ญี่ปุ่น “การ์ดตก” อากาศร้อนคนปลดหน้ากาก เร่งปลดล็อกเสี่ยงติดเชื้อเพิ่ม

ผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในญี่ปุ่นเพิ่มสูงขึ้นอีกครั้ง จากการปลดล็อกเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจ ประชาชนเริ่มกลับมาใช้ชีวิตตามปกติ และอากาศที่ร้อนขึ้นทำให้ผู้คนเริ่มถอดหน้ากากอนามัย

จำนวนผู้ติดเชื้อโควิดในญี่ปุ่นวันที่ 4 มิถุนายนเพิ่มขึ้นเป็น 47 ราย เฉพาะที่กรุงโตเกียวมีผู้ติดเชื้อ 28 ราย แดนอาทิตย์อุทัยมีผู้ติดเชื้อในตัวเลข 2 หลักอีกครั้ง หลังจากที่รัฐบาลยกเลิกภาวะฉุกเฉิน และปลดล็อกให้ธุรกิจต่าง ๆ กลับมาดำเนินการตามปกติได้เพียง 2 สัปดาห์

สภาพอากาศที่เริ่มร้อนราว 30 องศาเซลเซียส ทำให้ผู้คนเริ่มถอดหน้ากากอนามัย โดยแพทย์เตือนว่า การสวมหน้ากากอนามัยในอากาศที่ร้อนจัด จะทำให้หายใจถี่ขึ้น หัวใจเต้นเร็วขึ้น และมีความเสี่ยงจะเป็นลมแดดได้

ผู้คนหลายคนยังหลีกหนีความอบอ้าวในบ้านมายังห้างสรรพสินค้า และร้านอาหารต่าง ๆ รวมทั้งเดินทางไปท่องเที่ยวต่างจังหวัดมากขึ้นในช่วงสุดสัปดาห์ ข้อมูลจากเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่แสดงให้เห็นว่า จังหวัดใกล้กรุงโตเกียว เช่น จังหวัดชิซูโอกะ และอิบารากิ มีนักท่องเที่ยวจากโตเกียวเพิ่มขึ้นราวร้อยละ 20 เมื่อเทียบกับสัปดาห์ก่อนหน้า ส่วนเมืองเกียวโตและนารา ซึ่งอยู่ทางตะวันตกของญี่ปุ่น ก็มีนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นราวร้อยละ 15


ปลดล็อกกู้เศรษฐกิจ แต่เสี่ยงติดเชื้อเพิ่ม

รัฐบาลญี่ปุ่นล่าช้าในการประกาศภาวะฉุกเฉินเพื่อควบคุมการระบาดของโควิดในช่วงแรก แต่ปลดล็อกอย่างรวดเร็ว เนื่องจากธุรกิจจำนวนมากได้รับผลกระทบอย่างหนักจากการที่ไม่สามารถดำเนินกิจการได้ หลายรายถึงขึ้นล้มละลายหรือปิดกิจการ

คณะผู้เชี่ยวชาญเรียกร้องให้รัฐบาลญี่ปุ่น เตรียมพร้อมรับมือการระบาดระลอกใหม่ด้วยการเพิ่มขีดความสามารถในการตรวจหาเชื้อ การรักษา และการเฝ้าติดตามการระบาด โดยเฉพาะการติดเชื้อเป็นกลุ่มที่โรงพยาบาลและบ้านพักคนชรา โดยเคยมีกรณีคอมพิวเตอร์เพียงเครื่องเดียวที่ใช้ร่วมกันในโรงพยาบาล ทำให้บุคลากรติดเชื้อหลายสิบคนมาแล้ว

นอกจากนี้ ธุรกิจร้านกินดื่ม สถานที่สังสรรค์ยามราตรีก็มีความเสี่ยงสูงมาก เพราะเป็นสถานที่ปิด ที่มีผู้คนแออัด และใกล้ชิดกัน


คณะผู้เชี่ยวชาญเห็นว่า วิถีทางเดียวที่จะทำให้ทั่วโลกพ้นจากการคุกคามของโรคโควิด-19 ได้คือ การพัฒนาวัคซีน

รัฐบาลญี่ปุ่นประกาศว่าจะมอบเงิน 300 ล้านดอลลาร์ให้แก่องค์กรระหว่างประเทศซึ่งรับผิดชอบในการจัดหาวัคซีน ก่อนหน้านี้ รัฐบาลญี่ปุ่นได้ให้คำมั่นที่จะมอบเงิน 100 ล้านดอลลาร์ให้แก่องค์กรนี้ ต่อมาได้ตัดสินใจที่จะเพิ่มการสนับสนุนอีก 200 ล้านดอลลาร์.