บทประพันธ์ของ เอโดงาวะ รัมโป (1894-1965)
แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
หรือด้วยฤทธิ์พิศวาส..รหัสปริศนาที่ถูกทิ้งไว้จึงมีมนต์มายาราวกับส่งสัญญาณขึ้นมาจากอเวจี
โกดังไม้เก่าโกโรโกโสแทบจะพังไม่พังแหล่หลังนั้นซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางแหล่งเสื่อมโทรมในย่านนิปโปริ พื้นที่แคบ ๆ เพียงไม่ถึงสิบตารางเมตรเคยใช้เป็นที่เก็บหนังสือที่ถูกส่งคืนของสำนักพิมพ์ฟูจิ บนเพดานของโกดังหลังนี้มีห้องใต้หลังคาซึ่งเจ้าของสำนักพิมพ์ให้คินุกิ โจคิจิ จิตรกรสติเฟื่องคนคุ้นเคยกันเช่าเป็นที่อยู่อาศัยและช่วยเฝ้าโกดังไปด้วย มิโนอุระนายตำรวจสืบสวนรู้เรื่องราวของชายผู้นี้มาบ้างแล้วจากชาวบ้านในละแวกใกล้เคียงก่อนที่จะมาถึงที่นี่
นายตำรวจนักสะกดรอยมือหนึ่งเดินเข้าไปในตรอกแคบ ๆ ข้างโกดังเลี้ยวไปทางด้านหน้า และพอเปิดประตูบาน เล็ก ๆ เข้าไปก็พบกับบันไดเก่าโทรมอยู่ตรงหน้า
“ใคร...กล้าดียังไงถึงบุกเข้ามา ไม่ให้สุ้มให้เสียงอย่างนี้”
ชายคนหนึ่งโผล่หน้าเรียวยาวซีดเซียวรกไปด้วยหนวดเคราลงมาจากข้างบน ตวาดเสียงเขียวทันทีที่ได้ยินเสียงประตูเปิดออก ตาโตเป็นประกายวาวออกมาจากกลุ่มผมที่กระเซอะกระเซิงลงมาปิดหน้าปิดตา
“คุณคินุกิ โจคิจิใช่ไหมครับ”
“ใช่ แล้วคุณล่ะ”
“ผมมาจากสำนักงานตำรวจโตเกียว มีเรื่องอยากถามนิดหนึ่ง...”
คินุกิกระพริบตาถี่ ๆ ก่อนยิ้มออกมาแล้วเชิญด้วยถ้อยคำที่สุภาพ
“อ๋อ...อย่างนั้นหรือครับ ขอโทษที เชิญขึ้นมาเลยครับ”
มิโนอุระย่ำขึ้นบันไดไปหยุดถอดรองเท้าก่อนเข้าไปในห้องเสื่อทาทามิที่สึกกร่อนเป็นสีน้ำตาลแดงเกือบจะเห็นเนื้อในที่บุไว้ ห้องแคบ ๆ ขนาดสี่เสื่อมีข้าวของจิปาถะวางสุมไว้เต็มจนไม่มีที่หย่อนตัวลงนั่ง เหมือนร้านขายเครื่องเรือนเก่าบุโรทั่งแถวบ้านนอก ห้องใต้หลังคานั้นมีลักษณะเหมือนเป็นชั้นที่ทำขึ้นลวก ๆ สูงขึ้นไปบนเพดานดูไม่น่ามั่นคงนัก ด้านบนปล่อยโล่งให้เห็นขื่อคานของหลังคา ห้องไม่มืดเพราะมีหน้าต่างบานหนึ่งเปิดออกไปทางด้านตรอก ซึ่งแม้ว่าบานหน้าต่างกระจกที่ใช้กระดาษบุปิดรอยแตกเอาไว้หยาบ ๆ จะปิดสนิทอยู่ก็ยังพอมีแสงลอดเข้ามาได้บ้าง แต่คราบสกปรกและฝุ่นละอองที่จับติดไปทั่ว ไม่ว่าจะเป็นที่ฝาไม้ทั้งสี่ด้าน บนพื้นเสื่อทาทามิ หรือสิ่งของที่วางสุมกันอยู่ระเกะระกะ ทำให้รู้สึกทึมทึบหายใจแทบไม่ออก
สายตาของนายตำรวจกวาดสะดุดอยู่ที่รูปปั้นผู้หญิงเปลือยขนาดเท่าคนจริงโดดเด่นขึ้นมาจากกองข้าวของจิปาถะ อยู่ในสภาพเหมือนถูกทำลายด้วยอารมณ์ผิดหวังเมื่อพลาดรางวัลจากการประกวดผลงานจิตรกรรม เพราะหูขาด แขนถูกดึงทิ้ง ตามไหล่ตามบ่ามีแผลถูกทุบตีไปทั่ว รูปปั้นผู้หญิงร่างพิกลพิการเต็มไปด้วยคราบสกปรกยืนอยู่อย่างน่าเวทนาในห้องแคบ ๆ เป็นอะไรที่ประหลาดชวนให้ขนลุกไม่น้อย
ภาพเขียนสีน้ำมันที่วาดค้างไว้บนขาตั้งภาพอันใหญ่ข้างรูปปั้นนั้นมองไม่ออกว่าเป็นรูปอะไร แต่ความพิลึกพิลั่นของมันทำเอานายตำรวจสืบสวนแทบผงะเมื่อเห็นแค่แวบเดียว และพอมองไปก็เห็นกรอบผ้าใบทั้งใหญ่และเล็กวางเรียงซ้อนกันอยู่อีกมากมาย ซึ่งคงจะภาพที่วาดแบบเดียวกันคือโปะสีจัดจ้านหลาย ๆ สีลงไปบนผืนผ้าใบอย่างไร้อารมณ์
ข้าง ๆ ขาตั้งภาพมีนาฬิกาลูกตุ้มแบบตั้งพื้นสมัยเอโดะ โถใหญ่ปากบิ่นที่ไม่รู้ว่าเป็นของที่ไหน หนังสือพิมพ์และนิตยสารเก่าตั้งสูงพะเนิน และอะไร ๆ อีกหลายอย่างวางสุมกันอยู่ ผนังสองด้านวางชั้นหนังสือยาวมุมชนมุมมีหนังสืออัดเอาไว้แน่นเอี๊ยด ด้านบนวางรูปปั้นแค่หน้าอกสีบรอนซ์บ้างปูนขาวบ้างของผู้หญิง ผู้ชายและเด็กหนุ่มสาวซึ่งล้วนแต่มีตำหนิที่ไหนสักแห่ง เคียงกันกับโคมไฟตั้งโต๊ะสมัยเมจิ และนาฬิกาไขลานแบบเก่า แทรกด้วยหัวหุ่นโชว์เสื้อผู้ชายแค่หน้าอกที่ไม่รู้ว่าเก็บมาจากถังขยะที่ไหนวางไว้พร้อมกับแขนและขาที่มัดรวมกันไว้เป็นฟ่อน ทั้งหมดที่เห็นทำให้อดถามตัวเองไม่ได้ว่านี่เป็นห้องของคนสติดีหรือเปล่า
“เชิญนั่งตรงนั้นเลยครับ ขอโทษที่ไม่มีเบาะรองนั่งแต่ก็อบอุ่นนะครับ นั่งข้าง ๆ เตาผิงนั่นเลย”
