2.ได้บริการจากระบบ Line Sticker ซึ่งออกแบบโดย สำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี มีเวลาดาวน์โหลดเพียง 30 วัน และใช้งานได้เพียง 90 วัน คิดเป็นมูลค่า “2,250,000 บาท”

เมื่อรวมทั้งสองระบบบริการแล้ว จะมีมูลค่ารวมภาษีคิดเป็น “7,029,900 บาท” และหากนำมาคิดรวมกับงบประมาณการจ้างทำข่าวสารเพื่อประชาสัมพันธ์ จึงคิดตัวเลขกลมๆ เผื่อเอาไว้ที่ “7,300,000 บาท” โดยทาง พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เจ้าของโครงการ เป็นผู้ดำเนินการตามนโยบายนายกฯ อย่างที่แหล่งข่าวได้ระบุเอาไว้

“สติกเกอร์แต่ละรูปแบบนั้นแตกต่างกัน ที่สำคัญ สามารถขยับได้ ซึ่งอาจจะเป็นรูปอิริยาบถต่างๆ ของ พล.ท.สรรเสริญ จะมีการเปิดให้ดาวน์โหลดเร็วๆ นี้



วิธีอื่นยังมี!! หยุด “เชิงรุก” ทำ “เชิงรับ”

[ภาพจำลอง ล้อเลียนสติกเกอร์ในอนาคตของรัฐบาล จากแฟนเพจ "BENDA5000"]
ถ้าเลือกได้ หลายๆ เสียงคัดค้านก็เลือกคำตอบไปในทิศทางเดียวกันว่า อยากให้ยุติโครงการประชาสัมพันธ์ตัวนี้เสีย แต่ถ้าทางรัฐบาลยังคงยืนยันที่จะใช้ช่องทางของ “ไลน์” เป็นทางส่งต่อข้อมูลข่าวสารให้แก่ประชาชนจริงๆ ก็ควรเลือกให้เหมาะสมกับงานที่ต้องการเผยแพร่

โดยผู้เชี่ยวชาญแนะว่าอาจจะใช้การสร้าง account แบบ “Line @” แทน “Line Official” ซึ่งสื่อสารส่งข้อมูลได้เหมือนๆ กัน แถมยังราคาต่างกันราวฟ้ากับเหว เพียงแต่ต้องตัดเรื่อง “สติกเกอร์แจกฟรี” ออกไปเท่านั้นเอง

“ปกติแล้ว การโหลดสติกเกอร์คือการซื้อ แต่ถ้ารัฐบาลจะทำสติกเกอร์แจกฟรี ก็เท่ากับว่ารัฐบาลซื้อสติกเกอร์เท่ากับจำนวนคนโหลดฟรี คือจ่ายแทนประชาชนให้กับไลน์ เพราะฉะนั้น ยอดจำนวนเงินในการทำโปรเจกต์นี้มันก็เลยแพง

สมมติว่าตีราคาสติกเกอร์ชุดละ 69 บาท ต่อการโหลด 1 ครั้ง ถ้ามีคนดาวน์โหลด 10 คน ก็ต้องจ่าย 690 บาท แต่โปรเจกต์นี้ลงทุนค่าสติกเกอร์ไปเป็นจำนวนเงิน 2,250,000 แสดงว่าคาดการณ์จำนวนคนดาวน์โหลดเอาไว้แล้วว่า ต้องจ่ายแทนประชาชนเป็นจำนวน 32,000 กว่า account เป็นอย่างต่ำ”



[เทียบให้เห็น "Line@" คุ้มกว่า "Line Official"]
เรียกได้ว่าวิธีการสร้าง “Line Official Account” เป็นการประชาสัมพันธ์รูปแบบที่ลงทุนสูงมาก เนื่องจากต้องล่อให้คนมากด add เพื่อติดตามข่าวสาร จึงจะสามารถดาวน์โหลดสติกเกอร์จาก account ของรัฐบาลไปใช้ได้ แต่ในขณะเดียวกัน คนจำนวนไม่น้อยก็เลือกที่จะกดดาวโหลดสติกเกอร์ฟรีไปใช้ ตามด้วยการกดบล็อก account นั้นๆ ไป

และถ้าประชาชน กดโหลดแล้วก็บล็อกแบบนี้กับ account ของรัฐบาล ก็เท่ากับว่าเขาจะไม่ได้รับรู้ข่าวสารอะไรเพิ่มเติม อย่างที่ภาครัฐตั้งเป้าหมายเอาไว้ และจะเป็นการลงทุนสูง ที่ได้ผลตอบแทนมาแค่หยิบมือเดียว สมมติว่ารัฐทำโปรเจกต์นี้ขึ้นมา แล้วมีประชาชนมากดติดตามแค่ 200,000 คน เราก็ไม่จำเป็นต้องลงทุนขนาดนั้นเลือกแพกเกจแพงๆ ราคาเป็นล้านๆ ขนาดนี้ก็ได้

