บทประพันธ์ของ เอโดงาวะ รัมโป (1894-1965)
แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
หนี้ที่ถูกกำหนดให้ต้องชำระด้วยเลือดและชีวิต...ตามตราสารคำสาปแห่งมายาปีศาจ
นี่หรือคือผู้ต้องสงสัย
อิทธิฤทธิ์ของวิญญาณปีศาจพยาบาทไม่ได้สิ้นสุดลงแค่นั้น เหยื่อรายต่อไปคือลูกทั้งสามของนายทามามุระ สามหนุ่มสาวไม่มีเวลาเศร้าโศกกับการตายของบิดามากนัก เพราะต้องเผชิญกับกับภัยคุกคามจากปีศาจร้ายแทบจะทันที
อิจิโรกับจิโรติดนิสัยดื่มกาแฟบนเตียงทุกเช้าแบบชาวตะวันตก เช้านี้ก็เช่นกัน (หลังเสร็จงานศพนายทามามุระ เซ็นทะโร หลายวัน) สาวใช้นำกาแฟมาเสิร์ฟให้ถึงเตียงตามเคย แต่พอดื่มเข้าไปไม่นานก็เกิดอาการปวดท้องรุนแรงและเริ่มอาเจียน
ดีที่เช้านี้สองพี่น้องดื่มกาแฟแค่ครึ่งถ้วยเพราะรู้สึกขมกว่าเคย ถ้าดื่มเข้าไปหมดถ้วยคงตายแน่ ผลการตรวจของปรากฏว่าในกาแฟมียาพิษอย่างหนึ่งผสมอยู่ ตำรวจจึงสอบปากคำคนรับใช้ในบ้านทุกคนอย่างเข้มงวดแต่ก็ไม่พบผู้ต้องสงสัย
คราวนี้ไม่ใช่งูพิษ เพราะอสรพิษน่าเกลียดน่ากลัวตัวนั้นตายไปแล้ว และถึงจะยังมีชีวิตอยู่ก็คงไม่มีปัญญาวางยาพิษใครได้ มันต้องเป็นฝีมือของคนแน่นอน แต่ตอนนี้ใคร ๆ ก็รู้แจ้งกันแล้วว่าสมุนของปีศาจถูกตำรวจกวาดเข้ากรงขังไม่เหลือสักคน แล้ว...แล้วใครคือผู้ร้ายที่แฝงตัวอยู่ ยิ่งคิดก็ยิ่งไม่เข้าใจ
สารวัตรนามิโคชิคิดแง่นั้นมุมนี้จนเวียนหัวก็ยังหาคำตอบไม่ได้ จึงจำต้องไปหานักสืบอาเกจิ โคโงโรผู้เป็นเสมือนคลังปัญญาของเขาเพราะไม่มีทางเลือกอื่นที่ดีกว่านี้
สารวัตรมือปราบก้าวเข้าไปในห้องทำงานบนตึกอพาร์ทเม้นท์แบบตะวันตก ก็พบนักสืบอาเกจิ โคโงโรกำลังคร่ำเคร่งอยู่กับการอ่านหนังสือเล่มใหญ่หนาปึกอยู่ที่โต๊ะทำงาน หนังสือจิตวิทยาอาชญากรรมของคาร์ล กรูซ (Karl Groos)
“อ่านหนังสืออยู่หรือครับ”
สารวัตรนามิโคชิเอ่ยทักพลางชะโงกหน้าเข้าไปดูตัวอักษรภาษาเยอรมันในหนังสือที่อีกฝ่ายกำลังอ่าน
“แค่เปิดหนังสือแล้วก็คิดอะไรเรื่อยเปื่อย ไม่ได้อ่านหรอกครับ”
นักสืบรูปงามเงยหน้าขึ้นตอบเรียบ ๆ
“คิดอะไรอยู่ เรื่องวิญญาณนายโอคุมุระ เก็นโซหรือครับ”
“เปล่าครับ คิดถึงอะไรที่ใกล้กับความเป็นคนมากกว่านั้น ภาพลวงตาแสนงามครับ คนอย่างผมก็มีอารมณ์คิดถึงอะไร ๆ นอกเหนือจากคดีอาชญากรรมเหมือนกันนะครับสารวัตร”
“ภาพลวงตาแสนงามนี่ภาพวิวสวย ๆ ที่ไหนหรือครับ เอ๊ะ...หรือว่าจะเป็นเพลง”
สารวัตรนามิโคชิแหย่ นาน ๆ ทีจะได้ยินมือปราบพูดอะไรที่เป็นเรื่องเบา ๆ แบบนี้
“งามกว่านั้นมากครับ ผมกำลังคิดถึงหัวใจคน หัวใจอันพิสุทธิ์”
“หัวใจอันพิสุทธิ์หรือครับ”
“ทางตำรวจจะไม่ช่วยปล่อยตัวโอคุมุระ ฟุมิโยะ ออกจากห้องขังเสียทีหรือครับ”
“อ๋อ ฟุมิโยะ ลูกสาวปีศาจใจโหดคนนั้นน่ะหรือครับ จริงด้วย...น่าสงสารมาก เธออยู่ข้างเรามาตั้งแต่ต้น จิตใจของเธอคงทุกข์ทรมานเหลือเกินที่ต้องถูกบีบอยู่ตรงกลางระหว่างเรากับพ่อใจเหี้ยมเหมือนผีนรกคนนั้น ฟุมิโยะเป็นผู้บริสุทธิ์ไม่ต้องรับโทษทัณฑ์บ้านเมือง ปัญหาอยู่ที่เวลาเท่านั้นแหละครับ”
“สักเมื่อไรหรือครับ”
สารวัตรมือปราบหัวเราะชอบใจ
“ภาพลวงตาแสนงามของคุณที่แท้ก็แม่ฟุมิโยะคนนี้นี่เอง ผมรู้มาตลอดว่าแม่ฟุมิโยะโฉมงามคนนี้มีใจให้คุณแค่ไหน ถ้าไม่ใช่เพราะความรักของแม่ฟุมิโยะ ป่านนี้ทุกคนในตระกูลทามามุระคงถูกปีศาจฆาตกรพ่อของหล่อนฆ่าตายไปนานแล้ว”
“ผมไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงลืมฟุมิโยะไม่ลง ภาพของผู้หญิงที่มีความงดงามทั้งกายและใจ ต่างจากพ่อของเธอราวฟ้ากับดินคนนี้ ติดอยู่ที่ปลายตาผมตลอดเวลาเลยครับ”
นักสืบรูปงามสารภาพความรู้สึกออกมาตรง ๆ หน้าแดงเรื่อราวกับหนุ่มน้อยแรกรัก
“ถึงจะเป็นลูกสาวฆาตกร แต่หากเป็นผู้หญิงจิตใจงดงามอย่างแม่ฟุมิโยะละก็ ผมไม่ว่าอะไรเลยที่คุณจะสนิทสนมด้วยอย่างนี้ เพราะผู้หญิงใจบริสุทธิ์อย่างนี้หาไม่ได้ง่าย ๆ...เทียบกับคุณหนูทาเอโกะลูกสาวของนายทามามุระแล้ว ไม่ได้ยิ่งหย่อนกว่ากันเลยไม่ว่าจะหน้าตาหรือว่าจิตใจ”
ไม่รู้ว่าทำไมพอได้ยินสารวัตรเอ่ยชื่อทาเอโกะนักสืบอาเกจิถึงได้ขมวดคิ้ว
นักสืบอัจฉริยะยังจำได้ที่ตนเคยสนิทสนมเกินคำว่าเพื่อนกับเจ้าหล่อน เคยพายเรือคุยกันราวกับคู่รักในทะเลสาบ S ที่ต้องยื่นมือเข้ามายุ่งกับคดีฆาตกรรมครอบครัวทามามุระก็เพราะโฉมงามผู้นี้มาขอความช่วยเหลืออย่างน่าสงสาร ความสัมพันธ์เช่นนี้คงไม่รอดหูรอดตาอันเฉียบคมของสารวัตรสิงห์มือปราบไปได้ ความเขินบวกกับความขัดเคืองใจที่พลุ่งขึ้นมาทำให้นักสืบรูปงามไม่อาจเก็บอารมณ์ไว้ได้