เจ้าของห้องหยิบกาต้มน้ำอลูมิเนียมบุบบู้บี้ลงจากขาตั้งเอามาวางไว้บนพื้นเสื่อ ก่อนเลื่อนเตาผิงซึ่งเป็นกล่องไม้สี่เหลี่ยมสกปรกดำปี๋มาให้ตรงหน้า ถ่านกำลังคุดีมีตะเกียบไม้ดำเป็นถ่านซึ่งใช้แทนตะเกียบเหล็กเสียบอยู่
พอแขกผู้มาเยือนทรุดตัวลงนั่งตามคำเชิญเจ้าของห้องก็นั่งลงตรงข้ามกัน จิตรกรสติเฟื่องหน้ายาวรกไปด้วยหนวดเคราและผมกระเซิงอายุราว 30 เห็นจะได้ สวมกางเกงผ้าลูกฟูกเก่าคร่ำคร่าสีดำและเสื้อสเวตเตอร์สีน้ำตาลมีรูพรุนทั้งตัว
“คุณตำรวจจากสำนักงานตำรวจโตเกียวมาถามผมเรื่องอะไรหรือครับ”
คนถามอังมือใหญ่ที่กระดูกโปนขึ้นมาเหนือเตาผิง เหลือบตาขึ้นจ้องมองมา
“นี่ครับ”
มิโนอุระยื่นนามบัตรที่ระบุสถานภาพของเขาไปให้
“อ้อ รองสารวัตร ตำแหน่งใหญ่ไม่ใช่เล่นนะครับ”
คำพูดอาจฟังดูเป็นเชิงเย้ยแต่จริง ๆ แล้วดูเหมือนคนพูดจะไม่ได้รู้สึกเช่นนั้น
“คุณรู้จักคนที่ชื่อมุราโคชิ ฮิโตชิที่ทำงานอยู่ในบริษัทผลิตยาโจโฮคุใช่ไหม”
นายตำรวจถามอย่างไม่อ้อมค้อม ซึ่งก็ได้คำตอบที่ตรงไปตรงมาเช่นกัน
“รู้จักซีครับ เป็นเพื่อนสนิทกัน วันนี้ก็มาเพิ่งจะกลับไปเอง”
“รู้จักกันมานานแล้วหรือครับ”
“นานแล้วครับตั้งแต่สมัยอยู่โรงเรียนประถม เราเป็นคนบ้านเดียวกัน ผมชอบครับ หมอนั่นเป็นคนดี”
คำถามของนายตำรวจไม่ได้ก่อให้เกิดปฏิกิริยาอะไรเลย ไม่รู้ว่าการพูดตรง ๆ เช่นนั้นเป็นธาตุแท้ของชายคนนี้หรือว่าเป็นการเล่นละครตบตากันแน่
“มาจากจังหวัดไหนหรือครับ”
“เอ๊ะ แปลกนี่ เป็นรองสารวัตรเสียเปล่าไม่รู้หรอกรึว่ามุราโคชิเป็นคนที่ไหน ชิซุโอกะครับ...มาจากบ้านนอก แถว ๆ เมืองชิซุโอกะ หมอนั่นเรียนเก่ง เป็นหัวหน้าชั้นและก็เป็นหัวโจกด้วย มุราโคชิชอบทำตัวเป็นพี่ใหญ่กับผมที่แก่กว่าแต่เรียนชั้นเดียวกัน เดี๋ยวนี้ก็ยังเป็นอย่างนั้นครับ”
ฟังดูแล้วน่าจะเป็นเรื่องจริงแต่นายตำรวจผู้เจนคดีกลับจับได้ยินไปในทำนองว่า...หมอนั่นมันร้าย เขาหยิบสมุดบันทึกออกมา ใช้ปลายนิ้วแตะน้ำลายพลิกไปยังหน้าที่ต้องการ
“นี่ครับ...วันที่ 3 พฤศจิกา ประมาณเดือนเศษ ๆ ก่อนหน้านี้ คุณอยู่ที่ไหน คุณออกไปไหนหรือเปล่า”
“ยากอยู่นะครับ ผมมันคนชีพจรลงเท้า ออกไปนั่นไปนี่ทุกวัน ร่อนเร่ไปทั่วโตเกียวเลยก็ว่าได้ โดยเฉพาะตลาดขยะที่เซ็นจูนี่ชอบมาก ของเก่าพวกนี้ส่วนใหญ่ผมขุดมาจากที่นั่น เป็นไงครับ ไม่เลวเลยใช่ไหม”
จิตรกรสติเฟื่องช่างพูดพาเลี่ยงออกนอกเรื่องไปได้ ดวงตาโตที่กลอกไปมาผ่านหนวดเคราและผมกระเซิง ปากใหญ่และริมฝีปากแดงดูเด่นออกมาขณะพูด และริมฝีปากนั้นขยับขึ้นลงน้ำลายเป็นฟองฝอยเหมือนปูปล่อยคำพูดลื่นไหลออกมาไม่ขาดจังหวะ นายตำรวจมองพลางนึกถึงใบหน้าของมุราโคชิ
เหมือน...เหมือนมาก แค่โกนหนวดเคราให้เกลี้ยง หวีผมให้เรียบร้อยแล้วใส่เสื้อผ้าของมุราโคชิเท่านั้น ก็จะหลอกคุณป้าที่สายตาไม่ค่อยดีได้ไม่ยาก น้ำเสียงก็เหมือนด้วยถ้าดัดท่วงทำนองการพูดเสียหน่อยก็ใช่มุราโคชิเลยทีเดียว ยิ่งมาจากบ้านเดียวกันอย่างนี้ก็ยิ่งมีสำเนียงเหน่อ ๆ เหมือนกันด้วย
“วันที่ 3 พฤศจิกานะครับ ช่วยนึกดี ๆ หน่อย เป็นวันวัฒนธรรมที่มีความหมายสำหรับพวกคุณเชียวนะ บอกอย่างนี้แล้วยังนึกไม่ออกอีกรึ”
“วันวัฒนธรรมรึ ไม่เห็นจะน่าสนใจอะไรเลย มันก็แค่วันวัฒนธรรม ผมไม่ชอบหรอกนะวัฒนธรรมอะไรนั่น ผมชอบอยู่อย่างคนเถื่อนมากกว่า ผมใฝ่ฝันที่จะมีชีวิตแบบมนุษย์ดึกดำบรรพ์นะครับ รูปของผมอาจถูกวิจารณ์ว่าเป็นภาพเขียนสำนักสัตว์ป่า แต่ผมวาดภาพความฝันของมนุษย์ดึกดำบรรพ์นะครับ มนุษย์ดึกดำบรรพ์มีความสร้างสรรค์ที่ล้ำเลิศประเสริฐมาก”
จิตรกรสติเฟื่องพาออกนอกเรื่องอีก
“วันที่ 3 พฤศจิกายนครับ”
“อ๋อ วันที่ 3 พฤศจิกายน นึกไม่ออกหรอกครับ ผมไม่ใช่คนจดบันทึกไดอารี่ และก็ไม่ใช่คนช่างจำเสียด้วย วันนั้นอากาศเป็นยังไงครับ แจ่มใสดีไหม”
“อากาศดีมาก อุ่นด้วย”
“ถ้าอย่างนั้นก็ต้องไปที่เซ็นจูแน่ ข้ามสะพานเซ็นจูโอฮาชิแล้วก็ไปข้ามสะพานยาวของทางระบายน้ำอารางาวะ ผมชอบแถวนั้นมากเลย คุณคงจะหัวเราะว่าไปตลาดขยะอีกแล้วละซี ก็ใช่ครับแต่จำไม่ได้ว่าซื้ออะไรมารึเปล่า”
“ประมาณ 5 โมงเย็นวันนั้น คุณอยู่ที่ไหน กลับมาที่นี่หรือเปล่า”
