xs
xsm
sm
md
lg

รหัสรักจากอเวจี ตอนที่ 14 ปืนกระบอกนั้น

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์

บทประพันธ์ของ เอโดงาวะ รัมโป (1894-1965)
แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา

หรือด้วยฤทธิ์พิศวาส..รหัสปริศนาที่ถูกทิ้งไว้จึงมีมนต์มายาราวกับส่งสัญญาณขึ้นมาจากอเวจี

“ผมขอให้ผู้กองมิโนอุระพาไปดูที่พักของซานุกิบนหลังคาโกดังครับ ห้องของเขาสกปรกและรกรุงรังไปด้วยข้าวของสารพัดที่คงซื้อจากตลาดขยะที่เซ็นจูมาสะสมเอาไว้ มีทั้งรูปปั้นปูนปลาสเตอร์ นาฬิกาเสีย ๆ เก่าแก่ ตะเกียงน้ำมัน เครื่องไม้เครื่องมือหลายชนิด กองสุมกันอยู่เต็มไปหมด

ในจำนวนนั้นมีสิ่งที่ประหลาดมากอยู่อย่างหนึ่ง มันคือหุ่นโชว์เสื้อขนาดเท่าคนจริงแบบที่เราเห็นตามหน้าร้านตัดเสื้อ สภาพของมันไม่สมประกอบและดูไม่มีคุณค่าทางศิลปะเลยจนนิดเดียว ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมจึงอยู่ในนั้น ความผิดที่ผิดทางของมันทำให้ผมเกิดความสนใจขึ้นมา ก็เลยตรวจดูอย่างละเอียด”

นักสืบอาเกจิหยุดพูด หยิบบุหรี่มวนใหม่ขึ้นมาจุดช้า ๆ เปลวไฟที่วาบขึ้นปลายก้านไม้ขีดทำให้เกิดเงาด้านมืดและสว่างขึ้นชั่ววูบบนใบหน้าคมสัน

“หุ่นโชว์เสื้อที่ผมว่านี้เป็นหุ่นผู้ชายหวีผมแสกเรียบร้อย แต่ไม่ได้ยืนอยู่เป็นตัวหรอกนะครับ มันถูกถอดออกเป็นชิ้น ๆ คือชิ้นหนึ่งเป็นส่วนหัวกับส่วนอกวางไว้บนชั้นเรียงกับหุ่นปูนปลาสเตอร์แบบที่ใช้เรียนวิชาวาดเขียน แน่นอนว่าใช่ใช่ของใหม่ หูแหว่งจมูกวิ่น สีที่เคลือบไว้ก็ถลอกปอกเปิกจนเห็นเนื้อในสีขาว หุ่นโชว์แบบเสื้อตัวนี้ทำขึ้นมาด้วยวิธีพื้น ๆ คืออัดสิ่งทอคล้ายกระดาษทิชชูลงไปในแม่พิมพ์หุ่น ทาแป้งสีขาวลงไประบายสีเคลือบให้มัน พอเก่ามากแล้วสีที่เคลอบไว้จึงกะเทาะออกเห็นแกนภายในอย่างที่บอก

ข้างส่วนหัวที่วางอยู่บนชั้นมีแขนกับขาอย่างละคู่วางเอาไว้และถ้าเอามาประกอบกับลำตัวก็จะเป็นหุ่นเต็มตัว แต่หาดูจนทั่วแล้วไม่พบส่วนของลำตัวอยู่ในห้องนั้นครับ หุ่นโดยทั่วไปขาสองข้างจะต้องเชื่อมติดอยู่เอวและสะโพกของลำตัวใช่ไหมครับ แต่ขาสองข้างที่พบในห้องของซานุกินั้นถูกตัดตรงประมาณเลยหัวเข่าขึ้นไปนิดหนึ่ง และส่วนหน้าตัดเป็นโพรงกลวงสกปรก