ตอนนี้อาเกจิ โคโงโรชิงชังทาเอโกะจนขนลุกด้วยเหตุผลที่ลึกซึ้ง ไม่ใช่เพราะได้รู้จักกับฟุมิโยะเท่านั้น ไหวพริบของสารวัตรนามิโคชิไม่เฉียบคมพอที่จะจับความรู้สึกเช่นนั้นของนักสืบเอกได้ จึงพูดเจื้อยแจ้วต่อไปตามใจคิด
“พูดถึงคุณหนูทาเอโกะ เธอบ่นกับผมว่าคุณไม่ค่อยใส่ใจกับเหตุวางยาพิษครั้งนี้เท่าที่ควร ขอให้ผมบอกคุณว่าช่วยดูเรื่องนี้อย่างจริงจังขึ้นสักหน่อย”
นักสืบอาเกจินิ่งเงียบ คิ้วดำได้รูปยังขมวดอยู่ตามเดิม ทำสีหน้าไม่พอใจที่จะตอบ
“ไม่ใช่คุณหนูทาเอโกะคนเดียวนะครับ อันที่จริงผมเองก็อยากฟังความคิดเห็นของคุณอยู่เหมือนกัน ตอนพบศพนายทามามุระ เซ็นทะโร คุณบอกว่าฆาตกรรมครั้งนี้เป็นคณิตศาสตร์ขั้นสูงใช่ไหม คำพูดของคุณฝังใจผมมาตลอด แต่ไม่ว่าจะคิดเท่าไรก็ไม่เข้าใจว่าคุณหมายความว่าอย่างไร”
สารวัตรนามิโคชินำการสนทนากลับมาเข้าหัวข้อเรื่องหลักอีกครั้ง
“สารวัตรต้องทิ้งความคิดที่ฝังหัวอยู่ไปให้หมด แล้วกลับไปคิดทบทวนเรื่องนี้อีกครั้งด้วยสมองที่เป็นผ้าขาวเหมือนกลับไปเป็นเด็กทารกอีกครั้ง สมองของผู้ใหญ่ตกเป็นทาสของความคิดที่ได้รับอิทธิพลจากสังคมที่สับสนวุ่นวายรอบ ๆ ตัวมากเกินไป เวลาเกิดอะไรขึ้นก็มักจะมองไม่เห็นความเป็นจริงเหมือนเส้นผมบังภูเขา ทั้ง ๆ ที่ความเป็นจริงนั้นเผยให้เห็นกันอย่างจะ ๆ อยู่ตรงหน้านั้นเอง”
นักสืบอาเกจิพูดเป็นจังหวะเหมือนพระนิกายเซนกำลังแสดงธรรมเทศนา ซึ่งถ้าตีความหมายไปอีกแนวหนึ่งวิชานักสืบอาจเหมือนกับธรรมะนิกายเซ็นก็เป็นได้ แต่นั่นไม่ใช่แนวของมือปราบผู้ปฏิบัติจริงบนพื้นที่เกิดเหตุอย่างสารวัตรนามิโคชิ เขาจึงได้แต่ยิ้มฝืด ๆ
“ผมไม่เข้าใจตรงนี้แหละ ที่คุณพูดอาจหมายถึงจุดบอดซึ่งผมมองเท่าไรก็ไม่เห็นแม้คุณจะบอกว่ามันอยู่ตรงหน้า แต่ขอถามหน่อยได้ไหมว่า คุณมองเห็นจริง ๆ รึ”
สารวัตรมือปราบย้อนเอาตรง ๆ
“เห็นซีครับ”
นักสืบเอกตอบหน้าตาเฉย
“หมายความว่าคุณรู้แล้วรึว่าใครฆ่านายทามามุระ และวางยาอิจิโร กับ จิโร สองพี่น้องนั่น”
สารวัตรนามิโคชิรุกด้วยชั้นเชิงที่คมกริบขึ้นไปอีก แต่นักสืบเอกไม่สะทกสะท้านแม้แต่น้อย
“รู้ครับ”
คนที่สะทกสะท้านกลับเป็นสารวัตรมือปราบ ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะขณะที่ตำรวจระดมกำลังกันสืบหาฆาตกรตัวจริงกันแทบเป็นแทบตายแล้วยังจับเบาะแสอะไรไม่ได้สักอย่าง อยู่ ๆ นักสืบเอกชนคนนี้ก็พูดออกมาหน้าตาเฉยว่ารู้ตัวฆาตกรปริศนาคนนั้นแล้ว
“คุณคงไม่ได้พูดตลกยั่วผมเล่นใช่ไหม”
“ไม่ใช่เรื่องตลกครับ”
“งั้นก็บอกผมมาว่าใครคือฆาตกรตัวจริง และตอนนี้อยู่ที่ไหน”
สารวัตรนามิโคชิคาดคั้นเสียงเขียว
“กรุณารอถึงสี่ทุ่มคืนนี้ได้ไหมครับ ไม่ต้องกลัวว่าคนร้ายจะหนีไปไหน สี่ทุ่มตรงผมจะมอบตัวคนร้ายให้สารวัตร”
นักสืบเอกพูดเหมือนกำลังสนทนากันเรื่องทั่ว ๆ ไปที่ไม่สำหลักสำคัญ
“คุณว่าอะไรนะ...นี่หมายความว่าคุณจับตัวฆาตกรเอาไว้แล้วอย่างนั้นรึ คุณเก็บตัวมันไว้ที่ไหน...มันอยู่ไหน”
“ไม่ต้องรีบร้อนครับสารวัตร ผมจะบอกให้ว่าฆาตกรอยู่ที่ไหน สารวัตรช่วยจำเอาไว้ดี ๆ นะครับ แล้วพอถึงเวลาสี่ทุ่มตรงให้สารวัตรไปที่นั่นคนเดียว คิดว่าผมจะสามารถมอบตัวคนร้ายให้สารวัตรได้ ที่นั่นคือตำบล Y เขตฮนโงครับ ถ้าไปด้วยรถไฟฟ้า สารวัตรก็ลงที่ป้านซาคานะมาจิ เดินไปตามถนนดังโงซากะแล้วเลี้ยวขวา เลี้ยวซ้ายเข้าตรอกที่สาม เดินไปตามทางที่มีรั้วต้นไม้อยู่สองฟากราวหนึ่งกิโลเมตร ก็จะไปถึงตึกฝรั่งหลังหนึ่งที่มีซุ้มประตูหิน เป็นตึกร้างคล้ายบ้านผีสิง เดินเข้าซุ้มประตูหินอ้อมไปทางหลังตึกจะพบหน้าต่างสามบานเรียงกัน บานซ้ายสุดเปิดอยู่สารวัตรเข้าไปทางนั้นนะครับ ในห้องนั้นมืดสนิทไม่มีดวงไฟ ผมจะรอสารวัตรอยู่ในนั้น รับรองไม่มีอันตรายอะไรทั้งสิ้น แต่ขอให้สารวัตรมาคนเดียวครับ”
คำพูดของนักสืบอาเกจินั้นยิ่งฟังก็ยิ่งประหลาด เชลยของเขาคือใครกัน
“เข้าใจละ ผมจะทำตามนั้น” สารวัตรรับคำแล้วทวนเส้นทางให้ฟัง “ว่าแต่คุณสืบหาฆาตกรตัวจริงได้ยังไง บอกผมได้ไหมว่าใคร”
“เป็นคนที่สารวัตรคาดไม่ถึงเลยละครับ และแน่นอนว่าสารวัตรรู้จักดีด้วย”
“ใคร...มันคือใคร”
สารวัตรเผลอตัวร้องถามเสียงดังเหมือนตะโกน
“... ...”
