xs
xsm
sm
md
lg

คุณนายไข่มุก (ตอนที่ 2 ต่อ)

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

บทประพันธ์ของ คิคุฉิ คัน* (ค.ศ.1888-1948)
แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา

"คุณนายไข่มุก เธอทั้งสวยและสูงศักดิ์ สวรรค์ให้เธอมามาก แต่ถึงเวลาเอาคืน....?"

ตอนที่ 2 นาฬิกาที่ต้องคืน (ต่อ)

4

ชินอิชิโรดึงผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดเลือดที่ไหลจากมุมปากผ่านคางลงมาเลอะเทอะอยู่ที่คอของผู้ตาย

ขณะที่นั่งมองหน้าชายหนุ่มเคราะห์ร้ายที่ขาวซีดและกำลังเปลี่ยนเป็นเหมือนเทียนขี้ผึ้ง ชินอิชิโรรู้สึกเศร้าสะเทือนใจจนน้ำตาจนน้ำตาไหลพรากออกมาไม่ขาดสาย สภาพจิตของเขาไม่ผิดอะไรกับต้องเผชิญหน้ากับความตายของเพื่อนที่สนิทสนมกันมาห้าหรือสิบปี การที่เขาซึ่งเพิ่งพบกับอะโอะกิเพียงแค่สามสิบหรือสามสิบนาทีในความสัมพันธ์ที่ไม่มีอะไรมาไปกว่าคนนั่งข้างกันในรถโดยสาร ต้องมาเป็นคนเดียวที่อยู่กับเขาในวาระสุดท้าย ได้เห็นเขาสิ้นใจตายไปต่อหน้าต่อตา ต้องมารับฟังคำสั่งเสียก่อนตายเช่นนี้ช่างเป็นชะตาชีวิตที่ประหลาดอย่างบอกไม่ถูก

ชายหนุ่มผู้นี้ช่างน่าเวทนานัก ที่มาประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตระหว่างการเดินทางท่องเที่ยวอันแสนสั้นอยู่บนหน้าผาชายทะเลอันเปล่าเปลี่ยว ห่างไกลจากพ่อแม่พี่น้องและญาติสนิทมิตรสหาย ไม่มีใครได้รดน้ำศพนอกจากชินอิชิโรซึ่งไม่ต่างอะไรกับคนแปลกหน้า...รดน้ำศพ จะถือว่าวิสกี้สองสามหยดเมื่อครู่ก่อนเป็นน้ำหยดสุดท้ายสำหรับอะโอะกิ ถือเป็นการรดน้ำศพก็คงได้ อนาคตที่คงจะเปี่ยมไปด้วยความมุ่งหวังต้องดับสิ้นโดยไม่มีการแจ้งล่วงหน้า ก่อนสิ้นลมชายหนุ่มผู้เคราะห์ร้ายถึงกับชะตาขาดผู้นี้โศกเศร้าโหยหาคนอันเป็นที่รักสักเพียงใด อยากพูดจาสั่งเสียพ่อแม่พี่น้องชายหญิงและคนรักเป็นครั้งสุดท้ายสักเพียงใด คนสุดท้ายที่อะโอะกิเรียกหา “รุริโกะ” นั้น ถ้าไม่ใช่แม่หรือน้องสาว ก็คงเป็นหญิงคนรัก

ชินอิชิโรเริ่มคิดถึงคำสุดท้ายที่อะโอะกิทิ้งไว้ก่อนสิ้นลม เรื่องแรกที่ทำให้เขาต้องตั้งข้อสงสัยขึ้นมาก็คือ ทำไมชายหนุ่มจึงพูดสั่งเสียเรื่องนาฬิกาอย่างคาดคั้นขนาดนั้นกับเขาซึ่งเป็นเสมือนคนแปลกหน้า ความจริงแล้วถึงจะไม่ขอร้องเขาหรือใครก็จะต้องรวบรวมของติดตัวผู้ตายส่งคืนให้แก่ครอบครัวผู้ตายอยู่ดี คิดออกแล้ว...อะโอะกิต้องไม่อยากให้คนในครอบครัวรู้เรื่องราวในสมุดบันทึกและการส่งนาฬิกาคืนเป็นแน่ อยากเก็บซ่อนเป็นความลับไม่ให้พ่อแม่พี่น้องล่วงรู้ และพอรู้ตัวว่าต้องตายชายหนุ่มก็ไม่มีทางอื่นนอกจากขอร้องชินอิชิโรซึ่งอยู่กับเขาเพียงคนเดียวให้จัดการคืนนาฬิกาเรือนนี้
เนเมซิสเทพีแห่งการแก้แค้นถือดาบในท่าปักอกศัตรู
ชินอิชิโรรับคำขอร้องด้วยความเต็มใจเพราะรู้สึกได้ถึงความไว้เนื้อเชื่อใจที่อะโอะกิมีต่อเขา เขาไม่อาจเพิกเฉยต่อความเชื่อใจนั้นทั้งในแง่ของความเป็นมนุษย์และความเป็นลูกผู้ชาย