ขาที่ว่าและแขนมีรอยสีกะเทาะเต็มไปหมด เหมือนกับถูกกระชากลากถูออกมาจากกองขยะ ที่แปลกคือขาที่ถูกตัดทั้งสองขามีรูเล็ก ๆ เหมือนเจาะด้วยสว่านเรียงกันอยู่บริเวณรอบ ๆ ที่ถูกตัด และตรงด้านล่างของร่างกายท่อนบนก็มีรูเล็ก ๆอยู่รอบ ๆ เหมือนกัน คล้ายกับเป็นรอยเย็บขาสองข้างให้ติดกับด้านล่างหน้าอกด้วยเชือกหรือเส้นลวด ส่วนที่ต้นแขนกับไหล่ของลำตัวท่อนบนก็มีรูอยู่เหมือนกันแต่แค่สองรูและใหญ่กว่า ซึ่งก็มองว่าน่าจะเป็นรอยเย็บแขนให้ติดกับบ่าด้วยเชือกหรือเส้นลวด”

นักสืบอาเกจิอธิบายอย่างเจาะลึกในรายละเอียดมากจนทาเคฮิโกะที่นิ่งฟังอยู่อดสงสัยไม่ได้ว่าทำไมถึงต้องจาระไนถึงขนาดนี้

“แน่นอนครับว่าหุ่นจะต้องไม่มีรอยเย็บแบบนั้นมาแต่ต้นแน่นอน ต้องมีใครทำมันขึ้นมาด้วยความจำเป็นอะไรสักอย่าง ถ้าซานุกิซื้อหุ่นตัวนี้มาจากตลาดขยะ ก็มีอยู่สองทางที่จะคิดได้คือรูนั้นมีมาก่อนที่เขาจะซื้อหรือว่าถูกเจาะหลังจากซื้อมาแล้ว และนี่คือความคิดของผม ประการแรกคือถึงจะเป็นคนประหลาดที่ชอบซื้อของแปลก ๆ แค่ไหน ก็คงไม่มีใครซื้อหุ่นลองเสื้อที่มีรูเต็มไปหมดแบบนั้นมาประดับบ้าน มันออกจะดูบ้าไปหน่อย เพราะฉะนั้นก็เหลืออยู่ทางเดียวคือต้องเจาะหลังจากซื้อมาแล้ว ซึ่งน่าจะใกล้กับความเป็นจริงมากกว่า”

อาเกจิหยุดพูด ยิ้มขณะกวาดสายตามองหน้าคนทั้งสามอย่างมีเลศนัย คุณนายยุมิโกะกับสามีสูงวัยของเธอนิ่งฟังคำสันนิษฐานรูปคดีของนักสืบเอกอย่างตั้งอกตั้งใจ ดูเหมือนจะทึ่งในแนวคิดของเขาและตื่นเต้นไปกับคำพูดที่เร้าใจนั้น ทางด้านทาเคฮิโกะนั้น ระหว่างที่ฟังแนวคิดอันแปลกประหลาดของนักสืบอาเกจิพลางลอบสังเกตความรู้สึกบนใบหน้าของสามีภรรยาอยู่นั้น ชายหนุ่มรู้สึกว่ามันมีอะไรแปลก ๆ อย่างอธิบายไม่ถูก บรรยากาศการสนทนาคืนนี้ดูไม่ธรรมดา เบื้องหลังกระแสเสียงที่ร่าเริงเป็นมิตรไมตรีต่อกันนั้นเหมือนมีการหยั่งรู้รองเชิง คล้ายมีประกายวาววับของคมดาบวาบขึ้นมาแล้วกลับซ่อนตัวเข้าไป...นักสืบอาเกจิพูดต่อ