นักสืบอาเกจิโน้มตัวเข้าไปกระซิบอะไรเบา ๆ ที่ข้างหูสารวัตรมือปราบ
“เฮ้ย บ้า เป็นไปได้ไง”
สารวัตรนามิโคชิสะดุ้งตัวลอย ตะโกนลั่น
“เป็นไปไม่ได้ ไม่มีทาง คุณมีหลักฐานอะไร”
“ผมจะเล่ารายละเอียดให้สารวัตรฟัง ส่วนหลักฐานนั้นมีแน่นอนครับ”
จากนั้นนักสืบอาเกจิ โคโงโรใช้เวลาถึงเกือบครึ่งชั่วโมงเล่าถึงขั้นตอนการสืบหาจนได้ตัวฆาตกรตัวจริงให้สารวัตร นามิโคชิฟังอย่างละเอียด เมื่อได้ฟังจนจบสารวัตรมือปราบก็เข้าใจความคิดของนักสืบเอกโดยตลอด จึงสัญญาที่จะไปตามสถานที่นัดหมายตอนสี่ทุ่มตรงคืนนั้น ก่อนลากลับไป
ม่านสีชมพู
อพาร์ทเมนท์ของอาเกจิ โคโงโรได้ต้อนรับทามามุระ ทาเอโกะเป็นแขกคนที่สองเมื่อพลบค่ำ นักสืบรูปงามคอยอยู่แล้วเพราะได้รับโทรศัพท์นัดหมายตั้งแต่เช้า แม้จะเป็นการรอคอยที่ไม่ชุ่มชื่นใจก็ตาม
แต่ทาเอโกะเป็นผู้หญิงสวยมากทั้งหน้าตาและรูปทรง แม้อาเกจิจะมีใจลำเอียงไปทางฟุมิโยะที่หมายปอง ก็ยังปฏิเสธไม่ได้ว่าความงามของทาเอโกะเหนือกว่าฟุมิโยะอยู่มาก
วันนี้ทาเอโกะอยู่ในชุดกิโมโนผ้าไหมสำหรับฤดูใบไม้ผลิที่รัดรูปทรงองค์เอวให้ดูอรชรอ้อนแอ้น ใบหน้าและมือไม้ตกแต่งด้วยเครื่องสำอางดูงดงามไปทั้งกายตัว
“ขอโทษค่ะที่มาช้า ทำให้ต้องคอยนาน”
ทาเอโกะถอดถุงมือไหมบางเบาพลางยิ้มเยือนอ่อนหวาน อาเกจิต้องเดินอ้อมไปด้านหลังเพื่อช่วยถอดเสื้อคลุมให้
“คอยอยู่ครับ อาการของคุณพี่ทั้งสองเป็นอย่างไรบ้าง”
“ขอบคุณค่ะ ยังลุกไม่ขึ้นเลยแต่ก็ดูดีขึ้นมาก ขอโทษนะคะที่ทำให้เป็นห่วง”
ทาเอโกะทรุดตัวลงนั่งบนโซฟาช้อนตาขึ้นมองอาเกจิที่ยังถือเสื้อคลุมของเธออยู่ในมือ ผู้อ่านที่ติดตามเรื่องราวมาตลอดจนจะจำได้ว่าสาวงามผู้นี้รักนักสืบเอกของเรา และยิ่งชายหนุ่มพยายามทำตัวออกห่างเพียงไรก็ดูเหมือนเธอจะยิ่งรุกเข้าใกล้
อาเกจินั่งลงบนโซฟาตัวตรงข้าม ฟังทาเอโกะพรรณนาเจื้อยแจ้วตามประสาผู้หญิง เริ่มตั้งแต่คำขอบคุณ เรื่อยไปจนถึงความโศกเศร้าที่ต้องสูญเสียบิดา ความหวาดกลัวฆาตกรใจโหดที่ไม่รู้ว่าเป็นใคร ฟังมานานก็ยังไม่รู้สักทีว่าเธอมาด้วยธุระอะไร จนอาเกจิอดรนทนไม่ได้ต้องเอ่ยถามออกไปตรง ๆ
“แล้ว มาวันนี้มีธุระอะไรหรือครับ”
ทาเอโกะทำหน้ามีจริตอ่านได้ว่า “ตายจริง” แล้วทอดสายตาหวานละมุนไปที่คู่สนทนา
“ไม่มีธุระอะไรเป็นพิเศษหรอกค่ะ แค่อยากให้ช่วยสืบหาตัวฆาตกรที่ฆ่าคุณพ่อเพื่อเราสามคนพี่น้องจะได้อยู่กันอย่างสบายใจเสียที หลังจากที่คุณพี่ทั้งสองถูกวางยาพิษ เราหวาดระแวงกันไปหมด คุณได้เบาะแสอะไรบ้างหรือยังคะ ช่วยเล่ารายละเอียดให้ฟังหน่อยได้ไหมเพื่อว่าเราจะได้คลายใจกันบ้าง”
“ไม่มีอะไรต้องกังวลกันอีกแล้วครับ เพราะตั้งแต่พรุ่งนี้จะไม่มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นอีกแน่นอน”
“นี่หมายความว่าคุณรู้อะไร ๆ หมดแล้วหรือค่ะ ช่วยเล่าให้ฟังหน่อยได้ไหมว่ามันอะไรกัน ได้โปรดเถิดค่ะ”
ดูเหมือนทาเอโกะจะตื่นเต้นจนลืมตัว ผลุดลุกขึ้นเดินอ้อมไปนั่งบนโซฟาตัวเดียวกับอาเกจิ
“นะคะ ได้โปรดเถิด เล่าให้ฉันฟังที”
สาวงามออดอ้อนด้วยท่าทางไร้เดียงสา แตะข้อศอกของอาเกจิ เอนกายเข้าไปจนชิดแล้วช้อนตาขึ้นมองหน้าชายหนุ่มอันเป็นที่รัก
ทาเอโกะเอนกายเข้าไปชิดใกล้จนอาเกจิได้ไออุ่นจากเนื้อเนียนของข้อศอกนางที่แนบชิด และรู้สึกถึงสัมผัสของปลายนิ้วที่กดลงมาคลึงบนข้อศอกของตน ลมหายใจเจือกลิ่นหอมหวานจรุงใจจากเรียวปากจิ้มลิ้มของสาวงามที่เงยขึ้นฉอเลาะชิดใกล้กับใบหน้าของเขา...เจ้าหล่อนช่างเป็นสาวน้อยที่กล้าหาญอะไรเช่นนี้
ทาเอโกะสวยทรงเสน่ห์เย้ายวนใจหลือเกิน อาเกจิรู้สึกสับสนและลำบากใจอย่างบอกไม่ถูกเมื่อหญิงที่ชวนให้ใฝ่ฝันมาทอดกายแนบชิดอยู่ดับวงแขนเช่นนี้ ชายหนุ่มไม่รู้ว่าจะจัดการอย่างไรกับความสั่นสะท้านที่พลุ่งขึ้นมาจากก้นบึ้งของหัวใจ น่ากลัว...เขาไม่อาจหาคำคุณศัพท์ใด ๆ มาประกอบความหวาดกลัวที่เขากำลังเผชิญอยู่นี้ได้เลย
“อยากฟังขนาดนั้นเลยหรือครับ”
อาเกจิถามขึ้นหลังจากควบคุมตนเองได้ในที่สุด
“ค่ะ อยากรู้มากเลย”
ที่น่าหวั่นใจก็คือ ทุกครั้งที่พูดริมฝีปากแดงของทาเอโกะยิ่งใกล้ชิดเข้ามาที่ใบหน้าของนักสืบหนุ่ม
“ผมรู้แล้วว่าใครคือฆาตกร”
“ตายจริง ฆาตกรน่ะหรือคะ”
ใบหน้าของทาเอโกะถอดสีทันทีด้วยความตระหนก
“ใครคะที่เป็นฆาตกร”
สาวน้อยหน้าซีด เอนตัวแนบชิดกับข้อศอกของอาเกจิยิ่งขึ้นเหมือนจะอาศัยเป็นที่พึ่ง หายใจถี่แรงขึ้นจนจับได้ชัด
“อยากรู้หรือครับ”
นักสืบถามพลางเบี่ยงตัวออกจากเนื้อนวลที่แนบชิดเข้ามา
“ค่ะ อยากรู้จริง ๆ “
“คุณมีความกล้าพอไหม”
“อะไรนะคะ” ทาเอโกะกลั้นใจถาม “ความกล้า...ต้องมีความกล้าด้วยหรือคะ”
“ฆาตกรอยู่ที่บ้านร้างหลังหนึ่ง ถ้าอยากเห็นหน้าฆาตกรก็จะต้องเข้าไปที่บ้านร้างหลังนั้น”
“แต่ฉันไม่ได้อยากเห็นหน้าฆาตกรสักหน่อย แต่ขอให้คุณจับตัวมาได้เป็นพอ”
“ผมจับแน่ครับ แต่คุณไม่อาฆาตแค้นฆาตกรเลยหรือยังไง ไม่อยากเห็นหน้ามันเลยหรือครับ”
“ฉันเคียดแค้นมากเพราะมันเป็นศัตรูของคุณพ่อ แต่จะให้ไปเผชิญหน้ากับชายใจเหี้ยม น่าเกลียดน่ากลัวอย่างนั้น ฉันว่ามัน...”
