xs
xsm
sm
md
lg

คุณนายไข่มุก ตอนที่ 12 เจ้าสาวแสนกล

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

บทประพันธ์ของ คิคุฉิ คัน (ค.ศ.1888-1948)
แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา

"คุณนายไข่มุก เธอทั้งสวยและสูงศักดิ์ สวรรค์ให้เธอมามาก แต่ถึงเวลาเอาคืน....?"

การเป็นภรรยาแต่ในนามไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ อย่างที่รุริโกะคิดมาตั้งแต่ต้น เธอต้องใช้กลเม็ดเด็ดพรายทุกอย่างที่คิดได้และปฏิบัติอย่างแนบเนียนอยู่ตลอดเวลาเพื่อรักษาพรหมจรรย์เอาไว้โดยไม่ให้ผิดสังเกต

หลังแต่งงาน รุริโกะกลับไปอยู่บ้านโดยใช้อาการของบิดาเป็นข้ออ้างและไม่กลับมาบ้านสามีชั่วระยะหนึ่ง ส่วนนายโชดะก็เวียนไปหารุริโกะแทบทุกวัน บางวันไปทั้งเช้าทั้งเย็นเพราะดูเหมือนจะหงุดหงิดไม่สบายใจเอาเสียเลยถ้าไม่ได้เห็นหน้าเจ้าสาวของเขา

และทุกครั้งที่ไปหา ชายผู้ได้ชื่อว่าเศรษฐีใหม่ผู้นี้จะไม่ลืมนำของขวัญล้ำค่าติดมือไปให้รุริโกะเพื่อซื้อความปิติยินดีของเจ้าหล่อน

ของขวัญที่ว่านั้น คือแหวนเพชร นาฬิกาข้อมือทองคำขาว สร้อยคอไข่มุก รุริโกะรับของขวัญเหล่านั้นด้วยกิริยาน่ารักน่าเอ็นดูเหมือนเด็กหญิงไร้เดียงสาที่ดีใจเมื่อได้ของเล่น โดยไม่แสดงการระลึกถึงบุญคุญของนายโชดะผู้ให้ของขวัญเหล่านั้นเลยแม้แต่น้อย

ไม่ใช่ภาวะรอบข้างเท่านั้นที่ทำให้รุริโกะไม่อาจเอาอาการของบิดาเป็นข้ออ้างเพื่อจะได้พักอยู่ที่บ้านของตนเองต่อไปเรื่อย ๆ แต่เหนือกว่านั้นคือความทะนงตนของเธอเอง คนไม่ยอมแพ้ใครอย่างรุริโกะทนอยู่ในสภาพของจอมทัพที่หนีการประจันหน้ากับศัตรูไม่ได้นาน เธอบอกตนเองว่าจะต้องลุกขึ้นมาต่อสู้อย่างกล้าหาญแม้จะต้องพลีกายเสี่ยงกับอันตราย ไม่ใช่เอาแต่หลบกบดานอยู่เช่นนี้

ระหว่างนั่งมาในรถยนต์กับนายโชดะที่มารับเธอกลับบ้าน รุริโกะบอกตนเองว่า...เมื่อแต่งงานออกเรือนมาเช่นนี้ แม้จะคิดว่าเป็นการแต่งงานแต่ในนามก็ตามที แต่เราต้องทำตัวอย่างน้อยก็ให้ดูว่าสมกับเป็นภรรยา การที่จะสั่งสอนศัตรูขี้ขลาดสักคนให้สำนึกถึงความโฉดเขลาของมันนั้น เราจะมัวมาทำตนเป็นคนขี้ขลาดเสียเองไม่ได้แน่นอน เราต้องลุกขึ้นสู้ให้สมศักดิ์ศรี

นายโชดะดีใจจนออกนอกหน้าเมื่อได้นั่งรถเคียงคู่มากับรุริโกะอีกครั้งหลังจากที่ไม่ได้ทำเช่นนั้นมานาน เขาหัวเราะร่วนอย่างไม่มีเหตุที่ควรแก่การหัวเราะ

