xs
xsm
sm
md
lg

คุณนายไข่มุก ตอนที่ 3(ต่อ) พบหน้าเทพธิดาไข่มุก

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

บทประพันธ์ของ คิคุฉิ คัน* (ค.ศ.1888-1948)
แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา

"คุณนายไข่มุก เธอทั้งสวยและสูงศักดิ์ สวรรค์ให้เธอมามาก แต่ถึงเวลาเอาคืน....?"

ตอนที่ 3 เทพธิดาไข่มุก (ต่อ)

3

ขบวนเชิญศพมาที่สถานฌาปนกิจเป็นขบวนใหญ่ นำโดยรถม้าเชิญศพตามมาด้วยรถม้าของคนในตระกูลเจ็ดแปดคัน ชินอิชิโรแทรกตัวผ่านกลุ่มคนที่มายืนคอนรับศพกันอยู่เข้าไปจนใกล้บริเวณที่ขบวนรถม้าเคลื่อนเข้ามาจอด ตาทั้งคู่ของเขาจับจ้องไปยังคนในตระกูลที่ทะยอยกันลงมาจากรถม้าทีละคนสองคนอย่างไม่ยอมให้คลาดสายตาไปได้

คนที่ลงมาจากรถม้าที่ตามรถเชิญศพมาเป็นคันแรกคือชายหนุ่มที่ดูเหมือนจะเป็นเจ้าภาพของพิธีวันนี้ มองแวบเดียวก็เข้าใจทันทีว่าต้องเป็นน้องชายของผู้ตายแน่ ๆ เพราะหน้าเหมือนกันราวถอดออกมาจากพิมพ์เดียว เว้นแต่ว่าชายหนุ่มในเครื่องแบบกะกุชูอินคนนี้ร่างสูงเพรียวกว่าพี่ชายที่ชินอิชิโรเห็นเต็มตัวที่สถานีรถไฟโคซึ

หญิงสาวสองคนลงมาจากรถม้าคันที่ตามมาติด ๆ ชินอิชิโรจ้องเขม็งเพราะหนึ่งในนั้นอาจเป็นหญิงที่ชื่อ รุริโกะที่เขากำลังมองหาก็เป็นได้ และก็เข้าใจในทันทีอีกเหมือนกันว่าเธอทั้งสองคือน้องสาวของอะโอะกิ จุนชายหนุ่มผู้เคราะห์ร้ายในหีบศพ เมื่อเห็นใบหน้างดงามมีราศรีสมสกุลที่คล้ายคลึงกับพี่ชายมาก ภาพของสองสาวในวัยแรกแย้มดูคนพี่อายุคงยังไม่เกินยี่สิบในชุดพิธีสีขาวบริสุทธิ์ราวหิมะ ดวงตางามคลอคลองด้วยหยาดน้ำตา ก้มหน้านิด ๆ เยื้องกรายราวดอกไม้ไหวไปตามลม ช่างงดงามระคนเศร้าอะไรเช่นนั้น

สตรีในชุดพิธีสีขาวที่ก้าวตามกันลงมาทีละคนจากรถคันหลังด้วยท่าทีงามสง่าสูงศักดิ์คงจะเป็นญาติสนิทซึ่งชินอิชิโรมองไปทางคนนั้นทีคนนี้ทีอย่างสังเกตสังกา คิดว่าไม่ใครก็ใครสักคนคงจะชื่อรุริโกะ แต่ไม่ได้ผลเพราะเขาไม่มีอะไรสักอย่างที่จะเป็นกุญแจคำไข บ่งบอกให้ชัดเจนลงไปว่าใครเป็นใคร จึงได้แต่ยืนหงุดหงิดอยู่ตรงนั้น

เมื่อเจ้าหน้าที่สถานฌาปณกิจตั้งหีบศพบนแท่นพิธีที่ประดับดอกไม้งดงามเรียบร้อยแล้ว ผู้มาร่วมพิธีก็ทะยอยกันเข้ามา ไม่นานก็เต็มห้องพิธีที่ไม่กว้างใหญ่เท่าไรนัก

ก่อนเริ่มพิธีทางศาสนา ความเงียบสงบระคนเศร้าสะเทือนใจแทรกซึมไปทั่วห้อง ญาติสูงอายุใบหน้าเศร้าสลดที่นั่งเรียงกันอยู่แถวหน้าทอดสายตาอาวรณ์อาลัยไปที่แท่นพิธี