“ไมใช่ผู้ชายครับ ฆาตกรเป็นผู้หญิง และเป็นคนที่คุณรู้จักดีด้วย ผู้หญิงคนนี้ไม่ได้เป็นคนแข็งแกร่งเหี้ยมเกรียม ที่จะทำร้ายคุณได้ต่อหน้าต่อตา ทั้งยังเป็นคนที่มีวิธีลอบมองอย่างแยบยลโดยที่คู่สนทนาไม่รู้สึกตัวด้วย”
“ตายละ เป็นคนที่ฉันรู้จักดีเสียด้วย ใครกันนะ นึกไม่ออกเลยจริง ๆ “
“เป็นคนที่ไม่มีใครคาดคิดเลยจริง ๆ “
“หรือว่าจะเป็นฟุมิโยะ ลูกสาวของโอคุมุระ เก็นโซ ปีศาจพยาบาทคนนั้น”
“ไม่ใช่ครับ ฟุมิโยะยังอยู่ในสถานกักกันของตำรวจ ฆาตกรเป็นคนที่อยู่เหนือความคาดหมายกว่านั้นมาก และจะถูกจับในเวลาสี่ทุ่มตรงคืนนี้แน่นอน พอรุ่งเช้าวันพรุ่งนี้ข่าวการจับกุมก็จะแพร่กระจายไปทั่ว ถ้ารอจนถึงเวลานั้นไม่ได้ คุณจะไปซุ่มดูที่ตึกร้างหลังนั้นก็ได้นะ ผมกับสารวัตรนามิโคชิจะไปที่นั่น คุณคงได้เห็นเราจับฆาตกรกัน”
“ตึกร้างที่คุณว่า อยู่ที่ไหนหรือคะ”
ทาเอโกะผละจากข้อศอกของอาเกจิที่เธอเบียดเข้าไปเอนพิงอยู่ หันมาใจจดใจจ่อกับการจับฆาตกร ก็ไม่น่าแปลกที่เธอมีอากัปกิริยาเช่นนั้น ในเมื่อพ่อของเธอเพิ่งตกเป็นเหยื่อฆาตกรรมโหดมาสด ๆ ร้อน ๆ และตัวเธอเองก็ถูกคุกคามแทบเอาชีวิตไม่รอดมาแล้วหลายครั้ง เมื่อได้ยินว่านักสืบหนุ่มรู้ตัวคนร้ายแล้วเช่นนี้ จึงย่อมตื่นเต้นเป็นธรรมดา
อาเกจิบอกทางไปตึกร้างตามขั้นตอนที่ได้อธิบายให้สารวัตรนามิโคชิรับรู้ไปแล้ว เว้นแต่ว่าไม่ได้บอกให้ทาเอโกะเข้าไปในบ้านทางหน้าต่างด้านหลังตึก
“พอเดินผ่านซุ้มประตูหิน ก็จะพบประตูทางเข้าบ้านซึ่งเปิดเอาไว้ คุณต้องเข้าไปในตึกนั้นคนเดียว เดินตรงเข้าไปตามระเบียงทางเดินจนถึงห้องโถงใหญ่ที่เปิดประตูเอาไว้ ทางขวามือของห้องมีม่านสีชมพูแขวนอยู่ ด้านหลังม่านเป็นห้องเล็ก ๆ ที่เปิดไฟเอาไว้ พอไปถึงให้คุณแหวกม่านสีชมพูนั้นเข้าไปดู แล้วจะพบฆาตกรอยู่ในนั้น”
ช่างเป็นวิธีที่แปลกประหลาดเหลือเกิน อดสงสัยไม่ได้ว่าทำไมถึงต้องให้สารวัตรนามิโคชิและทาเอโกะทำอะไรที่วกวนซับซ้อนอย่างนั้นด้วย
“ถ้าอยากเห็นฆาตกร ก็ต้องทำตามขั้นตอนที่ผมบอกทุกขั้นตอนอย่าให้ผิดพลาดไปได้ ถ้าผิดขั้นตอนจะต้องเกิดปัญหาใหญ่แน่”
ว่าแล้วนักสืบทาเอโกะก็ทบทวนขั้นตอนและวิธีแหวกม่านเข้าไปดูฆาตกรซ้ำอีกครั้ง
“แต่ฉันรู้สึกสยองอย่างไรไม่รู้ ถ้ามีคุณไปด้วยก็จะดีหรอก”
“ไม่ได้ครับ ผมมีหน้าที่วางกลอุบายให้ฆาตกรเข้ามาในห้องนั้น และจะยังนอนใจไม่ได้จนกว่าจะส่งตัวคนร้ายให้แก่สารวัตรนามิโคชิเรียบร้อย”
“ฉันจะขอให้สารวัตรนามิโคชิไปเป็นเพื่อนด้วยได้ไหมนะ”
“ไม่ได้เหมือนกันครับ ถ้าทำอย่างนั้นผมจะถูกสารวัตรตำหนิว่าทำไมถึงได้เปิดเผยความลับสุดยอดอย่างนั้นให้คนอื่นรู้ คุณต้องไปคนเดียว และอย่าทำอะไรนอกเหนือที่ผมบอกเป็นดีที่สุด”
ทาเอโกะไม่มีอะไรที่จะยึดเป็นที่พึ่งได้ จึงหันมาอ้อนวอนให้อาเกจิเผยชื่อฆาตกรซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่นักสืบรูปงามได้แต่ปิดปากสนิท
เมื่อออกจากอพาร์ทเมนท์ของนักสืบอาเกจิ ทาเอโกะลังเลอยู่เป็นนานว่าจะไปที่ตึกร้างหลังนั้นดีหรือไม่ดี จนในที่สุดก็ตัดสินใจไป
ความเคียดแค้นที่ทำให้อยากเห็นใบหน้าศัตรูเร็ว ๆ ความอยากรู้ว่าฆาตกรเป็นใครกันแน่ ประกอบกับความอยากผจญภัยเหมือนตัวเอกในนิยาย คงจะเป็นแรงผลักดันให้สาวน้อยไปที่นั่น แต่เหตุผลเพียงแค่นั้นอาจไม่เพียงพอที่จะโน้มน้าวให้ทาเอโกะไปที่นั่นก็ได้
มีอีกเหตุผลที่ทำให้เธอต้องไปคือ...การต้องรอจนถึงพรุ่งนี้เช้าจึงจะรู้ ทาเอโกะรู้สึกร้อนรนทนรอไม่ได้แม้เพียงในช่วงเวลาสั้น ๆ กลัวที่จะได้เห็น แต่การรอคอยยิ่งทำให้กลัวขึ้นไปอีก หญิงสาวกระวนกระวายอึดอัดจนแทบหายใจไม่ออก
ทาเอโกะขึ้นรถยนต์ไปลงที่ซาคานะมาจิ ออกเดินไปตามถนนดังโงซากะมุ่งหน้าไปยังตึกร้างตามคำบอกของนักสืบอาเกจิ พอเลี้ยวเข้าซอยเล็กก็พบกับละแวกที่อยู่อาศัยอันสงบเงียบ สองข้างทางเป็นรั้วต้นไม้สูงท่วมหัวราวกับกำลังเดินอยู่ในป่าอาถรรพ์ต้องห้าม
ทางไม่ไกลนักแต่ความมืดในยามค่ำคืนดูเหมือนไกลเป็นสองเท่า อีกทั้งรั้วต้นไม่สองข้างทางทำให้ทาเอโกะรู้สึกเหมือนเด็กหลงทางที่เดินเท่าไรก็ไม่ถึงจุดหมายเสียที
ในที่สุดเธอก็พบซุ้มประตูหิน หลังคาตึกร้างที่แลเห็นตะคุ่มอยู่ในแสงริบหรี่ของดวงดาว ดูเหมือนอสุรกายร่างดำทะมึนน่าสยองขวัญจนทำให้คิดอยากหันหลังกลับ แต่ความอยากเห็นหน้าฆาตกรทำให้ยากที่จะล้มเลิกความตั้งใจ ลำพังเพียงความอยากรู้อยากเห็นงอย่างเดียวคงจะตัดใจหันหลังกลับไปได้ไม่ยาก แต่สำหรับทาเอโกะ ใจของเธอถูกอะไรบางอย่างกดดันยิ่งไปกว่าความอยากรู้อยากเห็นธรรมดา
ทาเอโกะเดินผ่านซุ้มประตูด้วยความระมัดระวังไม่ให้มีเสียงฝีเท้าฝ่าดงหญ้าเข้าไปที่ประตูตึก ลองผลักประตูดูก็ปรากฏว่าเปิดออกอย่างง่ายดายไม่มีเสียงดังแต่อย่างใด หญิงสาวเดินตรงเข้าไปตามระเบียงทางเดินจนใกล้สุดทางจึงเห็นแสงสว่างจาง ๆ ตรงนั้นน่าจะเป็นห้องที่ฆาตกรอยู่
ใจเริ่มเต้นเป็นตีกลอง...อีกนิดเดียว พอคิดว่าอีกไม่กี่วินาทีก็จะได้เผชิญหน้ากับฆาตกรตัวจริงแล้ว ทาเอโกะก็ตื่นเต้นจนถึงกับอึดอัดในหน้าอกหายใจเกือบไม่ออก มือเท้าอ่อนเปียกแทบจะล้มลงไปเสียให้ได้