“มีความเป็นไปได้อีกอย่างหนึ่งในประเด็นที่เกี่ยวกับซานุกิ ชายคนนี้ไปที่ตลาดขยะที่เซ็นจูแทบทุกวัน ตลาดขยะแบบนั้นย่อมมีธุรกิจตลาดมืดซึ่งต้องมีพวกนายหน้าลับ ๆ แฝงอยู่ด้วยเป็นธรรมดา จึงอาจคิดได้ว่าจิตรกรสติเฟื่องคนนั้นไปซื้ออะไรที่นอกเหนือไปจากขยะอย่างที่เห็นในห้องของเขา อย่างเช่นปืนยี่ห้อวอลเธอร์ของเยอรมัน หรือไม่ก็เอาอะไรไปขายที่นั่น อย่างเช่น เสื้อผ้าสำหรับปลอมตัว เสื้อโค้ต กระเป๋าเอกสาร พอผมพูดอย่างนี้ผู้กองมิโนอุระก็รีบไปที่ตลาดขยะที่เซ็นจูทันทีแล้วเริ่มสืบพฤติกรรมความเคลื่อนไหวของนายซานุกิ โจคิชิอย่างละเอียด และเพิ่งที่มาของปืนที่ใช้ฆ่ามุราโคชิเมื่อกี้นี้เอง อย่างที่คิดคือนายหน้าตลาดมืดเป็นคนเอามาขายให้ซานุกิ ตอนนี้ตำรวจตามจับจนได้ตัวนายหน้าคนนั้นได้แล้วครับ ส่วนเรื่องอื่น ๆ ยังไม่รู้อะไรคืบหน้า แต่ผมคาดว่าจะต้องรู้อะไรดี ๆ กว่านี้อีกที่ตลาดขยะ

ก่อนถูกยิงตาย 2 วัน ในวันที่ 10 มุราโคชิได้หลบงานออกจากบริษัทไปหาซานุกิ โจคิชิ ที่นิปโปริ พูดอะไรกันราว 10 นาทีแล้วกลับไป ผู้กองมิโนอุระรู้เรื่องนี้จึงบุกเข้าถามซานุกิถึงห้องใต้เพดานในโกดังคาดคั้นให้ตอบว่ามุราโคชิมาหาเขาทำไม จนในที่สุดซานุกิก็เอาภาพพิมพ์ฝีมือฮิชิคาวะ โมโรโนบุ ออกมาให้ดูแล้วบอกว่าเป็นภาพที่เขาฝากไว้กับมุราโคชิแล้วเผอิญจำเป็นต้องใช้โดยด่วน มุราโคชิจึงหลบงานเอามาให้ แต่นั่นเป็นคำแก้ตัวเพราะจริง ๆ แล้วมุราโคชิมาเอาปืนที่เขาฝากซานุกิซื้อที่ตลาดขยะต่างหาก

ทำไมมุราโคชิจึงต้องการปืน ตรงนี้เองครับที่เป็นปริศนาใหญ่เพราะปืนกระบอกนั้นเองที่เป็นอาวุธสังหารเขา ผมคิดอย่างนี้ครับ มุราโคชิไม่ได้ซื้อปืนกระบอกนั้นมาใช้เองแต่มีใครขอให้เขาซื้อ เขาก็เลยติดต่อขอความช่วยเหลือจากซานุกิจนได้มันมาโดยไม่รู้เลยว่าจะถูกฆ่าด้วยปืนกระบอกนั้น และคงไม่ต้องบอกว่าคนที่ขอให้มุราโคชิซื้อปืนก็คือฆาตกร ช่างเป็นการวางแผนที่แยบยลจริง ๆ เริ่มตั้งแต่ตกลงใจฆ่าแล้วไปขอเหยื่อที่เป็นเป้าหมายไปซื้อปืนมาแล้วใช้ปืนนั้นฆ่าเหยื่อ จริงไหมครับ”

รอบยิ้มหายจากใบหน้าของนักสืบเอก ใบหน้าคมสันที่ซีดลงไปมีแววเฉียบขาด ดวงตาทั้งสองเป็นประกายวาว
ไม่นานนักสืบเอกก็ยิ้มแย้มตามเคยชวนทุกคนคุยไปเรื่อย ๆ ด้วยเรื่องสัพเพเหระไม่ได้พูดอะไรที่เป็นชิ้นเป็นอัน อยู่ครู่หนึ่งจึงลากลับหลังสัญญาว่าจะมาเยี่ยมเยือนอีก