“ฮะ ฮะ ฮะ ไม่ต้องคิดถึงบ้านขนาดนั้นก็ได้นะรุริโกะ ฉันรู้ว่าเธอต้องเศร้าที่ต้องทิ้งท่านพ่อมาอย่างนี้เพราะอยู่กันแค่สองคนพ่อลูก แต่ไม่ต้องห่วงอะไรเลย และไม่ต้องกลัวฉันด้วย ฉันอาจจะหน้าตาแบบนี้แต่ไม่จับเธอกินแน่ ใช่...ใช่ ลูกสาว...เธอช่วยเอ็นดูมินะโกะสักคนหนึ่งเถิดนะ ถือเสียว่ามาเป็นพี่สาวคนใหม่ของยายหนูก็แล้วกัน ฮะ ฮะ ฮะ”

นายโชดะพูด ๆ ไปโดยไม่ได้คิดอะไรจริงจัง เพียงเพื่อให้รุริโกะคลายความเกร็งเพราะระวังตัวเท่านั้น

พอได้ฟังดังนั้น รุริโกะที่นั่งเงียบ ๆ ไม่ต่อปากต่อคำมาตลอด ก็เปลี่ยนอิริยาบทเป็นร่าเริงแจ่มใสขึ้นทันที เธอหัวเราะอย่างน่าเอ็นดูเมื่อบอกว่า

“ลูกสาว...คุณกรุณารับดิฉันเป็นลูกสาว เป็นพี่ของมินะโกะหรือคะ ถ้าอย่างนั้นคุณก็เป็นพ่อของดิฉัน ดีใจจริง ดิฉันอยากให้คุณเป็นพ่อจริง ๆ...เป็นคุณพ่อแท้ ๆ ของดิฉันนะคะ”

รุริโกะพูดอย่างใส่จริตไร้เดียงสา ยวนใจคนมองให้ดูน่ารักน่าเอ็นดูไปทั้งเรือนกายที่แน่งน้อยน่าถนอม

“อ๊ะ ได้ซิได้ จะเป็นไรไป”

นายโชดะพยักหน้าด้วยท่าทีของคุณพ่อใจดี รุริโกะหัวเราะเสียงหวาน

“ดีใจจริง ขอให้คิดว่าดิฉันเป็นลูกสาวคนหนึ่งของคุณนะคะ แค่ระยะสั้น ๆ ก็พอ ดิฉันให้สัญญา สักครึ่งปี...แค่ครึ่งปีจริง ๆ นะคะ คุณคิดดูซิคะดิฉันอายุยังน้อย เพิ่งจะครบสิบแปด จบจากโรงเรียนมาแค่ครึ่งปีเอง แล้วคุณก็มาสู่ขออย่างนี้ ทั้งที่บ้านก็เกิดเรื่องยุ่ง ๆ มากมายจนดิฉันสับสน วิตกกังวล ตื่นเต้นระทึกใจอยู่ตลอด ไม่มีเวลาเตรียมตัวเตรียมใจมาใช้ชีวิตแต่งงานเลยสักนิด ดิฉันต้องการเวลาเตรียมใจเป็นภรรยาที่แท้จริงของคุณสักนิดหนึ่งค่ะ

ดิฉันต้องการเวลาเตรียมใจให้รักและเชื่อถือคุณมากขึ้น จึงขอให้คุณคิดว่าดิฉันเป็นพี่สาวจริง ๆ ของมินะโกะชั่วระยะหนึ่ง ไม่ทราบว่าคุณรู้เรื่องราวของ “ซุเอะสึมุฮะนะ” ในตำนานเก็นจิ* หรือเปล่า ดิฉันขอทำตัวเช่นนั้นไปก่อนนะคะ”

รุริโกะพูดจบพร้อมกับยิ้มหวาน นายโชดะเฝ้ามองริมฝีปากงามจิ้มลิ้มอย่างเคลิบเคลิ้มราวกับต้องมนต์สะกด ส่วนรุริโกะก็พร่ำพูดไปตามแต่จะคิดคำพูดออกมาได้ ฟังดูราวกับกำลังสนทนาอยู่กับอะไรสักอย่างที่ไม่ใช่นายโชดะที่นั่งอยู่เคียงข้าง