แต่แล้วก็ตัดใจรวบรวมพละกำลังที่เหลืออยู่ทั้งหมดยืนหยัดขึ้นมาอีกครั้ง ทาเอโกะเดินลึกเข้าไปเรื่อย ๆ ด้วยฝีเท้าเบาหวิวราวกับการล่องลอยของดวงวิญญาณ จนกระทั่งไปถึงห้องโถงใหญ่ตามที่อาเกจิบอกไว้ และพอมองไปทางขวาก็เห็นม่านสีชมพูงดงามอยู่ในแสงจากดวงไฟ
ในที่สุดวินาทีสำคัญก็มาถึง ฆาตกรใจโหดอยู่หลังม่านนั้นเอง ถึงจะเป็นผู้หญิงแต่ก็เป็นฆาตกร ถ้ารู้ตัวว่ามีคนแปลกปลอมเข้ามาคงต้องแผลงฤทธิ์เต็มที่ ดังนั้นจึงต้องไม่ทำให้เกิดเสียง แม้แต่เสียงเสียดสีของผ้าไหม หรือเสียงเคลื่อนไหวของอากาศ
ทาเอโกะเขย่งปลายเท้า กลั้นใจก้าวเดินไปใกล้ม่านสีชมพู เงี่ยหูฟังเสียงด้วยความระวังระไวแต่ก็ไม่ได้ยินอะไรที่ผิดสังเกต ฆาตกรคงรอใครสักคนอยู่นิ่ง ๆ ไม่ไหวติง...คอยใคร หรือกำลังคอยเธอ...ทาเอโกะ พอคิดมาถึงตรงนี้หญิงสาวก็ขนลุกซู่ไปทั้งตัว
ไหน ๆ ก็มาถึงตรงนี้แล้ว ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะมามัวลังเลอยู่ และนี่ก็คงจะเลยสี่ทุ่มซึ่งเป็นสัญญาที่ให้ไว้มาแล้ว ทาเอโกะยื่นนิ้วไปแตะตรงที่ม่านสองไขบรรจบกันอยู่ แล้วค่อย ๆ แหวกออกทีละนิด...ทีละนิด
แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
หนี้ที่ถูกกำหนดให้ต้องชำระด้วยเลือดและชีวิต...ตามตราสารคำสาปแห่งมายาปีศาจ
นี่หรือคือผู้ต้องสงสัย
อิทธิฤทธิ์ของวิญญาณปีศาจพยาบาทไม่ได้สิ้นสุดลงแค่นั้น เหยื่อรายต่อไปคือลูกทั้งสามของนายทามามุระ สามหนุ่มสาวไม่มีเวลาเศร้าโศกกับการตายของบิดามากนัก เพราะต้องเผชิญกับกับภัยคุกคามจากปีศาจร้ายแทบจะทันที
อิจิโรกับจิโรติดนิสัยดื่มกาแฟบนเตียงทุกเช้าแบบชาวตะวันตก เช้านี้ก็เช่นกัน (หลังเสร็จงานศพนายทามามุระ เซ็นทะโร หลายวัน) สาวใช้นำกาแฟมาเสิร์ฟให้ถึงเตียงตามเคย แต่พอดื่มเข้าไปไม่นานก็เกิดอาการปวดท้องรุนแรงและเริ่มอาเจียน
ดีที่เช้านี้สองพี่น้องดื่มกาแฟแค่ครึ่งถ้วยเพราะรู้สึกขมกว่าเคย ถ้าดื่มเข้าไปหมดถ้วยคงตายแน่ ผลการตรวจของปรากฏว่าในกาแฟมียาพิษอย่างหนึ่งผสมอยู่ ตำรวจจึงสอบปากคำคนรับใช้ในบ้านทุกคนอย่างเข้มงวดแต่ก็ไม่พบผู้ต้องสงสัย
คราวนี้ไม่ใช่งูพิษ เพราะอสรพิษน่าเกลียดน่ากลัวตัวนั้นตายไปแล้ว และถึงจะยังมีชีวิตอยู่ก็คงไม่มีปัญญาวางยาพิษใครได้ มันต้องเป็นฝีมือของคนแน่นอน แต่ตอนนี้ใคร ๆ ก็รู้แจ้งกันแล้วว่าสมุนของปีศาจถูกตำรวจกวาดเข้ากรงขังไม่เหลือสักคน แล้ว...แล้วใครคือผู้ร้ายที่แฝงตัวอยู่ ยิ่งคิดก็ยิ่งไม่เข้าใจ
สารวัตรนามิโคชิคิดแง่นั้นมุมนี้จนเวียนหัวก็ยังหาคำตอบไม่ได้ จึงจำต้องไปหานักสืบอาเกจิ โคโงโรผู้เป็นเสมือนคลังปัญญาของเขาเพราะไม่มีทางเลือกอื่นที่ดีกว่านี้
สารวัตรมือปราบก้าวเข้าไปในห้องทำงานบนตึกอพาร์ทเม้นท์แบบตะวันตก ก็พบนักสืบอาเกจิ โคโงโรกำลังคร่ำเคร่งอยู่กับการอ่านหนังสือเล่มใหญ่หนาปึกอยู่ที่โต๊ะทำงาน หนังสือจิตวิทยาอาชญากรรมของคาร์ล กรูซ (Karl Groos)
“อ่านหนังสืออยู่หรือครับ”
สารวัตรนามิโคชิเอ่ยทักพลางชะโงกหน้าเข้าไปดูตัวอักษรภาษาเยอรมันในหนังสือที่อีกฝ่ายกำลังอ่าน
“แค่เปิดหนังสือแล้วก็คิดอะไรเรื่อยเปื่อย ไม่ได้อ่านหรอกครับ”
นักสืบรูปงามเงยหน้าขึ้นตอบเรียบ ๆ
“คิดอะไรอยู่ เรื่องวิญญาณนายโอคุมุระ เก็นโซหรือครับ”
“เปล่าครับ คิดถึงอะไรที่ใกล้กับความเป็นคนมากกว่านั้น ภาพลวงตาแสนงามครับ คนอย่างผมก็มีอารมณ์คิดถึงอะไร ๆ นอกเหนือจากคดีอาชญากรรมเหมือนกันนะครับสารวัตร”
“ภาพลวงตาแสนงามนี่ภาพวิวสวย ๆ ที่ไหนหรือครับ เอ๊ะ...หรือว่าจะเป็นเพลง”
สารวัตรนามิโคชิแหย่ นาน ๆ ทีจะได้ยินมือปราบพูดอะไรที่เป็นเรื่องเบา ๆ แบบนี้
“งามกว่านั้นมากครับ ผมกำลังคิดถึงหัวใจคน หัวใจอันพิสุทธิ์”
“หัวใจอันพิสุทธิ์หรือครับ”
“ทางตำรวจจะไม่ช่วยปล่อยตัวโอคุมุระ ฟุมิโยะ ออกจากห้องขังเสียทีหรือครับ”
“อ๋อ ฟุมิโยะ ลูกสาวปีศาจใจโหดคนนั้นน่ะหรือครับ จริงด้วย...น่าสงสารมาก เธออยู่ข้างเรามาตั้งแต่ต้น จิตใจของเธอคงทุกข์ทรมานเหลือเกินที่ต้องถูกบีบอยู่ตรงกลางระหว่างเรากับพ่อใจเหี้ยมเหมือนผีนรกคนนั้น ฟุมิโยะเป็นผู้บริสุทธิ์ไม่ต้องรับโทษทัณฑ์บ้านเมือง ปัญหาอยู่ที่เวลาเท่านั้นแหละครับ”
“สักเมื่อไรหรือครับ”
สารวัตรมือปราบหัวเราะชอบใจ
“ภาพลวงตาแสนงามของคุณที่แท้ก็แม่ฟุมิโยะคนนี้นี่เอง ผมรู้มาตลอดว่าแม่ฟุมิโยะโฉมงามคนนี้มีใจให้คุณแค่ไหน ถ้าไม่ใช่เพราะความรักของแม่ฟุมิโยะ ป่านนี้ทุกคนในตระกูลทามามุระคงถูกปีศาจฆาตกรพ่อของหล่อนฆ่าตายไปนานแล้ว”
“ผมไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงลืมฟุมิโยะไม่ลง ภาพของผู้หญิงที่มีความงดงามทั้งกายและใจ ต่างจากพ่อของเธอราวฟ้ากับดินคนนี้ ติดอยู่ที่ปลายตาผมตลอดเวลาเลยครับ”
นักสืบรูปงามสารภาพความรู้สึกออกมาตรง ๆ หน้าแดงเรื่อราวกับหนุ่มน้อยแรกรัก