“ไม่รู้เหมือนกัน แต่ถ้า 5 โมงเย็นละก็ยังสว่างอยู่ใช่ไหม ตามปกติผมจะไม่กลับบ้านก่อนมืดหรอกครับ บางครั้งก็ไม่กลับจนดึกดื่น เส้นทางของผมก็คือจากเซ็นจูผ่านโยชิวาระไปออกที่อาซากุซะ”
คินุกิ โจคิจิจิตรกรสติเฟื่องเผยอยิ้มที่มุมปากอย่างมีเลศนัยและถามโผงผางออกมาทั้ง ๆ ที่ยังยิ้ม
“ท่านรองสารวัตร ดื่มสาเกหรือเปล่าครับ”
“ดื่มครับ แต่ไม่ใช่ตอนกลางวันอย่างนี้”
“งั้นต้องขออภัยเพราะผมจะดื่มละ ก็ที่นี่มันบ้านผมเอง ไม่ใช่กรมตำรวจสักหน่อย”
คินุกิพูดพลางลุกขึ้นเดินไปยังตู้ใส่ถ้วยชามตรงมุมห้องซึ่งคงจะซื้อมาจากตลาดขยะเช่นกันเพราะดูเก่าแก่สกปรกเต็มทน เขาเปิดประตูตู้หยิบขวดวิสกี้และถ้วยน้ำชากลับมานั่งลงที่เดิม
“สักถ้วยนึงเป็นไงครับ”
“ไม่ละครับ” นายตำรวจโบกมือปฏิเสธแข็งขัน
คินุกิรินวิสกี้ถูก ๆ ใส่ถ้วยชาดื่มอั๊ก ๆ ด้วยท่าทางมีความสุข
ถ้าจิตรกรสติเฟื่องไม่ตอบก็คงไม่มีทางอื่นนอกจากเที่ยวสอบถามผู้คนในละแวกใกล้เคียง ถ้านายคนนี้ปลอมตัวเป็นมุราโคชิไปที่โรงละครคาบุกิในวันนั้นจริง เขาก็ต้องโกนหนวดเครา หวีผมเรียบแปล้ ส่วนที่ว่าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าที่ไหนนั้น คิดว่ามุราโคชิต้องมาที่นี่แล้วเปลี่ยนเสื้อผ้ากันที่ห้องนี้แน่ แต่เดี๋ยวก่อน...ถ้ามุราโคชิเอาเสื้อผ้าของตนให้นายคนนี้ใส่แล้วเขาจะใส่อะไร...ใช่ เขาจะต้องเปลี่ยนเป็นชุดที่เด็กรับใช้ร้านน้ำชาที่อุโอมิซากิและหนุ่มชาวบ้านเห็น คือเสื้อโค้ตสีเทา หมวกสีเทา แว่นตา และหนวดปลอม
เมื่อเป็นเช่นนั้น ชาวบ้านละแวกนี้ก็จะต้องเห็นจิตรกรสติเฟื่องที่ปลอมตัวเป็นมุราโคชิ และชายอีกคนหนึ่งในชุดเสื้อโค้ตและหมวกสีเทาที่ไม่เคยเห็นหน้าค่าตามาก่อนเลยออกไปจากโกดังนี้ เอาละ...เสร็จจากที่นี่ก่อน จะไปสอบถามให้ทั่วทีเดียว จะต้องมีใครเห็นสักคนหนึ่งแน่...นายตำรวจคิดอย่างมาดหมาย
“คุณตำรวจครับ วันที่ 3 พฤศจิกา หรือว่าวันวัฒนธรรมนั่นน่ะมันสำคัญยังไงถึงได้ถามแล้วถามอีก หรือว่ามีใครถูกฆ่าตาย”
จิตรกรสติเฟื่องเริ่มเมา
“วันที่ 3 พฤศจิกา เวลาประมาณ 5 โมงเย็น ฮิเมดะเพื่อนของมุราโคชิถูกผลักตกลงมาตาย จากหน้าผาอิโอมิซากิที่อาตามิครับ”
“อ๋อ ฮิเมดะ ใช่ ใช่ มุราโคชิเล่าให้ผมฟัง เหตุเกิดเมื่อวันที่ 3 พฤศจิกาละซี มิน่าถึงได้มาคาดคั้นเอาหลักฐานพยานยืนยันจากผม...นี่คุณตำรวจคิดว่าผมเป็นฆาตกรงั้นรึ ฮะ ฮะ ฮะ...”
“คุณเคยพบกับฮิเมดะไหม”
“ไม่เคย”
“ถ้างั้นคุณก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะไปฆ่าเขา ที่ผมมาถามคุณนี่ก็เพราะทางตำรวจต้องการยืนยันที่อยู่ของมุราโคชิ ณ เวลาที่เกิดเหตุฆาตกรรมต่างหาก ถ้าวันที่ 3 พฤศจิกามุราโคชิมาที่นี่ก็เท่ากับว่ารอดตัวไป แต่นี่รู้สึกว่าเขาจะไม่ได้มาใช่ไหม”
นายตำรวจสืบสวนพยายามจูงใจให้จิตรกรสติเฟื่องผู้กำลังเมามายเผยความจริง
“จำไม่ได้ครับ อาจมาหรืออาจไม่มาก็ได้ มุราโคชิมาที่นี่แค่เดือนละครั้งเดียว และผมก็มาหาเขาที่อพาร์ทเม้นท์เดือนละครั้งสองครั้ง วันที่ 3 เดือนที่แล้วใช่ไหม ไม่ได้มานะ ตอนต้นเดือนไม่ได้มา...น่าสงสารมุราโคชิที่ผมเป็นพยานยืนยันให้ไม่ได้ ผมมันคนซื่อตรงโกหกไม่เป็นครับ”
“คุณชอบดูละครไหม”
มิโนอุระเปลี่ยนเรื่อง
“ละครหรือครับ ก็ชอบอยู่ โดยเฉพาะพวกละครคาบุกิโบราณ”
“อย่างนี้ก็คงเคยไปโรงละครคาบุกิ วันที่ 3 พฤศจิกาก็ไปใช่ไหม”
นายตำรวจจับจ้องสีหน้าของคู่สนทนาอย่างไม่ยอมให้คลาดสายตา แต่ก็ไม่เห็นมีอะไรผิดปกติไปแม้แต่น้อย
“โอ้ย ไม่ได้ไปนานแล้วครับ ไม่มีสตางค์ แล้วก็ไม่ได้เป็นแฟนถึงขนาดตีตั๋วยืนด้วย อย่างผมนี่มันต้องละครหญิงฟันดาบแถวอาซากุซะ และก็ละครเร่แบบ “คณะคาคาบามิซะ” ชอบทั้งสองอย่างเลย มันทำให้คิดถึงบรรยากาศบ้านนอกสมัยที่ยังเป็นเด็กซน”
ออกนอกเรื่องตามเคย นายตำรวจสืบสวนมากประสบการณ์ฟังแล้วชักอ่อนใจ ไม่รู้จะคิดยังไงถูก จะว่าทั้งหมดนี่เป็นเรื่องโกหกละก็ต้องนับว่าชายคนนี้หน้าตายเอามาก ๆ แต่คงไม่ใช่หรอกมันก็แค่คนบ้า ๆ บอ ๆ ไปวัน ๆ เท่านั้นแหละ
“อ้อ เมื่อกี้คุณบอกว่า วันนี้มุราโคชิมาหาคุณที่นี่ใช่ไหม คงจะมาตอนเช้าซินะ เพราะวันนี้ต้องไปทำงาน”