“นะคะ คุณพ่อ คุณพ่อที่น่ารักของดิฉัน กรุณาทำเช่นนั้นเถิดนะคะ”

เธออ้อนพลางโน้มกายเข้าไปทางนายโชดะ วางมือขาวนวลลงบนตักของเขาแล้วตบเบา ๆ

รุริโกะช่วงชิงหัวใจของนายโชดะไปครองจนหมดสิ้นด้วยจริตราวสาวน้อยไร้เดียงสาและมารยาราวนางโลม ชายร่างใหญ่ผู้กร้าวแกร่งหลุดปากให้คำมั่นสัญญาออกไปโดยไม่ไตร่ตรองให้รอบคอบ

“ได้ซิ ได้เลย จะเป็นไรไป”
เวทีของโรงละครอิมพีเรียล
2

นายโชดะคิดอยู่ในใจว่า...นางนั้นเป็นเหมือนนกที่เขาจับมาเลี้ยงไว้ในกรงอยู่แล้ว ย่อมไม่รอดมือผู้ชายที่มีพละกำลังแข่งแกร่งอย่างเขาไปได้ เขาต้องพิชิตเธอได้แน่นอนสักวันหนึ่ง ผู้ชายอย่างเขามีพลังพอที่จะบดขยี้ผู้หญิงทุกคนได้ทุกเวลาที่ต้องการ หล่อนก็เช่นกัน จะเป็นไรไปถ้าเขาจะปล่อยให้เริงร่าเป็นอิสระราวนกน้อยอยู่บนฝ่ามือไปสักพักหนึ่ง และระหว่างนั้นหล่อนก็จะรู้เองว่าพลังของผู้ชายนั้นมันเหลือเชื่อแค่ไหน ไม่นานหล่อนก็จะค่อย ๆ เข้าใจไปเอง”

นายโชดะรับคำขอของรุริโกะด้วยความรู้สึกกระหยิ่มอยู่ในใจ โดยไม่รู้ว่าการคำนวนสถานการณ์ผิดอย่างจังของเขานั้นจะปรากฏผลให้เห็นทันตาในทันที

เวลาสิบวันและยี่สิบวัน ระหว่างนั้นความงามของรุริโกะทรมานใจของนายโชดะทั้งกลางวันและกลางคืน ร่างกายอันกำยำทุกส่วนสัดของชายฉกรรจ์ถูกกระตุ้นด้วยกลิ่นหอมของเรือนกายสาวน้อยสดสวยบริสุทธิ์อยู่แทบทุกลมหายใจ

คืนนี้ก็เช่นกัน นายโชดะพาภรรยาสาวน้อยของเขาไปชมการแสดงที่โรงละครอิมพีเรียล เขานั่งเคียงข้างรุริโกะอยู่ในที่นั่งชั้นบ็อกซ์ซึ่งเป็นห้องส่วนตัว เขาละสายตาจากเวทีบ่อยครั้งมามองภรรยาสุดที่รักอย่างเพ่งพิศ ตั้งแต่ต้นคองามผ่อง ไหล่ที่ลาดได้รูป เรื่อยลงไปจนถึงลำแขนที่ทอดอ่อนระทวย และมือเรียวงามทั้งสองที่วางอยู่บนตัก

เมื่อได้มานั่งอยู่เคียงข้างกับภรรยาเช่นนี้ นายโชดะรู้สึกเหมือนถูกมอมเมาจนหลอมเหลวไปหมดทั้งกายใจ และพอความมึนเมาสร่างหายกลับมาสู่ความเป็นจริง เปลวไฟแห่งความปรารถนาของเขาก็ลุกโชนขึ้นแผดเผา ซ้ำด้วยแรงพัดกระพือราวพายุใหญ่จนร้อนระอุไปทั้งตัว