“ถึงจะเป็นลูกสาวฆาตกร แต่หากเป็นผู้หญิงจิตใจงดงามอย่างแม่ฟุมิโยะละก็ ผมไม่ว่าอะไรเลยที่คุณจะสนิทสนมด้วยอย่างนี้ เพราะผู้หญิงใจบริสุทธิ์อย่างนี้หาไม่ได้ง่าย ๆ...เทียบกับคุณหนูทาเอโกะลูกสาวของนายทามามุระแล้ว ไม่ได้ยิ่งหย่อนกว่ากันเลยไม่ว่าจะหน้าตาหรือว่าจิตใจ”
ไม่รู้ว่าทำไมพอได้ยินสารวัตรเอ่ยชื่อทาเอโกะนักสืบอาเกจิถึงได้ขมวดคิ้ว
นักสืบอัจฉริยะยังจำได้ที่ตนเคยสนิทสนมเกินคำว่าเพื่อนกับเจ้าหล่อน เคยพายเรือคุยกันราวกับคู่รักในทะเลสาบ S ที่ต้องยื่นมือเข้ามายุ่งกับคดีฆาตกรรมครอบครัวทามามุระก็เพราะโฉมงามผู้นี้มาขอความช่วยเหลืออย่างน่าสงสาร ความสัมพันธ์เช่นนี้คงไม่รอดหูรอดตาอันเฉียบคมของสารวัตรสิงห์มือปราบไปได้ ความเขินบวกกับความขัดเคืองใจที่พลุ่งขึ้นมาทำให้นักสืบรูปงามไม่อาจเก็บอารมณ์ไว้ได้
ตอนนี้อาเกจิ โคโงโรชิงชังทาเอโกะจนขนลุกด้วยเหตุผลที่ลึกซึ้ง ไม่ใช่เพราะได้รู้จักกับฟุมิโยะเท่านั้น ไหวพริบของสารวัตรนามิโคชิไม่เฉียบคมพอที่จะจับความรู้สึกเช่นนั้นของนักสืบเอกได้ จึงพูดเจื้อยแจ้วต่อไปตามใจคิด
“พูดถึงคุณหนูทาเอโกะ เธอบ่นกับผมว่าคุณไม่ค่อยใส่ใจกับเหตุวางยาพิษครั้งนี้เท่าที่ควร ขอให้ผมบอกคุณว่าช่วยดูเรื่องนี้อย่างจริงจังขึ้นสักหน่อย”
นักสืบอาเกจินิ่งเงียบ คิ้วดำได้รูปยังขมวดอยู่ตามเดิม ทำสีหน้าไม่พอใจที่จะตอบ
“ไม่ใช่คุณหนูทาเอโกะคนเดียวนะครับ อันที่จริงผมเองก็อยากฟังความคิดเห็นของคุณอยู่เหมือนกัน ตอนพบศพนายทามามุระ เซ็นทะโร คุณบอกว่าฆาตกรรมครั้งนี้เป็นคณิตศาสตร์ขั้นสูงใช่ไหม คำพูดของคุณฝังใจผมมาตลอด แต่ไม่ว่าจะคิดเท่าไรก็ไม่เข้าใจว่าคุณหมายความว่าอย่างไร”
สารวัตรนามิโคชินำการสนทนากลับมาเข้าหัวข้อเรื่องหลักอีกครั้ง
“สารวัตรต้องทิ้งความคิดที่ฝังหัวอยู่ไปให้หมด แล้วกลับไปคิดทบทวนเรื่องนี้อีกครั้งด้วยสมองที่เป็นผ้าขาวเหมือนกลับไปเป็นเด็กทารกอีกครั้ง สมองของผู้ใหญ่ตกเป็นทาสของความคิดที่ได้รับอิทธิพลจากสังคมที่สับสนวุ่นวายรอบ ๆ ตัวมากเกินไป เวลาเกิดอะไรขึ้นก็มักจะมองไม่เห็นความเป็นจริงเหมือนเส้นผมบังภูเขา ทั้ง ๆ ที่ความเป็นจริงนั้นเผยให้เห็นกันอย่างจะ ๆ อยู่ตรงหน้านั้นเอง”
นักสืบอาเกจิพูดเป็นจังหวะเหมือนพระนิกายเซนกำลังแสดงธรรมเทศนา ซึ่งถ้าตีความหมายไปอีกแนวหนึ่งวิชานักสืบอาจเหมือนกับธรรมะนิกายเซ็นก็เป็นได้ แต่นั่นไม่ใช่แนวของมือปราบผู้ปฏิบัติจริงบนพื้นที่เกิดเหตุอย่างสารวัตรนามิโคชิ เขาจึงได้แต่ยิ้มฝืด ๆ
“ผมไม่เข้าใจตรงนี้แหละ ที่คุณพูดอาจหมายถึงจุดบอดซึ่งผมมองเท่าไรก็ไม่เห็นแม้คุณจะบอกว่ามันอยู่ตรงหน้า แต่ขอถามหน่อยได้ไหมว่า คุณมองเห็นจริง ๆ รึ”
สารวัตรมือปราบย้อนเอาตรง ๆ
“เห็นซีครับ”
นักสืบเอกตอบหน้าตาเฉย
“หมายความว่าคุณรู้แล้วรึว่าใครฆ่านายทามามุระ และวางยาอิจิโร กับ จิโร สองพี่น้องนั่น”
สารวัตรนามิโคชิรุกด้วยชั้นเชิงที่คมกริบขึ้นไปอีก แต่นักสืบเอกไม่สะทกสะท้านแม้แต่น้อย
“รู้ครับ”
คนที่สะทกสะท้านกลับเป็นสารวัตรมือปราบ ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะขณะที่ตำรวจระดมกำลังกันสืบหาฆาตกรตัวจริงกันแทบเป็นแทบตายแล้วยังจับเบาะแสอะไรไม่ได้สักอย่าง อยู่ ๆ นักสืบเอกชนคนนี้ก็พูดออกมาหน้าตาเฉยว่ารู้ตัวฆาตกรปริศนาคนนั้นแล้ว
“คุณคงไม่ได้พูดตลกยั่วผมเล่นใช่ไหม”
“ไม่ใช่เรื่องตลกครับ”
“งั้นก็บอกผมมาว่าใครคือฆาตกรตัวจริง และตอนนี้อยู่ที่ไหน”
สารวัตรนามิโคชิคาดคั้นเสียงเขียว
“กรุณารอถึงสี่ทุ่มคืนนี้ได้ไหมครับ ไม่ต้องกลัวว่าคนร้ายจะหนีไปไหน สี่ทุ่มตรงผมจะมอบตัวคนร้ายให้สารวัตร”
นักสืบเอกพูดเหมือนกำลังสนทนากันเรื่องทั่ว ๆ ไปที่ไม่สำหลักสำคัญ
“คุณว่าอะไรนะ...นี่หมายความว่าคุณจับตัวฆาตกรเอาไว้แล้วอย่างนั้นรึ คุณเก็บตัวมันไว้ที่ไหน...มันอยู่ไหน”
“ไม่ต้องรีบร้อนครับสารวัตร ผมจะบอกให้ว่าฆาตกรอยู่ที่ไหน สารวัตรช่วยจำเอาไว้ดี ๆ นะครับ แล้วพอถึงเวลาสี่ทุ่มตรงให้สารวัตรไปที่นั่นคนเดียว คิดว่าผมจะสามารถมอบตัวคนร้ายให้สารวัตรได้ ที่นั่นคือตำบล Y เขตฮนโงครับ ถ้าไปด้วยรถไฟฟ้า สารวัตรก็ลงที่ป้านซาคานะมาจิ เดินไปตามถนนดังโงซากะแล้วเลี้ยวขวา เลี้ยวซ้ายเข้าตรอกที่สาม เดินไปตามทางที่มีรั้วต้นไม้อยู่สองฟากราวหนึ่งกิโลเมตร ก็จะไปถึงตึกฝรั่งหลังหนึ่งที่มีซุ้มประตูหิน เป็นตึกร้างคล้ายบ้านผีสิง เดินเข้าซุ้มประตูหินอ้อมไปทางหลังตึกจะพบหน้าต่างสามบานเรียงกัน บานซ้ายสุดเปิดอยู่สารวัตรเข้าไปทางนั้นนะครับ ในห้องนั้นมืดสนิทไม่มีดวงไฟ ผมจะรอสารวัตรอยู่ในนั้น รับรองไม่มีอันตรายอะไรทั้งสิ้น แต่ขอให้สารวัตรมาคนเดียวครับ”
คำพูดของนักสืบอาเกจินั้นยิ่งฟังก็ยิ่งประหลาด เชลยของเขาคือใครกัน
“เข้าใจละ ผมจะทำตามนั้น” สารวัตรรับคำแล้วทวนเส้นทางให้ฟัง “ว่าแต่คุณสืบหาฆาตกรตัวจริงได้ยังไง บอกผมได้ไหมว่าใคร”
“เป็นคนที่สารวัตรคาดไม่ถึงเลยละครับ และแน่นอนว่าสารวัตรรู้จักดีด้วย”
“ใคร...มันคือใคร”
สารวัตรเผลอตัวร้องถามเสียงดังเหมือนตะโกน
“... ...”