วินาทีที่พระกำลังจะเอื้อนเอ่ยบทสวดคำแรกนั้นเอง เสียงดังของรถยนต์ที่แล่นเข้ามาจอดเทียบอาคารพิธีปลุกทุกคนให้สะดุ้งตื่นจากภวังค์ไปตาม ๆ กัน แทบทุกคนหันขวับไปทางต้นเสียงด้วยแววตาที่เกือบจะรู้สึกได้ว่าเกรี้ยวกราดบุคคลที่กระทำการอันไร้มารยาทอย่างร้ายแรงเช่นนั้น รถยนต์ที่เข้ามาจอดหน้าอาคารดูเหมือนจะเป็นรถนอกยี่ห้อของอิตาลี ชายในเครื่องแบบสารถีกำลังค้อมตัวเปิดประตูรถด้านหลังให้ด้วยท่วงท่างดงามเป็นพิธีรีตรอง

การเคลื่อนไหวที่ดึงดูดความสนใจ ณ วินาทีนั้นไม่ใช่อะไรที่น่าเกรงกลัวเลยสักนิด เพราะร่างระหงที่ย่างก้าวจากรถยนต์คันหรูลงมายืนเด่นเป็นสง่าราวนางนกยูงขาว เป็นเพียงสาวสวยท่าทางเป็นลูกผู้ดีมีตระกูลคนหนึ่ง เธอเงยหน้านิด ๆ ขึ้นมองอาคารฌาปนกิจสถาน ปลดผ้าคลุมหน้าที่เป็นผ้าไหมเนื้อบางสีดำโยนปลิวเข้าไปในรถด้วยท่วงทีที่เป็นธรรมชาติของหญิงผู้มั่นใจในตนเอง แล้วเดินเข้ามาในห้องพิธีเงียบ ๆ ไม่แย้มยิ้มหรือเขินอายแต่ดูมีรัศมีเปล่งปลั่งไปทั้งตัว

ร่างในชุดกิโมโนสีขาวที่รัดรูปทรงเสริมให้ดูเพรียวงามขึ้นไปอีก เร่งฝีเท้าผ่านแถวผู้ร่วมพิธีเข้าไปนั่งรวมกลุ่มสุภาพสตรีทางด้านขวาของแท่นพิธี สายตาหลายคู่มองตามร่างโฉมงามผู้มาสายอย่างไม่เกรงใจใครด้วยความรู้สึกต่าง ๆ กัน หนึ่งในจำนวนนั้นคือชินอิชิโร ดวงตาเป็นประกายของเขาดูเหมือนจะจับจ้องไปที่เจ้าหล่อนด้วยความสนใจมากกว่าใคร ๆ

สิ่งแรกที่จับใจชินอิชิโรคือความงามล้ำของเจ้าหล่อน ที่กะเอาจากที่เห็นอายุไม่น่าเกินยี่สิบมากนัก แต่บอกไม่ถูกเหมือนกันว่าทำไมจึงรู้สึกเหมือนมีอำนาจอะไรสักอย่างเหนือจิตใจผู้พบเห็น

ชินอิชิโรนึกถึงใบหน้าสาวงามหลาย ๆ คนที่เขารู้จักหรือเจอะเจอ แต่ก็ไม่พบว่ามีใครที่งามทัดเทียมหญิงสาวผู้นี้เลยสักคน

ชินอิชิโรส่งสายตาลอดแนวศีรษะผู้ร่วมพิธีที่นั่งอยู่แถวหน้า ๆ เขาไปยังหญิงผู้มาสายกว่าใคร ๆ ตื่นตะลึงกับความงามราวกับออกมาจากภาพวาดของจิตรกรชาวตะวันตกอยู่เป็นครู่ใหญ่
มุสึ เรียวโกะ (ภรรยาทูตญี่ปุ่นประจำกรุงวอชิงตัน ช่วง ปี 1888) ต้นแบบความงามซึ่งสะท้อนอารยธรรมสมัยใหม่ที่เพิ่งมาสู่ญี่ปุ่นเป็นระลอกแรก
4

บุรุษและสตรีคนอื่น ๆ ภายในห้องพิธีต่างตกตะลึงกับการปรากฎตัวของโฉมงามผู้มาสายกันไปพักหนึ่งเช่นกัน จนพระเริ่มสวดจิตใจของทุกคนจึงคืนสู่ความเศร้าสลดกับการจากไปของอะโอะกิ จุน ชายหนุ่มผู้เคราะห์ร้าย อีกครั้ง แต่สำหรับชินอิชิโร เสียงพระสวดไม่ได้ช่วยระงับความเต้นระทึกของหัวใจให้สงบลงได้แม้แต่นิดเดียว