รุริโกะร่าเริงราวนกน้อยเหินฟ้า ไม่มีทีท่าว่าล่วงรู้ถึงความทุกข์ของนายโชดะแม้แต่น้อย รุริโกะทำตัวสนิทสนม อ้อนบ้างอะไรบ้างเช่นเดียวกับลูกสาวแท้ ๆ พึงทำต่อบิดาของเธอ เหมือนกับว่าเธอได้ลืมความสัมพันธ์ที่แท้จริงระหว่างตนกับนายโชดะเสียสนิท

“รุริโกะ เลิกเล่นพ่อลูกกันเสียทีดีกว่าไหม เธอเองก็คงเข้าใจฉันอยู่เหมือนกันใช่ไหม ฮะ ฮะ ฮะ ลดสัญญาครึ่งปีให้มันเหลือสักเดือนหรือสองเดือนไม่ได้รึ”

ระหว่างขึ้นรถกลับบ้านคืนนั้น นายโชดะกระซิบพลางตบไหล่นิ่มเนียนของภรรยาเบา ๆ เป็นเชิงหยอก

“แหม...คุณนี่ก็ชั่งใจร้อนเสียจริง เราสองคนไม่มีช่วงเวลาที่คบหากันในฐานะคู่หมั้นเลย ดิฉันจึงอยากสนุกกับช่วงเวลาแบบนั้นบ้าง คืออยากรู้ว่าความรู้สึกตอนที่กำลังจะได้พบกับอะไรใหม่ ๆ นั้นมันสนุกและน่าตื่นเต้นแค่ไหน บอกคุณตรง ๆ เลยว่าดิฉันอยากมีชีวิตอย่างสาวบริสุทธิ์ต่อไปอีกสักพัก ให้ดิฉันทำอย่างนั้นเถิดนะคะ ตามใจดิฉันสักครั้งหนึ่งเถิด”

เมื่อได้ฟังคำพูดและเห็นกิริยาท่าทีของรุริโกะที่เปี่ยมไปด้วยการวิงวอนจากใจเช่นนั้น นายโชดะถึงกับใจอ่อนไม่รู้ว่าจะหาคำใดมาคัดค้านต่อไป

ทว่าคืนนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างในกายตัวของภรรยาสาว ติดหู ติดตาและติดจมูกของนายโชดะอย่างไม่ห่างหาย แม้จนกระทั่งหลังขึ้นเตียงและพยายามข่มตาให้หลับอย่างเดียวดายในห้องส่วนตัว ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปกี่ยามต่อกี่ยาม ม่านตาของเขาก็มีแต่ภาพของเรือนร่างขาวผ่องนิ่มเนียน หน้าผากงามได้รูปราวนางเงือกน้อยเลื่อนผ่านและวนเวียนเข้ามาไม่หยุดหย่อน จมูกนั่นเล่าก็ยังได้กลิ่นกายหอมหวานโชยมามิได้ขาด หู...ใช่ซิ เสียงหวานใสสดชื่นของเจ้าหล่อนยังกังวานแว่วอยู่ที่ริมหู น้ำคำที่ช่างสรรหามาพรรณนาไม่เลือนหายไปแม้แต่คำเดียว ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปกี่ยาม

แม้เมื่อภาพฝันเลือนหายและทุกสิ่งทุกอย่างกลับคืนสู่ความเป็นจริง นายโชดะก็ไม่อาจข่มตาให้หลับลงได้ ยิ่งพยายามเพียงไรก็ดูเหมือนว่าประสาทตาและหูจะยิ่งค้าง สุดท้ายก็เลยต้องนอนมองเพดานห้องอยู่เฉย ๆ แต่ก็ยังไม่วายเห็นภาพรุริโกะยิ้มอย่างเว้าวอนลงมาจากตรงนั้นตรงนี้

“หล่อนแค่อายเท่านั้นแหละ ไม่มีอะไรมากไปกว่าความอายของสาวบริสุทธิ์ เราช่วยทำให้หล่อนหายอายก็หมดเรื่อง”