นักสืบอาเกจิโน้มตัวเข้าไปกระซิบอะไรเบา ๆ ที่ข้างหูสารวัตรมือปราบ
“เฮ้ย บ้า เป็นไปได้ไง”
สารวัตรนามิโคชิสะดุ้งตัวลอย ตะโกนลั่น
“เป็นไปไม่ได้ ไม่มีทาง คุณมีหลักฐานอะไร”
“ผมจะเล่ารายละเอียดให้สารวัตรฟัง ส่วนหลักฐานนั้นมีแน่นอนครับ”
จากนั้นนักสืบอาเกจิ โคโงโรใช้เวลาถึงเกือบครึ่งชั่วโมงเล่าถึงขั้นตอนการสืบหาจนได้ตัวฆาตกรตัวจริงให้สารวัตร นามิโคชิฟังอย่างละเอียด เมื่อได้ฟังจนจบสารวัตรมือปราบก็เข้าใจความคิดของนักสืบเอกโดยตลอด จึงสัญญาที่จะไปตามสถานที่นัดหมายตอนสี่ทุ่มตรงคืนนั้น ก่อนลากลับไป
ม่านสีชมพู
อพาร์ทเมนท์ของอาเกจิ โคโงโรได้ต้อนรับทามามุระ ทาเอโกะเป็นแขกคนที่สองเมื่อพลบค่ำ นักสืบรูปงามคอยอยู่แล้วเพราะได้รับโทรศัพท์นัดหมายตั้งแต่เช้า แม้จะเป็นการรอคอยที่ไม่ชุ่มชื่นใจก็ตาม
แต่ทาเอโกะเป็นผู้หญิงสวยมากทั้งหน้าตาและรูปทรง แม้อาเกจิจะมีใจลำเอียงไปทางฟุมิโยะที่หมายปอง ก็ยังปฏิเสธไม่ได้ว่าความงามของทาเอโกะเหนือกว่าฟุมิโยะอยู่มาก
วันนี้ทาเอโกะอยู่ในชุดกิโมโนผ้าไหมสำหรับฤดูใบไม้ผลิที่รัดรูปทรงองค์เอวให้ดูอรชรอ้อนแอ้น ใบหน้าและมือไม้ตกแต่งด้วยเครื่องสำอางดูงดงามไปทั้งกายตัว
“ขอโทษค่ะที่มาช้า ทำให้ต้องคอยนาน”
ทาเอโกะถอดถุงมือไหมบางเบาพลางยิ้มเยือนอ่อนหวาน อาเกจิต้องเดินอ้อมไปด้านหลังเพื่อช่วยถอดเสื้อคลุมให้
“คอยอยู่ครับ อาการของคุณพี่ทั้งสองเป็นอย่างไรบ้าง”
“ขอบคุณค่ะ ยังลุกไม่ขึ้นเลยแต่ก็ดูดีขึ้นมาก ขอโทษนะคะที่ทำให้เป็นห่วง”
ทาเอโกะทรุดตัวลงนั่งบนโซฟาช้อนตาขึ้นมองอาเกจิที่ยังถือเสื้อคลุมของเธออยู่ในมือ ผู้อ่านที่ติดตามเรื่องราวมาตลอดจนจะจำได้ว่าสาวงามผู้นี้รักนักสืบเอกของเรา และยิ่งชายหนุ่มพยายามทำตัวออกห่างเพียงไรก็ดูเหมือนเธอจะยิ่งรุกเข้าใกล้
อาเกจินั่งลงบนโซฟาตัวตรงข้าม ฟังทาเอโกะพรรณนาเจื้อยแจ้วตามประสาผู้หญิง เริ่มตั้งแต่คำขอบคุณ เรื่อยไปจนถึงความโศกเศร้าที่ต้องสูญเสียบิดา ความหวาดกลัวฆาตกรใจโหดที่ไม่รู้ว่าเป็นใคร ฟังมานานก็ยังไม่รู้สักทีว่าเธอมาด้วยธุระอะไร จนอาเกจิอดรนทนไม่ได้ต้องเอ่ยถามออกไปตรง ๆ
“แล้ว มาวันนี้มีธุระอะไรหรือครับ”
ทาเอโกะทำหน้ามีจริตอ่านได้ว่า “ตายจริง” แล้วทอดสายตาหวานละมุนไปที่คู่สนทนา
“ไม่มีธุระอะไรเป็นพิเศษหรอกค่ะ แค่อยากให้ช่วยสืบหาตัวฆาตกรที่ฆ่าคุณพ่อเพื่อเราสามคนพี่น้องจะได้อยู่กันอย่างสบายใจเสียที หลังจากที่คุณพี่ทั้งสองถูกวางยาพิษ เราหวาดระแวงกันไปหมด คุณได้เบาะแสอะไรบ้างหรือยังคะ ช่วยเล่ารายละเอียดให้ฟังหน่อยได้ไหมเพื่อว่าเราจะได้คลายใจกันบ้าง”
“ไม่มีอะไรต้องกังวลกันอีกแล้วครับ เพราะตั้งแต่พรุ่งนี้จะไม่มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นอีกแน่นอน”
“นี่หมายความว่าคุณรู้อะไร ๆ หมดแล้วหรือค่ะ ช่วยเล่าให้ฟังหน่อยได้ไหมว่ามันอะไรกัน ได้โปรดเถิดค่ะ”
ดูเหมือนทาเอโกะจะตื่นเต้นจนลืมตัว ผลุดลุกขึ้นเดินอ้อมไปนั่งบนโซฟาตัวเดียวกับอาเกจิ
“นะคะ ได้โปรดเถิด เล่าให้ฉันฟังที”
สาวงามออดอ้อนด้วยท่าทางไร้เดียงสา แตะข้อศอกของอาเกจิ เอนกายเข้าไปจนชิดแล้วช้อนตาขึ้นมองหน้าชายหนุ่มอันเป็นที่รัก
ทาเอโกะเอนกายเข้าไปชิดใกล้จนอาเกจิได้ไออุ่นจากเนื้อเนียนของข้อศอกนางที่แนบชิด และรู้สึกถึงสัมผัสของปลายนิ้วที่กดลงมาคลึงบนข้อศอกของตน ลมหายใจเจือกลิ่นหอมหวานจรุงใจจากเรียวปากจิ้มลิ้มของสาวงามที่เงยขึ้นฉอเลาะชิดใกล้กับใบหน้าของเขา...เจ้าหล่อนช่างเป็นสาวน้อยที่กล้าหาญอะไรเช่นนี้
ทาเอโกะสวยทรงเสน่ห์เย้ายวนใจหลือเกิน อาเกจิรู้สึกสับสนและลำบากใจอย่างบอกไม่ถูกเมื่อหญิงที่ชวนให้ใฝ่ฝันมาทอดกายแนบชิดอยู่ดับวงแขนเช่นนี้ ชายหนุ่มไม่รู้ว่าจะจัดการอย่างไรกับความสั่นสะท้านที่พลุ่งขึ้นมาจากก้นบึ้งของหัวใจ น่ากลัว...เขาไม่อาจหาคำคุณศัพท์ใด ๆ มาประกอบความหวาดกลัวที่เขากำลังเผชิญอยู่นี้ได้เลย
“อยากฟังขนาดนั้นเลยหรือครับ”
อาเกจิถามขึ้นหลังจากควบคุมตนเองได้ในที่สุด
“ค่ะ อยากรู้มากเลย”
ที่น่าหวั่นใจก็คือ ทุกครั้งที่พูดริมฝีปากแดงของทาเอโกะยิ่งใกล้ชิดเข้ามาที่ใบหน้าของนักสืบหนุ่ม
“ผมรู้แล้วว่าใครคือฆาตกร”
“ตายจริง ฆาตกรน่ะหรือคะ”
ใบหน้าของทาเอโกะถอดสีทันทีด้วยความตระหนก
“ใครคะที่เป็นฆาตกร”
สาวน้อยหน้าซีด เอนตัวแนบชิดกับข้อศอกของอาเกจิยิ่งขึ้นเหมือนจะอาศัยเป็นที่พึ่ง หายใจถี่แรงขึ้นจนจับได้ชัด
“อยากรู้หรือครับ”
นักสืบถามพลางเบี่ยงตัวออกจากเนื้อนวลที่แนบชิดเข้ามา
“ค่ะ อยากรู้จริง ๆ “
“คุณมีความกล้าพอไหม”
“อะไรนะคะ” ทาเอโกะกลั้นใจถาม “ความกล้า...ต้องมีความกล้าด้วยหรือคะ”
“ฆาตกรอยู่ที่บ้านร้างหลังหนึ่ง ถ้าอยากเห็นหน้าฆาตกรก็จะต้องเข้าไปที่บ้านร้างหลังนั้น”
“แต่ฉันไม่ได้อยากเห็นหน้าฆาตกรสักหน่อย แต่ขอให้คุณจับตัวมาได้เป็นพอ”
“ผมจับแน่ครับ แต่คุณไม่อาฆาตแค้นฆาตกรเลยหรือยังไง ไม่อยากเห็นหน้ามันเลยหรือครับ”
“ฉันเคียดแค้นมากเพราะมันเป็นศัตรูของคุณพ่อ แต่จะให้ไปเผชิญหน้ากับชายใจเหี้ยม น่าเกลียดน่ากลัวอย่างนั้น ฉันว่ามัน...”