ชินอิชิโรคิดว่าความเชื่อใจของคนเราที่มีต่อใครสักคนขณะกำลังจะสิ้นลมนั้นมีความสำคัญเช่นเดียวกับคำสารภาพบาปในวาระสุดท้ายของผู้นับถือศาสนาคริสต์ และในเมื่อตนเองอยู่ในฐานะที่ได้รับความไว้เนื้อเชื่อใจเช่นนั้น ก็จะต้องทำตามคำขอร้องให้ครบถ้วน

คิดได้ดังนั้นชินอิชิโรจึงค่อย ๆ ปลดนาฬิกาออกจากข้อมือขวาของอะโอะกิ นาฬิกาข้อมือที่ดูเหมือนทำด้วยโลหะจำพวกเงินหรือไม่ก็นิกเกิลเรือนนั้น หน้าปัดแตกละเอียดแสดงว่าได้จบชีวิตลงอย่างน่าเศร้าเช่น เดียวกับเจ้าของ พอยกขึ้นส่องดูกับแสงสลัวของยามพลบค่ำก็เห็นมีเลือดติดอยู่ที่ห่วงรัดสายนาฬิกา ซึ่งคงบาดข้อมือตอนรถชนทำให้เลือดออก นอกจากนั้นบนตัวเรือนที่มีสีออกขาวก็มีรอยเปื้อนเลือดเป็นจุด ๆ ด้วย

เมื่อความตื่นตระหนกจากอุบัติเหตุร้ายแรงกับความโกลาหลที่ต้องจัดการอะไร ๆ อย่างฉับพลันทันทีผ่านพ้นไป และมานั่งมอง นาฬิกาที่แหลกราน ไปพร้อมกับเจ้าของเช่นนี้ ชินอิชิโรรู้สึกสะเทือนใจอย่างยิ่งกับการจบชีวิตลงอย่างน่าเวทนาของชายหนุ่มผู้ร่วมชะตากรรม จนตัวสั่นไหวไปด้วยอารมณ์ระทมเศร้าที่สุมอยู่ในอก

5

อะโอะกิขอให้เอานาฬิกาไปคืนแต่ไม่ได้บอกว่าคืนใคร แล้วอย่างนี้จะให้เขาทำอย่างไร เอาไปคืนผู้หญิงชื่อรุริโกะที่ชายหนุ่มเอ่ยออกมาเป็นคำสุดท้ายก่อนสิ้นใจอย่างนั้นหรือ อะโอะกิเอ่ยชื่อรุริโกะขึ้นมาด้วยความตั้งใจที่จะบอกชินอิชิโรว่ารุริโกะเป็นคนที่เขาต้องการเอานาฬิกาไปคืนหรืออย่างไร หรือว่ารุริโกะเป็นชื่อของคนรัก พี่สาวหรือน้องสาวที่ฝังใจเขาอยู่โดยไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับนาฬิกา ชินอิชิโรคิดไปมาหลายตลบในที่สุดก็นึกขึ้นได้ว่าตอนที่อะโอะกิขอให้เขาเอานาฬิกาไปคืนนั้นชายหนุ่มยังมีสติดีอยู่ ไม่เหมือนกับตอนใกล้สิ้นใจที่ดูเหมือนไม่มีสติที่จะรับรู้ความเป็นไปในโลกแล้ว อะโอะกิเปล่งเสียงคำว่า “รุริโกะ” ออกมาเป็นคำสุดท้ายขณะที่จิตใจอยู่ในสภาพไม่สมประดีเสียแล้ว ฟังเหมือนเพ้อแต่ก็บ่งบอกได้ชัดว่าชื่อรุริโกะ นั้นฝังอยู่ในห้วงลึกของหัวใจจนลมหายใจสุดท้ายของชายหนุ่ม ไม่ผิดอะไรกับนาฬิกาข้อมือที่บาดลึกลงไปที่ข้อมือเมื่อยามสิ้นใจ