เมื่อเทียบกับการส่งข่าวสารผ่านรูปแบบ “Line@” ซึ่งใช้ส่งข้อมูลข่าวสารได้เหมือนกัน เพียงแต่ไม่ได้ล่อคนด้วยการให้โหลดสติกเกอร์ไลน์ฟรี เพื่อให้มากด add ติดตามข่าวสาร แต่สิ่งที่เหมือนกันก็คือ สามารถส่งข่าวสารให้แก่ประชาชนที่สนใจกดติดตามข้อมูลได้ ทั้งยังส่งได้แบบไม่จำกัดจำนวนข้อความ รูปภาพ และคลิป เพียงแค่ถ้าอยากสื่อสารให้ถึงคนจำนวนมาก อาจจะต้องซื้อแพกเกจพรีเมียมในราคาหลักพันเท่านั้นเอง



ลองหันกลับมาถาม บอม-ธิตินันท์ เจ้าของภาพสติกเกอร์ล้อเลียน ผู้เชี่ยวชาญเรื่องการทำสติกเกอร์ไลน์อีกครั้ง โดยให้เขาช่วยวิเคราะห์ว่าระบบไลน์จะช่วยประชาสัมพันธ์เชิงรุกให้แก่ผลงานของรัฐบาลได้ดีแค่ไหน ถ้าให้พูดถึงแค่ตัวสติกเกอร์แล้ว เขามองว่าจะมีหรือไม่มีก็ได้ เพราะถึงให้ใส่ข้อมูลตัวอักษรลงไปในนั้น ก็สื่อสารใจความสำคัญอะไรไม่ได้อยู่ดี

ถ้าคิดจะพึ่งการใส่ข้อมูลมากับตัวสติกเกอร์ เพราะมันไม่น่าจะเหมาะกับการทำในเชิงวิชาการมาก ไม่รู้จะเอาไปใช้ในแง่มุมไหน ใช้ในจังหวะไหน เพราะตัวอักษรส่วนใหญ่ที่ใช้ในสติกเกอร์ก็จะมีแค่สั้นๆ ง่ายๆ อย่าง สวัสดี, โอเค, บาย ฯลฯ คงจะไปอัดอะไรมากในนั้นไม่ได้”

และจริงๆ แล้วโซเชียลฯ ที่จะสามารถสื่อสารกับประชาชนได้ ก็มีอีกตั้งหลายตัวครับ อย่างแฟนเพจเฟซบุ๊ก ผมก็ไม่แน่ใจว่าทางภาครัฐเขาได้เช็กข้อมูลของตัวเองบ้างหรือเปล่า เพราะทุกวันนี้ก็มีคนตำหนิเยอะในหลายๆ เรื่อง แต่ก็ไม่มีการแก้ปัญหาอะไรเลย

ถ้าให้ผมแนะนำ ผมว่าก่อนที่จะ "ประชาสัมพันธ์เชิงรุก" เขาควรจะหันมา "ประชาสัมพันธ์เชิงรับ" ให้ดีก่อนไหม เพราะมันสำคัญกว่าด้วยซ้ำ ก่อนที่เขาจะรุก เขาก็ต้องรับก่อน รับฟังก่อนว่า ประชาชนต้องการอะไร

เงิน 7.3 ล้าน มันเอาไปทำได้เยอะเลยนะครับ อย่างล่าสุดที่ผมดูข่าว ผมเห็นอาจารย์ท่านหนึ่ง ลุกขึ้นมาวิ่งเพื่อบริจาคเงินให้โรงพยาบาล (อ.นัท-ณัฐวัฒน์ โรจน์สุธี ครูสอนศิลปะที่วิ่งเพื่อบริจาค ซื้อเครื่องมืออุปกรณ์ทางการแพทย์ให้กับทางโรงพยาบาลทองผาภูมิ) ก็ทำให้คิดว่าหลังจากที่พี่ตูน บอดี้สแลม วิ่งในโปรเจกต์ "ก้าวคนละก้าว" ครั้งนั้น ก็เหมือนไม่ได้เห็นการสานต่อจากทางภาครัฐอีกเลย

กลายเป็นว่าคนธรรมดาๆ เท่านั้นที่ลุกขึ้นมาทำอะไร แล้วทำไมเงินตรงนี้ที่มีอยู่ ทำไมไม่เอาไปทำ ไม่เอาไปช่วย ให้มันเกิดประโยชน์ ถ้าเขาแค่จะทำโปรเจกต์นี้กัน เพราะอยากให้คนจดจำตัวตนของพวกเขาได้จากการสร้างคาแร็กเตอร์ ผมว่าคนจำได้ตั้งแต่ในทีวีแล้วครับ ไม่จำเป็นต้องใช้ไลน์มาสร้างอะไรเพิ่มให้คนเห็นอีกเลย

ข่าวโดย ผู้จัดการ Live
ขอบคุณภาพ: แฟนเพจ “BENDA5000”


กำลังโหลดความคิดเห็น