“ไมใช่ผู้ชายครับ ฆาตกรเป็นผู้หญิง และเป็นคนที่คุณรู้จักดีด้วย ผู้หญิงคนนี้ไม่ได้เป็นคนแข็งแกร่งเหี้ยมเกรียม ที่จะทำร้ายคุณได้ต่อหน้าต่อตา ทั้งยังเป็นคนที่มีวิธีลอบมองอย่างแยบยลโดยที่คู่สนทนาไม่รู้สึกตัวด้วย”
“ตายละ เป็นคนที่ฉันรู้จักดีเสียด้วย ใครกันนะ นึกไม่ออกเลยจริง ๆ “
“เป็นคนที่ไม่มีใครคาดคิดเลยจริง ๆ “
“หรือว่าจะเป็นฟุมิโยะ ลูกสาวของโอคุมุระ เก็นโซ ปีศาจพยาบาทคนนั้น”
“ไม่ใช่ครับ ฟุมิโยะยังอยู่ในสถานกักกันของตำรวจ ฆาตกรเป็นคนที่อยู่เหนือความคาดหมายกว่านั้นมาก และจะถูกจับในเวลาสี่ทุ่มตรงคืนนี้แน่นอน พอรุ่งเช้าวันพรุ่งนี้ข่าวการจับกุมก็จะแพร่กระจายไปทั่ว ถ้ารอจนถึงเวลานั้นไม่ได้ คุณจะไปซุ่มดูที่ตึกร้างหลังนั้นก็ได้นะ ผมกับสารวัตรนามิโคชิจะไปที่นั่น คุณคงได้เห็นเราจับฆาตกรกัน”
“ตึกร้างที่คุณว่า อยู่ที่ไหนหรือคะ”
ทาเอโกะผละจากข้อศอกของอาเกจิที่เธอเบียดเข้าไปเอนพิงอยู่ หันมาใจจดใจจ่อกับการจับฆาตกร ก็ไม่น่าแปลกที่เธอมีอากัปกิริยาเช่นนั้น ในเมื่อพ่อของเธอเพิ่งตกเป็นเหยื่อฆาตกรรมโหดมาสด ๆ ร้อน ๆ และตัวเธอเองก็ถูกคุกคามแทบเอาชีวิตไม่รอดมาแล้วหลายครั้ง เมื่อได้ยินว่านักสืบหนุ่มรู้ตัวคนร้ายแล้วเช่นนี้ จึงย่อมตื่นเต้นเป็นธรรมดา
อาเกจิบอกทางไปตึกร้างตามขั้นตอนที่ได้อธิบายให้สารวัตรนามิโคชิรับรู้ไปแล้ว เว้นแต่ว่าไม่ได้บอกให้ทาเอโกะเข้าไปในบ้านทางหน้าต่างด้านหลังตึก
“พอเดินผ่านซุ้มประตูหิน ก็จะพบประตูทางเข้าบ้านซึ่งเปิดเอาไว้ คุณต้องเข้าไปในตึกนั้นคนเดียว เดินตรงเข้าไปตามระเบียงทางเดินจนถึงห้องโถงใหญ่ที่เปิดประตูเอาไว้ ทางขวามือของห้องมีม่านสีชมพูแขวนอยู่ ด้านหลังม่านเป็นห้องเล็ก ๆ ที่เปิดไฟเอาไว้ พอไปถึงให้คุณแหวกม่านสีชมพูนั้นเข้าไปดู แล้วจะพบฆาตกรอยู่ในนั้น”
ช่างเป็นวิธีที่แปลกประหลาดเหลือเกิน อดสงสัยไม่ได้ว่าทำไมถึงต้องให้สารวัตรนามิโคชิและทาเอโกะทำอะไรที่วกวนซับซ้อนอย่างนั้นด้วย
“ถ้าอยากเห็นฆาตกร ก็ต้องทำตามขั้นตอนที่ผมบอกทุกขั้นตอนอย่าให้ผิดพลาดไปได้ ถ้าผิดขั้นตอนจะต้องเกิดปัญหาใหญ่แน่”
ว่าแล้วนักสืบทาเอโกะก็ทบทวนขั้นตอนและวิธีแหวกม่านเข้าไปดูฆาตกรซ้ำอีกครั้ง
“แต่ฉันรู้สึกสยองอย่างไรไม่รู้ ถ้ามีคุณไปด้วยก็จะดีหรอก”
“ไม่ได้ครับ ผมมีหน้าที่วางกลอุบายให้ฆาตกรเข้ามาในห้องนั้น และจะยังนอนใจไม่ได้จนกว่าจะส่งตัวคนร้ายให้แก่สารวัตรนามิโคชิเรียบร้อย”
“ฉันจะขอให้สารวัตรนามิโคชิไปเป็นเพื่อนด้วยได้ไหมนะ”
“ไม่ได้เหมือนกันครับ ถ้าทำอย่างนั้นผมจะถูกสารวัตรตำหนิว่าทำไมถึงได้เปิดเผยความลับสุดยอดอย่างนั้นให้คนอื่นรู้ คุณต้องไปคนเดียว และอย่าทำอะไรนอกเหนือที่ผมบอกเป็นดีที่สุด”
ทาเอโกะไม่มีอะไรที่จะยึดเป็นที่พึ่งได้ จึงหันมาอ้อนวอนให้อาเกจิเผยชื่อฆาตกรซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่นักสืบรูปงามได้แต่ปิดปากสนิท
เมื่อออกจากอพาร์ทเมนท์ของนักสืบอาเกจิ ทาเอโกะลังเลอยู่เป็นนานว่าจะไปที่ตึกร้างหลังนั้นดีหรือไม่ดี จนในที่สุดก็ตัดสินใจไป
ความเคียดแค้นที่ทำให้อยากเห็นใบหน้าศัตรูเร็ว ๆ ความอยากรู้ว่าฆาตกรเป็นใครกันแน่ ประกอบกับความอยากผจญภัยเหมือนตัวเอกในนิยาย คงจะเป็นแรงผลักดันให้สาวน้อยไปที่นั่น แต่เหตุผลเพียงแค่นั้นอาจไม่เพียงพอที่จะโน้มน้าวให้ทาเอโกะไปที่นั่นก็ได้
มีอีกเหตุผลที่ทำให้เธอต้องไปคือ...การต้องรอจนถึงพรุ่งนี้เช้าจึงจะรู้ ทาเอโกะรู้สึกร้อนรนทนรอไม่ได้แม้เพียงในช่วงเวลาสั้น ๆ กลัวที่จะได้เห็น แต่การรอคอยยิ่งทำให้กลัวขึ้นไปอีก หญิงสาวกระวนกระวายอึดอัดจนแทบหายใจไม่ออก
ทาเอโกะขึ้นรถยนต์ไปลงที่ซาคานะมาจิ ออกเดินไปตามถนนดังโงซากะมุ่งหน้าไปยังตึกร้างตามคำบอกของนักสืบอาเกจิ พอเลี้ยวเข้าซอยเล็กก็พบกับละแวกที่อยู่อาศัยอันสงบเงียบ สองข้างทางเป็นรั้วต้นไม้สูงท่วมหัวราวกับกำลังเดินอยู่ในป่าอาถรรพ์ต้องห้าม
ทางไม่ไกลนักแต่ความมืดในยามค่ำคืนดูเหมือนไกลเป็นสองเท่า อีกทั้งรั้วต้นไม่สองข้างทางทำให้ทาเอโกะรู้สึกเหมือนเด็กหลงทางที่เดินเท่าไรก็ไม่ถึงจุดหมายเสียที
ในที่สุดเธอก็พบซุ้มประตูหิน หลังคาตึกร้างที่แลเห็นตะคุ่มอยู่ในแสงริบหรี่ของดวงดาว ดูเหมือนอสุรกายร่างดำทะมึนน่าสยองขวัญจนทำให้คิดอยากหันหลังกลับ แต่ความอยากเห็นหน้าฆาตกรทำให้ยากที่จะล้มเลิกความตั้งใจ ลำพังเพียงความอยากรู้อยากเห็นงอย่างเดียวคงจะตัดใจหันหลังกลับไปได้ไม่ยาก แต่สำหรับทาเอโกะ ใจของเธอถูกอะไรบางอย่างกดดันยิ่งไปกว่าความอยากรู้อยากเห็นธรรมดา
ทาเอโกะเดินผ่านซุ้มประตูด้วยความระมัดระวังไม่ให้มีเสียงฝีเท้าฝ่าดงหญ้าเข้าไปที่ประตูตึก ลองผลักประตูดูก็ปรากฏว่าเปิดออกอย่างง่ายดายไม่มีเสียงดังแต่อย่างใด หญิงสาวเดินตรงเข้าไปตามระเบียงทางเดินจนใกล้สุดทางจึงเห็นแสงสว่างจาง ๆ ตรงนั้นน่าจะเป็นห้องที่ฆาตกรอยู่
ใจเริ่มเต้นเป็นตีกลอง...อีกนิดเดียว พอคิดว่าอีกไม่กี่วินาทีก็จะได้เผชิญหน้ากับฆาตกรตัวจริงแล้ว ทาเอโกะก็ตื่นเต้นจนถึงกับอึดอัดในหน้าอกหายใจเกือบไม่ออก มือเท้าอ่อนเปียกแทบจะล้มลงไปเสียให้ได้
แต่แล้วก็ตัดใจรวบรวมพละกำลังที่เหลืออยู่ทั้งหมดยืนหยัดขึ้นมาอีกครั้ง ทาเอโกะเดินลึกเข้าไปเรื่อย ๆ ด้วยฝีเท้าเบาหวิวราวกับการล่องลอยของดวงวิญญาณ จนกระทั่งไปถึงห้องโถงใหญ่ตามที่อาเกจิบอกไว้ และพอมองไปทางขวาก็เห็นม่านสีชมพูงดงามอยู่ในแสงจากดวงไฟ
ในที่สุดวินาทีสำคัญก็มาถึง ฆาตกรใจโหดอยู่หลังม่านนั้นเอง ถึงจะเป็นผู้หญิงแต่ก็เป็นฆาตกร ถ้ารู้ตัวว่ามีคนแปลกปลอมเข้ามาคงต้องแผลงฤทธิ์เต็มที่ ดังนั้นจึงต้องไม่ทำให้เกิดเสียง แม้แต่เสียงเสียดสีของผ้าไหม หรือเสียงเคลื่อนไหวของอากาศ
ทาเอโกะเขย่งปลายเท้า กลั้นใจก้าวเดินไปใกล้ม่านสีชมพู เงี่ยหูฟังเสียงด้วยความระวังระไวแต่ก็ไม่ได้ยินอะไรที่ผิดสังเกต ฆาตกรคงรอใครสักคนอยู่นิ่ง ๆ ไม่ไหวติง...คอยใคร หรือกำลังคอยเธอ...ทาเอโกะ พอคิดมาถึงตรงนี้หญิงสาวก็ขนลุกซู่ไปทั้งตัว
ไหน ๆ ก็มาถึงตรงนี้แล้ว ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะมามัวลังเลอยู่ และนี่ก็คงจะเลยสี่ทุ่มซึ่งเป็นสัญญาที่ให้ไว้มาแล้ว ทาเอโกะยื่นนิ้วไปแตะตรงที่ม่านสองไขบรรจบกันอยู่ แล้วค่อย ๆ แหวกออกทีละนิด...ทีละนิด