เมื่ออาเกจิกลับไปนายโองาวาระกับภรรยาก็ไม่ได้พูดอะไรไม่ว่าดีหรือร้ายเกี่ยวกับนักสืบผู้นี้ ดูเหมือนการพูดลับหลังนักสืบอาเกจิจะเป็นเรื่องต้องห้ามสำหรับคนทั้งสอง โชจิ ทาเคฮิโกะได้แต่สงสัยอยู่คนเดียวเงียบ ๆ ว่านักสืบอาเกจิมาที่คฤหาสน์โองาวาระมาทำไม ชายหนุ่มไม่รู้จริง ๆ ว่าการมาครั้งนี้หมายความว่าอย่างไร ปริศนาห้องปิดตายก็คลี่คลายลงแล้ว ส่วนการตายของจิตรกรสติเฟื่องนั้นก็ดูเหมือนว่าตำรวจจะรู้ขั้นตอนที่ชัดเจนดี คนสามคนที่บ้านนี้ได้แต่นั่งฟังรายงานที่เขาสาธยายอยู่คนเดียว โดยไม่มีใครได้พูดอะไรให้เป็นข้อมูลอ้างอิงในการสืบสวน จะว่านักสืบเอกอุตส่าห์มารายงานความคืบหน้าของคดีให้พวกเขาฟังถึงที่นี่อย่างนั้นหรือ ไม่น่าใช่...มันต้องมีความหมายอะไรสักอย่างแฝงอยู่ และเขาต้องได้อะไรที่เป็นประโยชน์กลับไปแน่โดยที่พวกเขาไม่ต้องเปิดปากพูด ทาเคฮิโกะไม่ได้รู้จักนักสืบอาเกจิ โคโงโรลึกซึ้ง แต่คิดว่าการมาโดยไม่มีจุดมุ่งหมายและกลับไปโดยที่ยังไม่บรรลุเป้าหมายนั้น คงไม่ใช่นิสัยของคนที่ได้ชื่อว่านักสืบอัจฉริยะผู้นี้ หลังจากที่นักสืบเอกลากลับไปนายโองาวาระกับภรรยาสาวนั่งอยู่ด้วยกันเงียบ ๆ ไม่ปริปากเจรจากันว่าอย่างไร ชายหนุ่มคิดว่าคนทั้งสองก็คงคิดสงสัยและรู้สึกไม่ดีเช่นเดียวกับเขา

ระหว่างที่นั่งฟังนายโองาวาระกับนักสืบอาเกจิโต้ตอบกันนั้น ทาเคฮิโกะรู้สึกว่ามีอะไรตรงไหนสักอย่างที่ไม่ปกติธรรมดา เมฆดำก่อตัวและเคลื่อนตัวเข้ามาบดปังมุมหนึ่งของหัวใจแล้วค่อย ๆ ขยายตัวขึ้นทีละน้อย ชายหนุ่มนึกถึงวันถัดจากวันที่ฮิเมดะตกหน้าผาตายที่เขากับนายโองาวาระไปยังที่เกิดเหตุ พอเห็นเขานอนคว่ำลงที่ใต้ต้นสนตรงปลายหน้าผา ชะโงกลงไปดูทะเลที่เห็นอยู่ตรงหน้าลิบลิ่วจนแทบเป็นลม นายโองาวาระก็พูดแบบติดตลกว่า...ไม่ยากเลยที่ แค่จับขายกขึ้นเท่านั้นเอง ทาเคฮิโกะจำได้ว่าท่าทางและสำเนียงของนายโองาวาระตอนนั้นทำให้เขาขนลุกซู่รีบลุกขึ้นยืนทันที เรื่องนั้นกับการมาของนักสืบอาเกจิไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกัน แต่ไม่รู้ว่ามีการเชื่อมโยงกันที่ตรงไหนจึงทำให้เขาหวนคิดขึ้นมา...


กำลังโหลดความคิดเห็น