นายตำรวจลองเปลี่ยนแนวคำถามดู ถ้าอีกฝ่ายไม่แสดงปฏิกิริยาอะไร ก็เห็นจะต้องล้มเลิกความตั้งใจลงแค่นี้
“มาตอนก่อนเที่ยงครับ ขึ้นรถเช่ามา อยู่ได้สักสิบนาทีก็กลับไป บอกว่าถึงจะอยู่ระหว่างทำงานแต่ปลีกตัวมาแค่นี้ไม่น่าเป็นอะไร เหมือนไปเข้าห้องน้ำนานหน่อยเท่านั้น”
“อ้อ อย่างนี้ก็แปลว่ามีธุระด่วน บอกได้ว่ามีไหมธุระอะไรกับคุณถึงต้องรีบด่วนขนาดนั้น หรือว่าเป็นเรื่องที่บอกไม่ได้”
เอาละ...หางค่อย ๆ โผล่ออกมาแล้ว คงจะโกหกได้ไม่คล่องปากละทีนี้ ธุระที่ต้องหนีงานขึ้นรถเช่ามาหาอย่างเร่งด่วนขนาดนี้มันต้องเป็นเรื่องสำคัญมาก ไม่ใช่เรื่องธรรมดาแน่นอน จะว่ายังไง...บอกมาทีรึ
ทว่า อีกฝ่ายไม่แสดงทีท่าตกอกตกใจแต่อย่างใด ริมฝีปากแดงเผยอยิ้มพลางเกาหัวผมกระเซิงแกรก ๆ
“เสร็จกัน คุณตำรวจเรื่องมันพูดยากครับ แต่ก็ไม่ได้มีการซื้อขายกัน คงไม่ผิดกฎหมายนะครับ คือมันอย่างนี้”
จิตรกรสติเฟื่องลุกขึ้นเดินไปที่ชั้นตรงมุมห้องล้วงมือผ่านตั้งนิตยสารเก่า ๆ หยิบม้วนกระดาษยาวออกมา
“ของแบบนี้ไม่อยากให้คุณตำรวจดูหรอกนะครับ แต่เห็นสงสัยนักก็เลยไม่รู้ว่าจะทำยังไง ผมก็แค่อยากให้คุณตำรวจเชื่อว่าทั้งมุราโคชิและผม ไม่เกี่ยวข้องกับเหตุฆาตกรรมอะไรทั้งนั้น”
คินุกิบ่นอุบอิบขณะคลี่ม้วนกระดาษกางออกบนพื้นเสื่อทาทามิเก่าแก่ ภาพขนาดใหญ่ที่วางแผ่อยู่ตรงหน้าเป็นภาพพิมพ์บล็อกไม้ด้วยหมึกดำรูปชายหญิงปฏิสัมพันธ์กันในที่รโหฐาน บนกระดาษญี่ปุ่นเนื้อหนาดูเก่าแก่
“ผมไม่รู้ว่าคุณตำรวจรู้จักท่านจิตรกรฮิชิคาวะ โมโรโนบุดีแค่ไหน แต่ภาพนี้เป็นภาพที่หายากและมีค่ามากครับ ผมซื้อมาจากเพื่อนนักวาดรูปที่ตอนนี้ตายไปแล้ว แค่เดิมเป็นภาพพิมพ์บล็อกไม้ชุดห้าภาพติดต่อกันแต่ผมได้มาแค่ภาพเดียวราคาเลยตกลงไปบ้าง แต่ก็ยังอยู่ในระดับสองพันถึงห้าพันล้านเยนแล้วแต่คนซื้อ เป็นยังไงครับลายเส้นโค้งเว้างดงามมากใช่ไหม นี่เป็นภาพพิมพ์ชุดแรกเลยนะครับ ฝีมือพิมพ์เยี่ยมมาก และไม่มีรอยแมลงกัดกินด้วย”
จิตรกรสติเฟื่องหรี่ตาเยิ้ม น้ำลายแทบจะหยดจากริมฝีปากแดง ขณะมองภาพโบราณเร้าอารมณ์
“ก่อนหน้านี้ราวเดือนนึง ผมเอาภาพนี้ไปให้มุราโคชิดูที่อพาร์ทเม้นท์แล้วก็ทิ้งไว้ที่นั่น แค่พอดีผมขาดเงินก็เลยต้องเอาภาพนี้ไปจำนำไว้ก่อน เพราะไม่มีจะกินแล้วค่าเช่าบ้านก็ค้างหลายเดือนโดนทวงแล้วทางอีก เมื่อวานนี้ผมเลยโทรไปบอกให้ภาพมุราโคชิเอามาคืนโดยด่วน เป็นไงครับธุระของผมด่วนพอไหม เพราะอย่างนี้มุราโคชิถึงกับต้องขึ้นรถเช่ามาเลยละครับ”
นายตำรวจมิโนอุระฟังแล้วค่อนข้างเชื่อว่าอาจเป็นความจริงเช่นนั้นก็ได้ เพราะดูมีเหตุมีผลเกินกว่าจะเป็นเรื่องโกหก แต่ถ้าเป็นเรื่องโกหกที่เตรียมการเอาไว้เป็นอย่างดี ทั้งมุราโคชิและคินุกิคนนี้ก็ต้องเป็นคนเจ้าเล่ห์เหลี่ยมจัดเลยทีเดียว จนแล้วจนรอดก็ยังปักใจเชื่อลงไปไม่ได้ว่าคำพูดของจิตรกรสติเฟื่องคนนี้จริงหรือเท็จ แต่ที่แน่ ๆ ก็คือใบหน้าที่รกไปด้วยหนวดเคราและผมกระเซิง ปากกว้างและริมฝีปากแดงจัด ดวงตาคมวาวของชายคนนี้ ดูรำคาญตาแต่ในเวลาเดียวกันก็มีพลังกดดันอย่างไรชอบกล
จากนั้นทั้งสองก็สนทนากันด้วยเรื่องสัพเพเหระ และสุดท้ายมิโนอุระก็กลับออกไปจากห้องใต้หลังคาของจิตรกรสติเฟื่องโดยไม่ได้อะไรติดมือไปสักอย่างเดียว ระหว่างทางนายตำรวจสืบสวนเข้าไปถามพวกเมียเจ้าของร้านค้า และพวกเด็ก ๆ ที่วิ่งเล่นอยู่ในละแวกนั้นเกี่ยวกับความเคลื่อนไหวของคินุกิจิตรกรสติเฟื่อง แต่ก็ไม่มีใครสังเกตเห็นว่าเขาออกไปจากบ้านในวันนั้น มิโนอุระถามด้วยว่าเห็นคนที่มีรูปพรรณสัณฐานเหมือนมุราโคชิ หรือชายใส่เสื้อโค้ตและสวมหมวกสีเทาออกมาจากซอยข้างโกดังหลังนั้นบ้างหรือเปล่า แต่ก็ไม่มีใครเห็นหรือได้เบาะแสอะไรเพิ่มเติม
มิโนอุระกลับไปพร้อมกับความคิดที่ว่าไม่มีทางอื่นนอกจากสะกดรอยตามมุราโคชิให้ใกล้ชิดขึ้นต่อไป และคิดที่จะไปปรึกษากับอาเกจิ โคโงโรนักสืบเอกผู้นั้นด้วย แต่หลังจากสะกดรอยต่อไปได้ห้าวันโดยไม่ได้ผลคืบหน้านายตำรวจผู้เชี่ยวชาญการสะกดรอยก็หมดกำลังใจจนต้องหยุดไปสองวัน และระหว่างนั้นเองได้เกิดคดีฆาตกรรมรายที่สองขึ้น ผู้ตกเป็นเหยื่อคือมุราโคชิ ฮิโตชิ
แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
หรือด้วยฤทธิ์พิศวาส..รหัสปริศนาที่ถูกทิ้งไว้จึงมีมนต์มายาราวกับส่งสัญญาณขึ้นมาจากอเวจี
โกดังไม้เก่าโกโรโกโสแทบจะพังไม่พังแหล่หลังนั้นซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางแหล่งเสื่อมโทรมในย่านนิปโปริ พื้นที่แคบ ๆ เพียงไม่ถึงสิบตารางเมตรเคยใช้เป็นที่เก็บหนังสือที่ถูกส่งคืนของสำนักพิมพ์ฟูจิ บนเพดานของโกดังหลังนี้มีห้องใต้หลังคาซึ่งเจ้าของสำนักพิมพ์ให้คินุกิ โจคิจิ จิตรกรสติเฟื่องคนคุ้นเคยกันเช่าเป็นที่อยู่อาศัยและช่วยเฝ้าโกดังไปด้วย มิโนอุระนายตำรวจสืบสวนรู้เรื่องราวของชายผู้นี้มาบ้างแล้วจากชาวบ้านในละแวกใกล้เคียงก่อนที่จะมาถึงที่นี่
นายตำรวจนักสะกดรอยมือหนึ่งเดินเข้าไปในตรอกแคบ ๆ ข้างโกดังเลี้ยวไปทางด้านหน้า และพอเปิดประตูบาน เล็ก ๆ เข้าไปก็พบกับบันไดเก่าโทรมอยู่ตรงหน้า
“ใคร...กล้าดียังไงถึงบุกเข้ามา ไม่ให้สุ้มให้เสียงอย่างนี้”
ชายคนหนึ่งโผล่หน้าเรียวยาวซีดเซียวรกไปด้วยหนวดเคราลงมาจากข้างบน ตวาดเสียงเขียวทันทีที่ได้ยินเสียงประตูเปิดออก ตาโตเป็นประกายวาวออกมาจากกลุ่มผมที่กระเซอะกระเซิงลงมาปิดหน้าปิดตา
“คุณคินุกิ โจคิจิใช่ไหมครับ”
“ใช่ แล้วคุณล่ะ”
“ผมมาจากสำนักงานตำรวจโตเกียว มีเรื่องอยากถามนิดหนึ่ง...”
คินุกิกระพริบตาถี่ ๆ ก่อนยิ้มออกมาแล้วเชิญด้วยถ้อยคำที่สุภาพ
“อ๋อ...อย่างนั้นหรือครับ ขอโทษที เชิญขึ้นมาเลยครับ”
มิโนอุระย่ำขึ้นบันไดไปหยุดถอดรองเท้าก่อนเข้าไปในห้องเสื่อทาทามิที่สึกกร่อนเป็นสีน้ำตาลแดงเกือบจะเห็นเนื้อในที่บุไว้ ห้องแคบ ๆ ขนาดสี่เสื่อมีข้าวของจิปาถะวางสุมไว้เต็มจนไม่มีที่หย่อนตัวลงนั่ง เหมือนร้านขายเครื่องเรือนเก่าบุโรทั่งแถวบ้านนอก ห้องใต้หลังคานั้นมีลักษณะเหมือนเป็นชั้นที่ทำขึ้นลวก ๆ สูงขึ้นไปบนเพดานดูไม่น่ามั่นคงนัก ด้านบนปล่อยโล่งให้เห็นขื่อคานของหลังคา ห้องไม่มืดเพราะมีหน้าต่างบานหนึ่งเปิดออกไปทางด้านตรอก ซึ่งแม้ว่าบานหน้าต่างกระจกที่ใช้กระดาษบุปิดรอยแตกเอาไว้หยาบ ๆ จะปิดสนิทอยู่ก็ยังพอมีแสงลอดเข้ามาได้บ้าง แต่คราบสกปรกและฝุ่นละอองที่จับติดไปทั่ว ไม่ว่าจะเป็นที่ฝาไม้ทั้งสี่ด้าน บนพื้นเสื่อทาทามิ หรือสิ่งของที่วางสุมกันอยู่ระเกะระกะ ทำให้รู้สึกทึมทึบหายใจแทบไม่ออก
สายตาของนายตำรวจกวาดสะดุดอยู่ที่รูปปั้นผู้หญิงเปลือยขนาดเท่าคนจริงโดดเด่นขึ้นมาจากกองข้าวของจิปาถะ อยู่ในสภาพเหมือนถูกทำลายด้วยอารมณ์ผิดหวังเมื่อพลาดรางวัลจากการประกวดผลงานจิตรกรรม เพราะหูขาด แขนถูกดึงทิ้ง ตามไหล่ตามบ่ามีแผลถูกทุบตีไปทั่ว รูปปั้นผู้หญิงร่างพิกลพิการเต็มไปด้วยคราบสกปรกยืนอยู่อย่างน่าเวทนาในห้องแคบ ๆ เป็นอะไรที่ประหลาดชวนให้ขนลุกไม่น้อย
ภาพเขียนสีน้ำมันที่วาดค้างไว้บนขาตั้งภาพอันใหญ่ข้างรูปปั้นนั้นมองไม่ออกว่าเป็นรูปอะไร แต่ความพิลึกพิลั่นของมันทำเอานายตำรวจสืบสวนแทบผงะเมื่อเห็นแค่แวบเดียว และพอมองไปก็เห็นกรอบผ้าใบทั้งใหญ่และเล็กวางเรียงซ้อนกันอยู่อีกมากมาย ซึ่งคงจะภาพที่วาดแบบเดียวกันคือโปะสีจัดจ้านหลาย ๆ สีลงไปบนผืนผ้าใบอย่างไร้อารมณ์
ข้าง ๆ ขาตั้งภาพมีนาฬิกาลูกตุ้มแบบตั้งพื้นสมัยเอโดะ โถใหญ่ปากบิ่นที่ไม่รู้ว่าเป็นของที่ไหน หนังสือพิมพ์และนิตยสารเก่าตั้งสูงพะเนิน และอะไร ๆ อีกหลายอย่างวางสุมกันอยู่ ผนังสองด้านวางชั้นหนังสือยาวมุมชนมุมมีหนังสืออัดเอาไว้แน่นเอี๊ยด ด้านบนวางรูปปั้นแค่หน้าอกสีบรอนซ์บ้างปูนขาวบ้างของผู้หญิง ผู้ชายและเด็กหนุ่มสาวซึ่งล้วนแต่มีตำหนิที่ไหนสักแห่ง เคียงกันกับโคมไฟตั้งโต๊ะสมัยเมจิ และนาฬิกาไขลานแบบเก่า แทรกด้วยหัวหุ่นโชว์เสื้อผู้ชายแค่หน้าอกที่ไม่รู้ว่าเก็บมาจากถังขยะที่ไหนวางไว้พร้อมกับแขนและขาที่มัดรวมกันไว้เป็นฟ่อน ทั้งหมดที่เห็นทำให้อดถามตัวเองไม่ได้ว่านี่เป็นห้องของคนสติดีหรือเปล่า
“เชิญนั่งตรงนั้นเลยครับ ขอโทษที่ไม่มีเบาะรองนั่งแต่ก็อบอุ่นนะครับ นั่งข้าง ๆ เตาผิงนั่นเลย”