คิดได้ดังนั้นนายโชดะก็ไม่อาจสงบจิตใจนอนนิ่งอยู่บนเตียงต่อไปได้อีกแม้แต่นาทีเดียว เขาเริ่มคิดว่าตนเองออกจะเป็นคนดีเกินไปที่ปล่อยให้ความอายของสาวบริสุทธิ์มาเป็นเครื่องกีดขวางเช่นนี้

นายโชดะลงจากเตียงแล้วเดินด้วยฝีเท้าที่ไม่สู้มั่นคงนักออกไปที่ระเบียงทางเดินหน้าห้อง ท่ามกลางความมืดมิดในยามดึกสงัด
โรงละครอิมพีเรียลสร้างเสร็จเมื่อปี 1912
3

ผู้คนในบ้านนอนหลับกันหมดแล้ว อากาศยามดึกภายในคฤหาสน์ที่สร้างแบบฝรั่งกว้างขวางโอ่โถง เยือกเย็นจนหนาวทั้ง ๆ ที่เพิ่งจะย่างเข้าเดือนตุลาคม ทว่านายโชดะไม่ได้รู้สึกรู้สมเลยสักนิด เพราะเรือนกายกำลังถูกไฟสวาทโหมกระหน่ำอย่างบ้าคลั่งจนร้อนผะผ่าวไปทั่วทุกขุมขน

เขาเดินย่องไปตามระเบียงทางเดินในความมืดราวกับหัวขโมย หรือคนเป็นโรคเดินละเมอ ไปทางห้องของรุริโกะ

ห้องส่วนตัวของรุริโกะอยู่ชั้นล่าง ตามปกติตอนกลางคืนเมื่อใคร ๆ เข้านอนกันหมดแล้วคนรับใช้จะปิดไฟที่ระเบียงทางเดินชั้นบน แต่จะเปิดไฟที่บันไดเอาไว้ให้พอสว่าง

นายโชดะกำลังเป็นทุกข์ที่จะต้องเสียเชิงชายเพราะผิดสัญญาที่ให้ไว้กับรุริโกะ ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าความเป็นลูกผู้ชายเป็นสิ่งดีงามอย่างเดียวที่เขาพอมีอวดเจ้าหล่อนได้ ทั้ง ๆ ที่รู้ดีว่าจะต้องวางตัวเป็นลูกผู้ชายที่มีความแข็งแกร่งมั่นคงเพื่อให้ได้รับความไว้วางใจจากเจ้าหล่อน นายโชดะรู้แน่แก่ใจแล้วว่านั่นถือทางเดียวที่จะได้รับความรักจากรุริโกะ

ทั้ง ๆ ที่รู้ตัวว่าขณะนี้เขากำลังจะลบล้างสัญญาที่ให้ไว้กับเจ้าหล่อนอย่างสิ้นเชิงชาย นายโชดะก็ไม่สามารถทำอะไรได้ เมื่อถูกคลื่นความปรารถนาโหมกระหน่ำอย่างรุนแรงปานนี้ นอกจากว้าวุ่นพลุ่งพล่านอยู่คนเดียว

เมื่อลงมาสุดขั้นบันไดถ้าเลี้ยวซ้ายก็จะไปทางห้องรับแขก ถ้าเลี้ยวขวาก็จะเป็นทางไปยังห้องของมินะโกะซึ่งอยู่เรียงกันกับห้องที่จัดไว้เป็นห้องส่วนตัวของรุริโกะ ยิ่งเข้าไปใกล้ห้องรุริโกะหัวใจของนายโชดะก็ยิ่งเต้นระทึกราวกับเด็กหนุ่มที่กำลังจะได้จุมพิตคนรักเป็นครั้งแรก เขาพยายามระงับความตื่นเต้นขณะย่องเข้าไปใกล้ห้องของรุริโกะในความมืดสลัว