ชินอิชิโรยกนาฬิกาข้อมือขนาดเล็กในมือขึ้นส่องกับแสงสลัวยามพลบค่ำอีกครั้ง และเมื่อเพ่งมองดี ๆ ก็พบว่าโลหะที่เข้าใจว่าเป็นเงินหรือนิกเกิลนั้น ไม่วาวเท่าเงินและไม่บางเท่านิกเกิล จึงใช้นิ้วไล้ดูเบา ๆ สองสามครั้งจึงรู้ว่าที่แท้คือทองคำขาว《แพลตินัม》ยิ่งกว่านั้นปลายนิ้วยังสัมผัสกับอะไรที่ตะปุ่มตะป่ำอยู่ เมื่อเพ่งดูจนชิดก็เห็นว่านาฬิกาเรือนนั้นฝังอัญมณีประกายวาววับหลายเม็ด เป็นรูปปลอกมีดสั้นเล่มเล็กนิดเดียวฝัง อัญมณีแบบกรีกเหมือนดาบที่เนเมซิสเทพีแห่งการแก้แค้นถือในท่าปักอกศัตรู ลักษณะของลวดลายฝังอัญมณีแบบแปลกนั้นทำให้ชินอิชิโรเกิดความอยากรู้อยากเห็นขึ้นมาอย่างรุนแรง เจ้าของนาฬิกาต้องเป็นผู้หญิงแน่ แต่ช่างเป็นการออกแบบที่อาจหาญไม่สมหญิงอะไรเช่นนั้น

ดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปแล้วเหลือเพียงแสงสลัวลางบนพื้นน้ำ คนขับรถยังไม่กลับมา การนั่งเฝ้าศพที่ยังอุ่น ๆ อยู่เพียงคนเดียวในบรรยากาศอันสลดหดหู่ท่ามกลางความมืดบนหน้าผาริมทะเลนั้น แม้จะเป็นสิ่งที่ ชินอิชิโรไม่อยากให้ยืดเยื้อออกไปนานนัก แต่ก็ไม่ได้คิดว่าเลวร้ายจนเกินไป อย่างน้อยก็ทำให้เขารู้สึกว่าตนเองได้ทำหน้าที่ดีที่สุดเท่าที่มนุษย์คนหนึ่งจะพึงกระทำ

แต่แล้วชินอิชิโรก็ฉุกคิดขึ้นมาได้ว่า ถึงจะได้รับคำขอร้องเชิงคาดคั้นจากอะโอะกิแต่เขาจะเอานาฬิกาแพลตินัมฝังอัญมณีล้ำค่าเรือนนี้ไปเงียบ ๆ ได้หรือ ถ้าเจ้าหน้าที่ชัณสูตรศพเผอิญรู้เรื่องนาฬิกาและซักถามขึ้นมาจะตอบว่าอย่างไร อะโอะกิก็ตายไปแล้วไม่มีทางลุกขึ้นมาให้การเป็นพยานได้ หากถูกตำรวจจับฐานเป็นโจรปล้นทรัพย์สินมีฆ่าของคนตายเขาก็ไม่มีทางแก้ตัว ตำรวจจะเชื่อหรือถ้าบอกว่าทำตามคำสั่งเสียของชายหนุ่มผู้เสียชีวิต

ใจของชินอิชิโรเริ่มลังเลมากขึ้นทุกที หรือจะทำเป็นว่าตนเองเป็นเพียงคนร่วมทางมาด้วยกันไม่ได้ยินได้ฟังคำสั่งเสียอะไรทั้งนั้น แทนที่จะมานั่งวิตกกังวลหนักอกหนักใจไปกับการเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับความลับส่วนตัวของคนอื่น และรับฝากนาฬิกาทั้ง ๆ ที่ไม่รู้ว่าจะเอาไปคืนให้ใครเช่นนี้

พอคิดเช่นนั้น ชินอิชิโรก็ได้ยินเสียงแหบพร่าน่าเวทนาที่อะโอะกิเค้นออกมาจากลำคอที่คั่งไปด้วยเลือด สด ๆ สะท้อนก้องขึ้นมาในใจอีกครั้งว่า “ช่วยเอานาฬิกา เอานาฬิกาไปคืนให้ที” มโนธรรมของชินอิชิโรกระซิบเสียงเบาแต่เฉียบขาดว่า “ขี้ขลาด ถ้าทำอย่างนั้นได้เจ้าก็เป็นคนขี้ขลาด”