เจ้าของห้องหยิบกาต้มน้ำอลูมิเนียมบุบบู้บี้ลงจากขาตั้งเอามาวางไว้บนพื้นเสื่อ ก่อนเลื่อนเตาผิงซึ่งเป็นกล่องไม้สี่เหลี่ยมสกปรกดำปี๋มาให้ตรงหน้า ถ่านกำลังคุดีมีตะเกียบไม้ดำเป็นถ่านซึ่งใช้แทนตะเกียบเหล็กเสียบอยู่
พอแขกผู้มาเยือนทรุดตัวลงนั่งตามคำเชิญเจ้าของห้องก็นั่งลงตรงข้ามกัน จิตรกรสติเฟื่องหน้ายาวรกไปด้วยหนวดเคราและผมกระเซิงอายุราว 30 เห็นจะได้ สวมกางเกงผ้าลูกฟูกเก่าคร่ำคร่าสีดำและเสื้อสเวตเตอร์สีน้ำตาลมีรูพรุนทั้งตัว
“คุณตำรวจจากสำนักงานตำรวจโตเกียวมาถามผมเรื่องอะไรหรือครับ”
คนถามอังมือใหญ่ที่กระดูกโปนขึ้นมาเหนือเตาผิง เหลือบตาขึ้นจ้องมองมา
“นี่ครับ”
มิโนอุระยื่นนามบัตรที่ระบุสถานภาพของเขาไปให้
“อ้อ รองสารวัตร ตำแหน่งใหญ่ไม่ใช่เล่นนะครับ”
คำพูดอาจฟังดูเป็นเชิงเย้ยแต่จริง ๆ แล้วดูเหมือนคนพูดจะไม่ได้รู้สึกเช่นนั้น
“คุณรู้จักคนที่ชื่อมุราโคชิ ฮิโตชิที่ทำงานอยู่ในบริษัทผลิตยาโจโฮคุใช่ไหม”
นายตำรวจถามอย่างไม่อ้อมค้อม ซึ่งก็ได้คำตอบที่ตรงไปตรงมาเช่นกัน
“รู้จักซีครับ เป็นเพื่อนสนิทกัน วันนี้ก็มาเพิ่งจะกลับไปเอง”
“รู้จักกันมานานแล้วหรือครับ”
“นานแล้วครับตั้งแต่สมัยอยู่โรงเรียนประถม เราเป็นคนบ้านเดียวกัน ผมชอบครับ หมอนั่นเป็นคนดี”
คำถามของนายตำรวจไม่ได้ก่อให้เกิดปฏิกิริยาอะไรเลย ไม่รู้ว่าการพูดตรง ๆ เช่นนั้นเป็นธาตุแท้ของชายคนนี้หรือว่าเป็นการเล่นละครตบตากันแน่
“มาจากจังหวัดไหนหรือครับ”
“เอ๊ะ แปลกนี่ เป็นรองสารวัตรเสียเปล่าไม่รู้หรอกรึว่ามุราโคชิเป็นคนที่ไหน ชิซุโอกะครับ...มาจากบ้านนอก แถว ๆ เมืองชิซุโอกะ หมอนั่นเรียนเก่ง เป็นหัวหน้าชั้นและก็เป็นหัวโจกด้วย มุราโคชิชอบทำตัวเป็นพี่ใหญ่กับผมที่แก่กว่าแต่เรียนชั้นเดียวกัน เดี๋ยวนี้ก็ยังเป็นอย่างนั้นครับ”
ฟังดูแล้วน่าจะเป็นเรื่องจริงแต่นายตำรวจผู้เจนคดีกลับจับได้ยินไปในทำนองว่า...หมอนั่นมันร้าย เขาหยิบสมุดบันทึกออกมา ใช้ปลายนิ้วแตะน้ำลายพลิกไปยังหน้าที่ต้องการ
“นี่ครับ...วันที่ 3 พฤศจิกา ประมาณเดือนเศษ ๆ ก่อนหน้านี้ คุณอยู่ที่ไหน คุณออกไปไหนหรือเปล่า”
“ยากอยู่นะครับ ผมมันคนชีพจรลงเท้า ออกไปนั่นไปนี่ทุกวัน ร่อนเร่ไปทั่วโตเกียวเลยก็ว่าได้ โดยเฉพาะตลาดขยะที่เซ็นจูนี่ชอบมาก ของเก่าพวกนี้ส่วนใหญ่ผมขุดมาจากที่นั่น เป็นไงครับ ไม่เลวเลยใช่ไหม”
จิตรกรสติเฟื่องช่างพูดพาเลี่ยงออกนอกเรื่องไปได้ ดวงตาโตที่กลอกไปมาผ่านหนวดเคราและผมกระเซิง ปากใหญ่และริมฝีปากแดงดูเด่นออกมาขณะพูด และริมฝีปากนั้นขยับขึ้นลงน้ำลายเป็นฟองฝอยเหมือนปูปล่อยคำพูดลื่นไหลออกมาไม่ขาดจังหวะ นายตำรวจมองพลางนึกถึงใบหน้าของมุราโคชิ
เหมือน...เหมือนมาก แค่โกนหนวดเคราให้เกลี้ยง หวีผมให้เรียบร้อยแล้วใส่เสื้อผ้าของมุราโคชิเท่านั้น ก็จะหลอกคุณป้าที่สายตาไม่ค่อยดีได้ไม่ยาก น้ำเสียงก็เหมือนด้วยถ้าดัดท่วงทำนองการพูดเสียหน่อยก็ใช่มุราโคชิเลยทีเดียว ยิ่งมาจากบ้านเดียวกันอย่างนี้ก็ยิ่งมีสำเนียงเหน่อ ๆ เหมือนกันด้วย
“วันที่ 3 พฤศจิกานะครับ ช่วยนึกดี ๆ หน่อย เป็นวันวัฒนธรรมที่มีความหมายสำหรับพวกคุณเชียวนะ บอกอย่างนี้แล้วยังนึกไม่ออกอีกรึ”
“วันวัฒนธรรมรึ ไม่เห็นจะน่าสนใจอะไรเลย มันก็แค่วันวัฒนธรรม ผมไม่ชอบหรอกนะวัฒนธรรมอะไรนั่น ผมชอบอยู่อย่างคนเถื่อนมากกว่า ผมใฝ่ฝันที่จะมีชีวิตแบบมนุษย์ดึกดำบรรพ์นะครับ รูปของผมอาจถูกวิจารณ์ว่าเป็นภาพเขียนสำนักสัตว์ป่า แต่ผมวาดภาพความฝันของมนุษย์ดึกดำบรรพ์นะครับ มนุษย์ดึกดำบรรพ์มีความสร้างสรรค์ที่ล้ำเลิศประเสริฐมาก”
จิตรกรสติเฟื่องพาออกนอกเรื่องอีก
“วันที่ 3 พฤศจิกายนครับ”
“อ๋อ วันที่ 3 พฤศจิกายน นึกไม่ออกหรอกครับ ผมไม่ใช่คนจดบันทึกไดอารี่ และก็ไม่ใช่คนช่างจำเสียด้วย วันนั้นอากาศเป็นยังไงครับ แจ่มใสดีไหม”
“อากาศดีมาก อุ่นด้วย”
“ถ้าอย่างนั้นก็ต้องไปที่เซ็นจูแน่ ข้ามสะพานเซ็นจูโอฮาชิแล้วก็ไปข้ามสะพานยาวของทางระบายน้ำอารางาวะ ผมชอบแถวนั้นมากเลย คุณคงจะหัวเราะว่าไปตลาดขยะอีกแล้วละซี ก็ใช่ครับแต่จำไม่ได้ว่าซื้ออะไรมารึเปล่า”
“ประมาณ 5 โมงเย็นวันนั้น คุณอยู่ที่ไหน กลับมาที่นี่หรือเปล่า”