แล้วนายโชดะก็ต้องสะดุ้งสุดตัวจนเกือบจะร้องอุทานออกมาดัง ๆ เพราะประตูห้องที่เขากำลังย่องเข้าไปใกล้นั้น มีคน ๆ หนึ่งที่เขาเห็นได้ในความมืดสลัวว่าเป็นผู้ชายคนหนึ่งยืนเอาหลังพิงแนบชิดสนิทอยู่กับบานประตูนั้น นายโชดะรู้สึกเย็นวาบตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า เขายืนตัวสั่นเหมือนถูกไฟช๊อตอยู่กลางระเบียงทางเดินนั้นเอง

อีกฝ่ายไม่กระดิกตัวจากสภาพเหมือนรูปแกะสลักไม้ไร้ชีวิตจิตใจที่ติดอยู่กับบานประตูสักนิดเดียวทั้ง ๆ ที่น่าจะรู้ตัวว่านายโชดะเดินเข้ามาใกล้

“ขโมยขึ้นบ้าน” แต่แรกนายโชดะคิดจะตะโกนเรียกคนมาช่วย แต่ก็ระงับไว้ได้ด้วยสติของชายวัยสี่สิบที่เป็นประมุขของบ้านและเจ้าของกิจการใหญ่โต ความรู้สึกระลอกหลังที่ตามมาคือ “ความริษยา” แค่เห็นผู้ชายคนหนึ่งมายืนแนบตัวกับบานประตูห้องของภรรยาเท่านั้นก็เพียงพอที่จะทำให้ใจของนายโชดะพลุ่งพล่านราวทะเลบ้า

นายโชดะกักฟันและกำหมัดแน่นขณะย่างสามขุมเข้าไปที่ประตูห้องด้วยฝีเท้าที่มั่นคงทีละก้าว แต่อีกฝ่ายก็ยังยืนนิ่งไม่ไหวติงอยู่กับที่ นายโชดะรวบรวมความกล้าตรงเข้าไปกระชากคอเสื้อชายคนนั้นด้วยกำลังแรง แล้วตะคอกถามเสียต่ำว่า

“แกเป็นใคร”

ผู้ถูกกระทำมองหน้านายโชดะแล้วยิ้มอย่างไม่มีความหมาย...ที่แท้ชายลึกลับคนนั้นก็คะสึฮิโกะ ลูกชายของเขานั้นเอง

ตอนที่นายโชดะเห็นยิ้มที่เขามองว่าน่าเกลียดเอามาก ๆ ของลูกชายแล้วอยากจะตบด้วยกำปั้นเหล็กให้สักที ด้วยความโกรธและความสมเพชอย่างบอกไม่ถูก คนที่น่าสมเพชนั้นไม่ใช่ลูกชายผู้ไม่เต็มเต็งของเขาคนเดียว แต่รวมถึงตัวเขาเองด้วยที่ยิ่งน่าสมเพชมากกว่า

“แกมาทำอะไรอยู่ตรงนี้ ฮะ”

นายโชดะตะคอกถามด้วยเสียงกระซิบ ซึ่งฟังดูเหมือนกำลังถามตนเองมากกว่า

นี่ก็ตีสองแล้ว ตามปกติคะสึฮิโกะน่าจะนอนหลับอยู่ในเรือนเล็กซึ่งเป็นที่อยู่ของตนแล้ว แต่ทำไมถึงมายืนนิ่งขึงอยู่หน้าประตูห้องของรุริโกะเช่นนี้ การกระทำของลูกชายมันน่าสมเพชเวทนาเสียจริง

“ดึกดื่นป่านนี้ แกมาทำอะไร”

ตามปกติเขาเป็นพ่อผู้มีเมตตาต่อลูกชายที่ไม่ค่อยเต็มเต็งคนนี้เสมอมา แต่คืนนี้เขารู้สึกชังน้ำหน้าลูกชายขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก

“มาทำอะไร บอกมาซิว่ามาทำอะไรที่นี่ ฮึ”

นายโชดะจ้องตาแข็งกร้าวของเขาลงไปในตาของคะสึฮิโกะ พลางผลักไหล่ของเด็กหนุ่มไม่แรงนัก