ชินอิชิโรเชื่อทันทีตั้งแต่แวบแรกที่เห็นแล้วว่า โฉมงามผู้นี้ต้องมีความสัมพันธ์เป็นพิเศษอะไรสักอย่างกับชายหนุ่มผู้ตายเป็นแน่ ความงามที่แฝงความห้าวหาญเอาไว้ในทีของเจ้าหล่อนจูงใจให้เขานึกถึงภาพมีดสั้นอันแหลมคมที่สลักอยู่บนนาฬิกาที่อะโอะกิฝากให้เขาคืนเจ้าของเรือนนั้น เสียงพระสวดไม่ได้แว่วเข้าหู ชินอิชิโรแม้แต่น้อย สมาธิของเขารวมตัวอยู่ที่สายตาซึ่งเขม้นมองลอดแนวศีรษะผู้ร่วมพิธีที่นั่งอยู่แถวหน้า ๆ ไปยังโฉมงามเป็นจุดเดียว

ทว่า ระหว่างนั้นเอง ใจของชินอิชิโรที่น่าจะมุ่งไปที่ปริศนาที่ควรไขให้กระจ่างว่าเจ้าหล่อนคือรุริโกะใช่ไหม เป็นเจ้าของนาฬิกาที่ต้องคืนหรืออย่างไรนั้น กลับค่อย ๆ ตกเป็นทาสความงามของหญิงสาวผู้เป็นเป้าสายตาลึกล้ำขึ้นทุกขณะ

ความงามล้ำของใบหน้าเจ้าหล่อนต่างจากความงามของสตรีญี่ปุ่นที่สืบทอดกันมาแต่โบราณ คือเป็นความงามและการแสดงออกทางใบหน้าที่สะท้อนอารยธรรมสมัยใหม่ที่เพิ่งมาสู่ญี่ปุ่นเป็นระลอกแรก ไม่ใช่ความงามของสตรีสมัยก่อน ๆ ที่ไม่มีอัตลักษณ์ได้แต่สวยจับตาเหมือนตุ๊กตา ก็ดูดวงตาของเจ้าหล่อนเสียบ้าง...ช่างสว่างสดใสเปล่งประกายฉลาดเฉลียวเหลือใจ สะท้อนความเป็นผู้มีปัญญาอันเป็นเอกลักษณ์ของสตรีสมัยใหม่ไปทั่วใบหน้า ช่างจับตาจับใจอะไรเช่นนี้ มองเท่าไรไม่รู้เบื่อเลยจริง ๆ

แม้จะห้อมล้อมอยู่ในกลุ่มสุภาพสตรีที่งดงามเป็นเลิศก็หลายคน แต่เจ้าหล่อนดูเหมือนมีรัศมีฉาบฉายเรืองรองเจิดจรัสอยู่คนเดียว เท่าที่เห็นอายุอานามน่าจะยังน้อยจัดอยู่ในกลุ่มหญิงสาว แต่มีอะไรบางอย่างในอากัปกิริยาที่บ่งบอกความมีอำนาจอาจหาญอยู่ในที หรือว่าจะเป็นภรรยาของคนใหญ่คนโต

ขณะที่ชินอิชิโรกำลังหลงไหลความงามของสตรีที่เป็นเป้าสายตาของเขาอยู่นั้น พิธีศพดำเนินรุดหน้าไปจนเกือบจบขั้นตอนที่พี่น้องของผู้ตายนำแถวญาติสนิทเข้าไปเคารพศพ เจ้าหล่อนจึงลุกขึ้นจากที่นั่งด้วยท่วงท่าสง่างาม เดินไปโปรยผงธูปลงบนกระถางที่มีไฟกรุ่นอยู่ เป็นการเคารพศพตามประเพณี

ไม่นานก็เสร็จพิธี หลังจากที่เจ้าภาพกล่าวคำขอบคุณ ผู้มาร่วมพิธีต่างพากันแยกย้ายกลับไปอย่างเร่งรีบ ทำให้การจราจรบริเวณหน้าฌาปนสถานคับคั่งไปด้วยรถม้าและรถยนต์สวนกันไปมาซ้ายบ้างขวาบ้างดูน่าสับสน