“ไม่รู้เหมือนกัน แต่ถ้า 5 โมงเย็นละก็ยังสว่างอยู่ใช่ไหม ตามปกติผมจะไม่กลับบ้านก่อนมืดหรอกครับ บางครั้งก็ไม่กลับจนดึกดื่น เส้นทางของผมก็คือจากเซ็นจูผ่านโยชิวาระไปออกที่อาซากุซะ”
คินุกิ โจคิจิจิตรกรสติเฟื่องเผยอยิ้มที่มุมปากอย่างมีเลศนัยและถามโผงผางออกมาทั้ง ๆ ที่ยังยิ้ม
“ท่านรองสารวัตร ดื่มสาเกหรือเปล่าครับ”
“ดื่มครับ แต่ไม่ใช่ตอนกลางวันอย่างนี้”
“งั้นต้องขออภัยเพราะผมจะดื่มละ ก็ที่นี่มันบ้านผมเอง ไม่ใช่กรมตำรวจสักหน่อย”
คินุกิพูดพลางลุกขึ้นเดินไปยังตู้ใส่ถ้วยชามตรงมุมห้องซึ่งคงจะซื้อมาจากตลาดขยะเช่นกันเพราะดูเก่าแก่สกปรกเต็มทน เขาเปิดประตูตู้หยิบขวดวิสกี้และถ้วยน้ำชากลับมานั่งลงที่เดิม
“สักถ้วยนึงเป็นไงครับ”
“ไม่ละครับ” นายตำรวจโบกมือปฏิเสธแข็งขัน
คินุกิรินวิสกี้ถูก ๆ ใส่ถ้วยชาดื่มอั๊ก ๆ ด้วยท่าทางมีความสุข
ถ้าจิตรกรสติเฟื่องไม่ตอบก็คงไม่มีทางอื่นนอกจากเที่ยวสอบถามผู้คนในละแวกใกล้เคียง ถ้านายคนนี้ปลอมตัวเป็นมุราโคชิไปที่โรงละครคาบุกิในวันนั้นจริง เขาก็ต้องโกนหนวดเครา หวีผมเรียบแปล้ ส่วนที่ว่าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าที่ไหนนั้น คิดว่ามุราโคชิต้องมาที่นี่แล้วเปลี่ยนเสื้อผ้ากันที่ห้องนี้แน่ แต่เดี๋ยวก่อน...ถ้ามุราโคชิเอาเสื้อผ้าของตนให้นายคนนี้ใส่แล้วเขาจะใส่อะไร...ใช่ เขาจะต้องเปลี่ยนเป็นชุดที่เด็กรับใช้ร้านน้ำชาที่อุโอมิซากิและหนุ่มชาวบ้านเห็น คือเสื้อโค้ตสีเทา หมวกสีเทา แว่นตา และหนวดปลอม
เมื่อเป็นเช่นนั้น ชาวบ้านละแวกนี้ก็จะต้องเห็นจิตรกรสติเฟื่องที่ปลอมตัวเป็นมุราโคชิ และชายอีกคนหนึ่งในชุดเสื้อโค้ตและหมวกสีเทาที่ไม่เคยเห็นหน้าค่าตามาก่อนเลยออกไปจากโกดังนี้ เอาละ...เสร็จจากที่นี่ก่อน จะไปสอบถามให้ทั่วทีเดียว จะต้องมีใครเห็นสักคนหนึ่งแน่...นายตำรวจคิดอย่างมาดหมาย
“คุณตำรวจครับ วันที่ 3 พฤศจิกา หรือว่าวันวัฒนธรรมนั่นน่ะมันสำคัญยังไงถึงได้ถามแล้วถามอีก หรือว่ามีใครถูกฆ่าตาย”
จิตรกรสติเฟื่องเริ่มเมา
“วันที่ 3 พฤศจิกา เวลาประมาณ 5 โมงเย็น ฮิเมดะเพื่อนของมุราโคชิถูกผลักตกลงมาตาย จากหน้าผาอิโอมิซากิที่อาตามิครับ”
“อ๋อ ฮิเมดะ ใช่ ใช่ มุราโคชิเล่าให้ผมฟัง เหตุเกิดเมื่อวันที่ 3 พฤศจิกาละซี มิน่าถึงได้มาคาดคั้นเอาหลักฐานพยานยืนยันจากผม...นี่คุณตำรวจคิดว่าผมเป็นฆาตกรงั้นรึ ฮะ ฮะ ฮะ...”
“คุณเคยพบกับฮิเมดะไหม”
“ไม่เคย”
“ถ้างั้นคุณก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะไปฆ่าเขา ที่ผมมาถามคุณนี่ก็เพราะทางตำรวจต้องการยืนยันที่อยู่ของมุราโคชิ ณ เวลาที่เกิดเหตุฆาตกรรมต่างหาก ถ้าวันที่ 3 พฤศจิกามุราโคชิมาที่นี่ก็เท่ากับว่ารอดตัวไป แต่นี่รู้สึกว่าเขาจะไม่ได้มาใช่ไหม”
นายตำรวจสืบสวนพยายามจูงใจให้จิตรกรสติเฟื่องผู้กำลังเมามายเผยความจริง
“จำไม่ได้ครับ อาจมาหรืออาจไม่มาก็ได้ มุราโคชิมาที่นี่แค่เดือนละครั้งเดียว และผมก็มาหาเขาที่อพาร์ทเม้นท์เดือนละครั้งสองครั้ง วันที่ 3 เดือนที่แล้วใช่ไหม ไม่ได้มานะ ตอนต้นเดือนไม่ได้มา...น่าสงสารมุราโคชิที่ผมเป็นพยานยืนยันให้ไม่ได้ ผมมันคนซื่อตรงโกหกไม่เป็นครับ”
“คุณชอบดูละครไหม”
มิโนอุระเปลี่ยนเรื่อง
“ละครหรือครับ ก็ชอบอยู่ โดยเฉพาะพวกละครคาบุกิโบราณ”
“อย่างนี้ก็คงเคยไปโรงละครคาบุกิ วันที่ 3 พฤศจิกาก็ไปใช่ไหม”
นายตำรวจจับจ้องสีหน้าของคู่สนทนาอย่างไม่ยอมให้คลาดสายตา แต่ก็ไม่เห็นมีอะไรผิดปกติไปแม้แต่น้อย
“โอ้ย ไม่ได้ไปนานแล้วครับ ไม่มีสตางค์ แล้วก็ไม่ได้เป็นแฟนถึงขนาดตีตั๋วยืนด้วย อย่างผมนี่มันต้องละครหญิงฟันดาบแถวอาซากุซะ และก็ละครเร่แบบ “คณะคาคาบามิซะ” ชอบทั้งสองอย่างเลย มันทำให้คิดถึงบรรยากาศบ้านนอกสมัยที่ยังเป็นเด็กซน”
ออกนอกเรื่องตามเคย นายตำรวจสืบสวนมากประสบการณ์ฟังแล้วชักอ่อนใจ ไม่รู้จะคิดยังไงถูก จะว่าทั้งหมดนี่เป็นเรื่องโกหกละก็ต้องนับว่าชายคนนี้หน้าตายเอามาก ๆ แต่คงไม่ใช่หรอกมันก็แค่คนบ้า ๆ บอ ๆ ไปวัน ๆ เท่านั้นแหละ
“อ้อ เมื่อกี้คุณบอกว่า วันนี้มุราโคชิมาหาคุณที่นี่ใช่ไหม คงจะมาตอนเช้าซินะ เพราะวันนี้ต้องไปทำงาน”