4

“มาทำอะไรที่นี่ บอกมาซิว่ามาทำอะไร”

คะสึฮิโกะยังยิ้มอย่างมีไม่มีความหมายต่อไป มิใยว่าบิดาจะตะคอกถามคาดคั้นเอาคำตอบเพียงไร ยิ่งทำให้นายโชดะรู้สึกเหมือนลูกชายกำลังยิ้มเย้ยการกระทำที่น่าอายของเขา และบันดาลโทสะยิ่งขึ้น

เขาพยายามบังคับเสียงกราดเกรี้ยวไม่ให้ดังจนปลุกรุริโกะและมินะโกะที่นอนอยู่ห้องติดกันให้ตื่นขึ้นมาจากความฝัน แต่เมื่อถึงจุดนี้เขาไม่อาจอดกลั้นไว้ได้อีกต่อไป

“บอกมาซิ บอกมา แกมาทำอะไรอยู่ตรงนี้ บอกมาเดี๋ยวนี้”

เขาตะคอกเสียงดังลั่น แล้วผลักไหล่ลูกชายอีก พอโดนเข้าเช่นนี้คะสึฮิโกะก็หน้าแดงและพูดติดอ่างออกมาว่า

“ก็หนูมาหาคุณพี่ หนูมาหาคุณพี่”

ระยะนี้คะสึฮิโกะเริ่มคุ้นกับการเรียกรุริโกะว่า “พี่” แล้ว

“คุณพี่ มาหาคุณพี่รึ”

นายโชเฮทวนคำ รู้สึกอ่อนแรงลงทันที อยากดำดินลงไปให้พ้นจากความอับอายและสมเพชเวทนาตนเองเสียเหลือเกิน แต่ในเวลาเดียวกันคำพูดที่แสดงความสนิทสนมของลูกชาย ทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะคิดริษยาขึ้นมานิด ๆ ส่วนคะสึฮิโกะนั้น มิได้ใส่ใจว่าบิดาจะคิดอย่างไร เมื่อพูดจบ เด็กหนุ่มก็ยิ้มอย่างไม่มีความหมายต่อไปตามเดิม

“แกมาทำอะไรที่ห้องคุณพี่ มีธุระอะไรรึ ดึกดื่นป่านนี้แล้ว”

นายโชดะพยายามระงับความไม่สบอารมณ์ขณะถามต่อไปเพื่อให้ได้เรื่องจนได้

“หนูไม่มีธุระอะไร แค่อยากเห็นหน้าคุณพี่”

คะสึฮิโกะพูดเหมือนเป็นเรื่องธรรมดาไม่มีอะไรแปลก

“อยากเห็นหน้า”

นายโชเฮพูดทวนคำของลูกชาย แต่ก็ต้องชะงักเพราะมันเหมือนกับเป็นคำพูดของตนเองไม่มีผิด เขารู้สึกอับอายจนอยากยกมือขึ้นปิดหน้า แม้ว่าตรงนั้นไม่มีคนอื่นอยู่ด้วยก็ตาม

นายโชดะหมดความกล้าที่จะพูดกับลูกชายอีกต่อไป แต่ถ้าไม่ห้ามใจของเด็กหนุ่มเอาไว้แต่เพียงนี้ ต่อไปก็ไม่รู้เหมือนว่าจะเกิดเรื่องร้ายแรงอะไรขึ้น เขาจึงระงับความขัดเคืองและความละอายขณะสั่งลูกชายว่า

“คะสึฮิโกะ ต่อไปจะมาที่ห้องคุณพี่เวลาดึกดื่นอย่างนี้ไม่ได้เข้าใจไหม ถ้าทำอย่างนี้อีกเป็นครั้งที่สอง จะได้เห็นดีกัน”

นายโชดะพูดพลางจ้องตาถมึงทึงน่าเกรงขามลงไปในตาของลูกชาย คะสึฮิโกะพูดอย่างไม่แสดงว่าหวั่นไหวอะไรว่า