ชินอิชิโรจงใจอยู่รั้งท้ายขบวนผู้คนที่เร่งรีบ และยอมให้ผู้คนเบียดเสียดแซงหน้าเขาออกไปขณะหาทางเข้าไปใกล้โฉมงามซึ่งพอย่างกรายพ้นประตูห้องพิธีออกมา ก็มีนักศึกษาหนุ่มสี่คนซึ่งคงจะเป็นเพื่อน ๆ ของผู้ตายกรูเข้าไปรุมล้อม เจ้าหล่อนพูดอะไรด้วยสองสามคำ ยกมือข้างหนึ่งขึ้นแตะขอบประตูรถที่สารถีเปิดรออยู่แล้วส่งยิ้มหวานเข้าไปในกลุ่มหนุ่มอย่างไม่เจาะจงว่ายิ้มให้ใคร ก่อนก้าวขึ้นไปนั่งบนรถยนต์คันงาม

ขณะที่สารถีกำลังจะออกรถ เจ้าหล่อนเอี้ยวตัวมาพูดทิ้งท้ายว่า

“ถ้าคิดกันอย่างนั้นจริง ๆ ละก็ ดิฉันแย่เลย” แล้วส่งยิ้มหวานจับใจมาให้

นักศึกษากลุ่มนั้นมองตามรถยนต์ที่แล่นหลีกฝูงคนออกไปตามสัญญาณมือของพนักงานจัดระเบียบการจราจร อยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงชวนกันกลับ ชินอิชิโรเร่งฝีเท้าตามไปเพราะคิดว่าการพูดคุยกับกลุ่มหนุ่มที่รู้จักเจ้าหล่อนนั้นเป็นโอกาสเดียวที่จะได้รู้เสียทีว่าใครคือเจ้าของนาฬิกาเรือนนั้น

พวกเขาคงจะไปขึ้นรถไฟเพราะออกเดินมุ่งหน้าไปทางอะโอะยะมะซันโจเมะ ชินอิชิโรเดินตามไปห่าง ๆ พอได้ยินเสียงคุยกันที่ไม่เบานัก เป็นช่วง ๆ

“พอได้ข่าวว่าอะโอะกิตาย ผมคิดทันทีเลยว่าหมอนั่นต้องฆ่าตัวตายแน่ ๆ “ คนร่างอ้วนที่สุดเอ่ยขึ้น

“ผมก็เหมือนกัน เอามือตบหน้าผากเลย โธ่...อะโอะกิ ในที่สุดนายก็ไม่มีทางเลือก” คนตัวสูงเห็นด้วยทันที

5

“ผมอ่านจดหมายที่อะโอะกิส่งมาจากมิโฮะแล้วรู้สึกสังหรณ์ใจอยู่เหมือนกัน” คนเดียวที่ใส่เสื้อโค้ทสำทับ

คำพูดคุยของนักศึกษากลุ่มนั้นจูงใจให้ชินอิชิโรสาวเท้าเข้าไปใกล้โดยไม่รู้ตัว

“ผมรู้ว่าระยะนี้หมอนั่นมีอะไรสักอย่างที่ทำให้ท้อแท้ใจจริง ๆ อาจมีใครทำให้มันอกหักก็ได้ แต่ความที่ไม่เคยแย้มพรายให้ใคร ๆ รู้ จนป่านนี้ก็เลยไม่รู้ว่าผู้หญิงคนนั้นคือใคร” คนอ้วนว่า

พอได้ยินนักศึกษาร่างอ้วนว่าดังนั้น ชินอิชิโรก็นึกถึงลักษณะอาการ นึกถึงใบหน้าเศร้า ๆ ของอะโอะกิตอนนั่งรถมาด้วยกันขึ้นมาได้ทันที

“ผู้หญิงที่หักอกอะโอะกิ เฮ้ย...อย่าบอกว่ามาดามโชดะ ของพวกเรานา” พอคนหนึ่งเอ่ยขึ้น ทุกคนก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาพร้อมกัน