นายตำรวจลองเปลี่ยนแนวคำถามดู ถ้าอีกฝ่ายไม่แสดงปฏิกิริยาอะไร ก็เห็นจะต้องล้มเลิกความตั้งใจลงแค่นี้
“มาตอนก่อนเที่ยงครับ ขึ้นรถเช่ามา อยู่ได้สักสิบนาทีก็กลับไป บอกว่าถึงจะอยู่ระหว่างทำงานแต่ปลีกตัวมาแค่นี้ไม่น่าเป็นอะไร เหมือนไปเข้าห้องน้ำนานหน่อยเท่านั้น”
“อ้อ อย่างนี้ก็แปลว่ามีธุระด่วน บอกได้ว่ามีไหมธุระอะไรกับคุณถึงต้องรีบด่วนขนาดนั้น หรือว่าเป็นเรื่องที่บอกไม่ได้”
เอาละ...หางค่อย ๆ โผล่ออกมาแล้ว คงจะโกหกได้ไม่คล่องปากละทีนี้ ธุระที่ต้องหนีงานขึ้นรถเช่ามาหาอย่างเร่งด่วนขนาดนี้มันต้องเป็นเรื่องสำคัญมาก ไม่ใช่เรื่องธรรมดาแน่นอน จะว่ายังไง...บอกมาทีรึ
ทว่า อีกฝ่ายไม่แสดงทีท่าตกอกตกใจแต่อย่างใด ริมฝีปากแดงเผยอยิ้มพลางเกาหัวผมกระเซิงแกรก ๆ
“เสร็จกัน คุณตำรวจเรื่องมันพูดยากครับ แต่ก็ไม่ได้มีการซื้อขายกัน คงไม่ผิดกฎหมายนะครับ คือมันอย่างนี้”
จิตรกรสติเฟื่องลุกขึ้นเดินไปที่ชั้นตรงมุมห้องล้วงมือผ่านตั้งนิตยสารเก่า ๆ หยิบม้วนกระดาษยาวออกมา
“ของแบบนี้ไม่อยากให้คุณตำรวจดูหรอกนะครับ แต่เห็นสงสัยนักก็เลยไม่รู้ว่าจะทำยังไง ผมก็แค่อยากให้คุณตำรวจเชื่อว่าทั้งมุราโคชิและผม ไม่เกี่ยวข้องกับเหตุฆาตกรรมอะไรทั้งนั้น”
คินุกิบ่นอุบอิบขณะคลี่ม้วนกระดาษกางออกบนพื้นเสื่อทาทามิเก่าแก่ ภาพขนาดใหญ่ที่วางแผ่อยู่ตรงหน้าเป็นภาพพิมพ์บล็อกไม้ด้วยหมึกดำรูปชายหญิงปฏิสัมพันธ์กันในที่รโหฐาน บนกระดาษญี่ปุ่นเนื้อหนาดูเก่าแก่
“ผมไม่รู้ว่าคุณตำรวจรู้จักท่านจิตรกรฮิชิคาวะ โมโรโนบุดีแค่ไหน แต่ภาพนี้เป็นภาพที่หายากและมีค่ามากครับ ผมซื้อมาจากเพื่อนนักวาดรูปที่ตอนนี้ตายไปแล้ว แค่เดิมเป็นภาพพิมพ์บล็อกไม้ชุดห้าภาพติดต่อกันแต่ผมได้มาแค่ภาพเดียวราคาเลยตกลงไปบ้าง แต่ก็ยังอยู่ในระดับสองพันถึงห้าพันล้านเยนแล้วแต่คนซื้อ เป็นยังไงครับลายเส้นโค้งเว้างดงามมากใช่ไหม นี่เป็นภาพพิมพ์ชุดแรกเลยนะครับ ฝีมือพิมพ์เยี่ยมมาก และไม่มีรอยแมลงกัดกินด้วย”
จิตรกรสติเฟื่องหรี่ตาเยิ้ม น้ำลายแทบจะหยดจากริมฝีปากแดง ขณะมองภาพโบราณเร้าอารมณ์
“ก่อนหน้านี้ราวเดือนนึง ผมเอาภาพนี้ไปให้มุราโคชิดูที่อพาร์ทเม้นท์แล้วก็ทิ้งไว้ที่นั่น แค่พอดีผมขาดเงินก็เลยต้องเอาภาพนี้ไปจำนำไว้ก่อน เพราะไม่มีจะกินแล้วค่าเช่าบ้านก็ค้างหลายเดือนโดนทวงแล้วทางอีก เมื่อวานนี้ผมเลยโทรไปบอกให้ภาพมุราโคชิเอามาคืนโดยด่วน เป็นไงครับธุระของผมด่วนพอไหม เพราะอย่างนี้มุราโคชิถึงกับต้องขึ้นรถเช่ามาเลยละครับ”
นายตำรวจมิโนอุระฟังแล้วค่อนข้างเชื่อว่าอาจเป็นความจริงเช่นนั้นก็ได้ เพราะดูมีเหตุมีผลเกินกว่าจะเป็นเรื่องโกหก แต่ถ้าเป็นเรื่องโกหกที่เตรียมการเอาไว้เป็นอย่างดี ทั้งมุราโคชิและคินุกิคนนี้ก็ต้องเป็นคนเจ้าเล่ห์เหลี่ยมจัดเลยทีเดียว จนแล้วจนรอดก็ยังปักใจเชื่อลงไปไม่ได้ว่าคำพูดของจิตรกรสติเฟื่องคนนี้จริงหรือเท็จ แต่ที่แน่ ๆ ก็คือใบหน้าที่รกไปด้วยหนวดเคราและผมกระเซิง ปากกว้างและริมฝีปากแดงจัด ดวงตาคมวาวของชายคนนี้ ดูรำคาญตาแต่ในเวลาเดียวกันก็มีพลังกดดันอย่างไรชอบกล
จากนั้นทั้งสองก็สนทนากันด้วยเรื่องสัพเพเหระ และสุดท้ายมิโนอุระก็กลับออกไปจากห้องใต้หลังคาของจิตรกรสติเฟื่องโดยไม่ได้อะไรติดมือไปสักอย่างเดียว ระหว่างทางนายตำรวจสืบสวนเข้าไปถามพวกเมียเจ้าของร้านค้า และพวกเด็ก ๆ ที่วิ่งเล่นอยู่ในละแวกนั้นเกี่ยวกับความเคลื่อนไหวของคินุกิจิตรกรสติเฟื่อง แต่ก็ไม่มีใครสังเกตเห็นว่าเขาออกไปจากบ้านในวันนั้น มิโนอุระถามด้วยว่าเห็นคนที่มีรูปพรรณสัณฐานเหมือนมุราโคชิ หรือชายใส่เสื้อโค้ตและสวมหมวกสีเทาออกมาจากซอยข้างโกดังหลังนั้นบ้างหรือเปล่า แต่ก็ไม่มีใครเห็นหรือได้เบาะแสอะไรเพิ่มเติม
มิโนอุระกลับไปพร้อมกับความคิดที่ว่าไม่มีทางอื่นนอกจากสะกดรอยตามมุราโคชิให้ใกล้ชิดขึ้นต่อไป และคิดที่จะไปปรึกษากับอาเกจิ โคโงโรนักสืบเอกผู้นั้นด้วย แต่หลังจากสะกดรอยต่อไปได้ห้าวันโดยไม่ได้ผลคืบหน้านายตำรวจผู้เชี่ยวชาญการสะกดรอยก็หมดกำลังใจจนต้องหยุดไปสองวัน และระหว่างนั้นเองได้เกิดคดีฆาตกรรมรายที่สองขึ้น ผู้ตกเป็นเหยื่อคือมุราโคชิ ฮิโตชิ