 “แต่คุณพี่บอกว่ามาได้ ไม่เป็นไรนี่”

นายโชดะฟังแล้วรู้สึกเหมือนถูกทุบหัว

“มาได้ ไม่เป็นไรอย่างนั้นรึ คุณพี่บอกแกเมื่อไร...พูดอย่างนั้นเมื่อไรฮึ”

นายโชดะลืมตัว พูดเสียงดังออกมาเหมือนเวลาปกติ

“พูดเมื่อไรรึ คุณพี่พูดทุกทีแหละ บอกว่า ถ้ายืนเป็นทหารเฝ้ายาม อยู่หน้าห้องละก็ จะยืนไปถึงกี่โมงก็ได้”

“หมายความว่าแกไม่ได้มายืนคืนนี้คืนเดียวเท่านั้นใช่ไหม ไอ้เด็กบ้า ทำไมแกบ้าอย่างนี้”

ถึงจะด่าว่าออกไปเช่นนั้น ใจจริงแล้วเขาอดอิจฉาลูกชายขึ้นมาอย่างมากไม่ได้ และในเวลาเดียวกันก็เกิดอารมณ์เดือดดาลจนเกือบจะชิงชังรุริโกะขึ้นมาริ้ว ๆ

“คุณพี่พูดอย่างนั้นรึ แกบ้าไปหรือเปล่า เอาละ...ฉันจะถามรุริโกะให้รู้เรื่อง”

นายโชดะผลักลูกชายไปทางหนึ่ง แล้วเอื้อมมือผลักประตูให้เปิดออก แต่ปรากฏว่าประตูบานนั้นปิดสนิทไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่น้อยเหมือนถูกตรึงไว้ด้วยตะปู เขากำลังจะส่งเสียงเรียก...ก็พอดี

มีเสียงเปิดประตูดังก๊อกแก๊ก แต่ประตูที่เปิดออกมาเป็นประตูห้องของมินะโกะ

เด็กสาวในชุดนอนสีขาวบริสุทธิ์วิ่งเข้ามาเข้ามาหาบิดา

“คุณพ่อ พูดอะไรอย่างนั้น อย่าพูดอะไรอีกเลยนะเจ้าคะ กลับไปนอนดีกว่า คุณพี่ตื่นมาเห็นเข้าเราจะอายกันทั้งพ่อทั้งลูก”

คำขอร้องจากใจจริงของมินะโกะกระทบใจนายโชดะอย่างแรง เขาเงียบไป ขณะที่คะสึฮิโกะมองหน้าน้องสาวแล้วหัวเราะอย่างไร้ความหมายตามประสา

ในเวลาเดียวกันนั้นเอง อีกฟากหนึ่งของประตูบานนั้น หญิงสาวบนเตียงถูกปลุกให้ตื่นขึ้นจากความฝันและได้ยินคำโต้เถียงของพ่อลูกโดยไม่ได้ตั้งใจ ใบหน้าอันงดงามผุดผ่องเกลื่อนไปด้วยรอยยิ้มแห่งความสะใจ ขณะดึงผ้านวมขนนกนุ่มเบาราวปุยเมฆขึ้นมาห่มจนแทบมิดหัวหูอีกครั้งอีกครั้ง

* ตำนานเก็นจิ เป็นเรื่องราวชีวิตในราชสำนักของขุนนางและเจ้านายชั้นสูงในสมัยเฮอัน พระเอกชื่อ ฮิคารุ เก็นจิ มีความสัมพันธ์กับผู้หญิงมากมายและ “ซุเอะสึมุฮะนะ” เป็นหนึ่งในจำนวนนั้น จุดเด่นของนางอยู่ที่ความขี้ริ้ว แต่รุริโกะอ้างอิงชื่อนี้ในแง่ของการที่นางสามารถรักษาพรหมจรรย์ไว้ได้ ชื่อมีความหมายตรงตามตัวอักษรว่า “ดอกไม้ที่ยังไม่ถูกเด็ด”
กำลังโหลดความคิดเห็น