“ใช่ ก่อนอื่นต้องหาตัวผู้หญิงที่ชื่อรุริโกะให้ได้ เธออาจไม่ใช่คนที่ควรได้รับนาฬิกาคืน แต่ต้องสนิทกับชายหนุ่มคนนี้มากกว่าใคร ๆ นอกจากนั้นหากเราต้องตกเป็นผู้ต้องหาขโมยนาฬิกา เธอผู้นี้ก็จะเป็นพยานให้ได้แน่นอน”

ชินอิชิโรตกลงใจที่จะยึดเอา “รุริโกะ” อักษรสามตัวนี้เป็นที่พึ่ง และขณะที่กำลังจะเก็บนาฬิกาที่ไม่ใช่ของตนเองเอาไว้ในกระเป๋าลึก ๆ นั้นเอง
ตำรวจหนุ่มกำลังรีบรุดไปยังที่เกิดเหตุ
เสียงคนพูดกันที่ดังใกล้เข้ามาในทันทีนั้นทำให้เขาสะดุ้งสุดตัวเหมือนคนมีชนักติดหลัง และพอเหลียวขวับไปดูทางต้นเสียงก็เห็นคนสามสี่คนเกาะกลุ่มกับตำรวจที่ถือโคมไฟกำลังเร่งฝีเท้ามุ่งตรงเข้ามา

6

คนกลุ่มนั้นมากันสี่คนมีคนขับรถเดินนำหน้า ตามมาด้วยตำรวจหนุ่มและชายในชุดกิโมโนท่าทางเป็นหมอและตำรวจรับใช้วัยชรา

ชินอิชิโรเปิดประตูรถลงไปยืนต้อนรับ

ตำรวจหนุ่มยื่นโคมไฟเข้าไปในรถพลางถามว่า

“คนเจ็บเป็นยังไงบ้างครับ”

“เพิ่งสิ้นใจเมื่อครู่นี้เอง หน้าอกถูกกระแทกรุนแรงมาก ไม่มีทางรอดเลยครับ” ชินอิชิโรตอบ

ทุกคนนิ่งเงียบ แสงสลัวของโคมไฟส่องให้เห็นคนขับรถยืนตัวสั่นเทา

“ก่อนอื่น คุณหมอช่วยตรวจอาการหน่อยครับ” ตำรวจหนุ่มหันไปบอกชายที่ท่าทางเป็นหมอ คนขับรถเดินตัวสั่นมาหยิบไฟฉายประจำรถมาเปิด ทำให้บริเวณโดยรอบสว่างขึ้นทันที

“คุณไม่ใช่เพื่อนผู้เสียชีวิตใช่ไหมครับ” ตำรวจถามชินอิชิโรขณะมองดูหมอชัณสูตรศพ

“ไม่ใช่ครับ เพิ่งขึ้นรถยนต์คันนี้มาด้วยกันจากสถานีโคฟุ แต่รู้จักชื่อครับ เพราะนั่งคุยกันมา”

“ชื่ออะไรครับ” ตำรวจหนุ่มเปิดสมุดบันทึก

“ชื่ออะโอะกิ จุน เป็นนักศึกษาคณะศิลปศาสตร์ ไม่ทราบว่าพักอยู่ที่ไหน แต่ดูจากชื่อและหน้าตาแล้วคิดว่าน่าจะเป็นลูกชายของอะโอะกิ จุนโซ สมาชิกสภาขุนนาง แต่ก็ไม่ทราบนะครับ คุณตำรวจตรวจข้าวของส่วนตัวดูคงรู้แน่ในไม่ช้า”

ตำรวจหนุ่มพยักหน้ารับฟังคำให้การของชินอิชิโรเป็นช่วง ๆ
สภาขุนนางของญี่ปุ่นสมัยก่อนสงคราม
“คนขับรถเล่าเหตุการณ์ตอนเกิดอุบัติเหตุให้ฟังแล้ว แต่อยากฟังจากปากคำของคุณด้วย เพราะจะเชื่อแต่คนขับรถฝ่ายเดียวคงไม่ได้”

ชินอิชิโรอยากจะบอกออกไปทันทีว่าอุบัติเหตุครั้งนี้เกิดขึ้นจากความประมาทของคนขับรถ และยิ่งกว่าความประมาทคือความไม่รับผิดชอบ แค่ก็ไม่อาจปล่อยถ้อยคำรุนแรงอะไรออกไปได้เมื่อเห็นท่าทางสำนึกผิดของคนขับรถที่ยืนตัวสั่นเทาฟังการโต้ตอบระหว่างชินอิชิโรกับตำรวจอยู่ด้วยความหวาดหวั่น นอกจากนั้นแม้จะส่งเสียงประณามความผิดของคนขับรถให้กึกก้องเพียงใด อะโอะกิก็ไม่มีวันฟื้นคืนมา