“ไม่มีทาง ไม่มีทาง” แต่ละคนพยักหน้าเออออให้กันและกัน

คุยกันได้แค่นั้นก็ถึงป้ายจอดรถซันโจเมะ สามในกลุ่มสี่คนเบียดขึ้นรถไฟที่แน่นเอี้ยดไปได้ คนเดียวที่เหลืออยู่คือหนุ่มใส่แว่นตาท่าทางคงแก่เรียนที่นิ่งฟังคนอื่นพูดมาตลอด ซึ่งพอเพื่อน ๆ ขึ้นรถไปแล้วก็เริ่มออกเดินเลียบทางรถไฟไปทางอะโอะยะมะอิจโจเมะ ชินอิชิโรเดินตามไปติด ๆ คิดว่าคุยกับคนเดียวน่าจะง่ายกว่าทั้งกลุ่ม แต่ถึงจะเดินตามมาไกลพอควรแล้วก็ยังหาจังหวะเหมาะ ๆ ที่จะส่งเสียงทักและชวนคุยได้สักที คิดจะล้มเลิกความตั้งใจเสียหลายครั้ง แต่ถ้าปล่อยโอกาสนี้ไป เห็นทีว่าจะหาช่องทางคืนนาฬิกาไม่ได้ไปตลอดชีวิตเป็นแน่ ในที่สุดชินอิชิโรก็ได้จังหวะเหมาะตอนที่อีกฝ่ายเบนหน้ามาข้างหลังนิดหนึ่ง เดินเข้าไปใกล้แล้วทักขึ้นว่า
บริเวณหน้าสถานีชิบุยะเชื่อมกับอะโอะยะมะช่วงก่อนสงคราม
“ขอโทษครับ คุณไปร่วมพิธีศพของคุณอะโอะกิมาเหมือนกันหรือครับ”

“อ๋อ ใช่ครับ” คนที่ถูกถามอย่างกระทันหัน ดูจะแปลกใจอยู่บ้างแต่ก็ไม่ได้แสดงท่าว่ารังเกียจ ชินอิชิโรจึงโล่งใจถามต่อว่า

“เป็นเพื่อนกันหรือครับ”

“อ๋อ ใช่ครับ เป็นเพื่อนเล่นกันมาตั้งแต่ชั้นประถมเลยละครับ”

“ถ้าอย่างนั้นก็ต้องตกใจและเศร้ามากเลย” พูดออกไปแล้ว ชินอิชิโรก็ชักลังเลที่จะถามต่อไป แต่ก็ตัดใจได้

“คืออยากถามอะไรนิดนึงน่ะครับ เรื่องคุณผู้หญิงที่พูดกับคุณตรงหน้างานเมื่อตะกี้”

“อ๋อ คนที่ขึ้นรถยนต์กลับไปใช่ไหมครับ” ชายหนุ่มย้อนถามทันที “มีอะไรหรือครับ”

ชินอิชิโรใจเต้นแรงขึ้นนิดหนึ่งขณะถามต่อไปว่า

“ไม่มีอะไรหรอกครับ แค่อยากทราบว่าคุณผู้หญิงคนนั้นชื่ออะไรเท่านั้นเอง”

นักศึกษาหนุ่มยิ้มแล้วปรายตามองชินอิชิโรแวบหนึ่งแบบว่า...ใคร ๆ เขารู้จักกันทั้งนั้น นายไปงมอยู่ที่ไหนมาถึงไม่รู้...ก่อนตอบว่า

“คุณนายโชดะไงครับ ดังจะตายคุณน่าจะรู้จักนะ เธอเป็นลูกสาวท่านคะระซะวะ อดีตรัฐมนตรียุติธรรม นักการเมืองผู้ทรงวัยวุฒิอยู่ในสภาขุนนางกลุ่มเดียวกับคุณพ่อของอะโอะกิ เธอกับอะโอกิใกล้ชิดกันก็เพราะคุณพ่อเป็นเพื่อนกันนั่นเองแหละครับ”

คำบอกเล่าของนักศึกษาแว่นช่วยให้ชินอิชิโรนึกได้ว่าเคยเห็นภาพถ่ายและเรื่องราวของคุณนายคนดังคนนี้ตามนิตยสารสตรีและหนังสือพิมพ์มาก่อน แต่ไม่ได้สนใจอะไร เขาคิดเหมือนกันว่าคู่สนทนาคงแปลกใจถ้าเขาจะถามละเอียดไปถึงชื่อตัวของสตรีผู้นี้ แต่ก็ตัดใจถามออกไปว่า

“คุณนายโชดะคนนี้ ชื่ออะไรหรือครับ”

“อ๋อ รุริโกะครับ พวกเราเรียกกันว่า มาดามรุริโกะ ผู้ร่ำกลิ่นอบเชย...ฮะ..ฮะ...ฮะ”

โฉมงามผู้มาสายในงานพิธีศพอะโอะกิ คือรุริโกะจริง ๆ อย่างที่ชินอิชิโรคิด เจ้าหล่อนคือต้นเหตุที่ทำให้ชายหนุ่มคิดสั้นถึงกับฆ่าตัวตายอย่างที่เพื่อน ๆ คิดหรือ เรื่องราวของรุริโกะ นางผู้ร่ำกลิ่นหอมของอบเชยผู้นี้ น่าติดตามอย่างยิ่ง
กำลังโหลดความคิดเห็น