“คนขับรถประมาทมากครับ แต่ก็มีร่องรอยว่าคุณคนนี้เปิดประตูรถออกไป คิดว่าถ้าไม่เปิดออกไปก็คงไม่ถึงตายหรอกครับ”

“อย่างนั้นเองหรือครับ” ตำรวจจดข้อความลงในบันทึกแล้วถามต่อว่า “ถ้าครอบครัวของผู้ตายยื่นฟ้องคดีต่อศาล อาจต้องขอให้คุณมาให้การเป็นพยาน ขอนามบัตรได้ไหมครับ”
ชินอิชิโรยื่นนามบัตรให้อย่างไม่ค่อยเต็มใจเท่าไรนัก

พอดีกับหมอลงมาจากรถด้วยท่าทางกังวลกับมือที่เปื้อนเลือด แล้วพูดกับชินอิชิโรว่า

“อาเจียนเป็นเลือดออกมามากมายเหลือเกิน อย่างนี้หลังได้รับบาดเจ็บคงอยู่ได้อีกไม่นาน”

“ครับ ยังมีลมหายใจอยู่ราว 30 นาทีได้ครับ”

“โดนเข้าขนาดนี้ไม่รอดหรอก” หมอพูดห้วน ๆ

“คุณพลอยรับเคราะห์ไปด้วย” ตำรวจหนุ่มพูดกับชินอิชิโร “แต่ถ้าเทียบกับคุณคนนี้แล้วก็นับว่าโชคดีที่รอดชีวิตมาได้ ดูเหมือนคุณกำลังจะไปยุงะวะระ ใช่ไหม คุณเดินไปที่มะนะซึรุก็แล้วกันผมจะให้จ่าคนนี้เป็นคนนำทาง สำหรับศพนี่ทางเรารับไว้แล้ว คุณจะไปไหนก็ได้ตามสบาย”

ชินอิชิโรรู้สึกโล่งใจที่ได้รับการปลดปล่อยออกจากความรับผิดชอบและหน้าที่ในส่วนนี้ แต่เมื่อคิดถึงนาฬิกาที่ก้นกระเป๋าแล้ว เขายังนึกไม่ออกว่าจะหลุดพ้นไปจากความรับผิดชอบเมื่อไร

ชินอิชิโรเดินไปใกล้ตัวรถแล้วหยุดยืนสงบนิ่งเป็นการไว้อาลัยชายหนุ่มผู้เคราะห์ร้ายเป็นครั้งสุดท้าย

เขาลาตำรวจและคนอื่น ๆ แล้วออกเดินตามจ่าตำรวจไปได้ไม่กี่ก้าวก็หยุดชะงักด้วยความตกใจ เมื่อนึกถึงสมุดบันทึกที่อะโอะกิขอให้เขาโยนทิ้งทะเลเล่มนั้นขึ้นมาได้ เขาเดินกลับไปที่รถ บอกกับใคร ๆ อย่างไม่ค่อยเต็มปากเต็มคำนักว่า

“ผมลืมของครับ”

“อะไรหรือคุณ” ตำรวจหนุ่มที่กำลังมองเข้าไปภายในรถหันมาถาม

“สมุดโน้ตครับ” ชินอิชิโรตอบด้วยเสียงค่อนข้างสูง

“เล่มนี้รึ” ตำรวจหนุ่มซึ่งดูเหมือนจะสังเกตเห็นตั้งแต่ต้น หยิบสมุดบันทึกเล่มนั้นจากเบาะที่นั่งมาส่งให้ ชินอิชิโรสะดุ้งเพราะเพิ่งเห็นว่าที่หน้าปกเขียนชื่อ จุน อะโอะกิ เอาไว้ด้วยปากกา แต่ยังดีที่ตรงนั้นมืดสลัวและตำรวจเองก็ไม่ได้ติดใจสงสัยอะไรแม้แต่นิดเดียว เขาจึงโล่งใจที่ได้ของที่ไม่ใช่ของตนเองมาเป็นของตน

ในที่สุดชินอิชิโรก็ตกลงใจออกตามหา “รุริโกะ” ตามที่มโนธรรมกระซิบเตือน โดยมีนาฬิกาฝังอัญมณีล้ำค่าเปื้อนเลือดกับสมุดบันทึกเล่มหนึ่งที่เป็นเสมือนลายแทง...เรื่องราวจะเป็นอย่างไรนั้น ขอเชิญติดตามตอนต่อไป
กำลังโหลดความคิดเห็น