MGR Online - ตำรวจเศรษฐกิจลาวเร่งดำเนินคดีกับ “เจ๊ทิบ” เจ้ามือแชร์ลูกโซ่วงใหญ่ มูลค่าหลายแสนล้านล้านกีบ ผู้เสียหายมากกว่า 1,600 คน หลังถูกส่งตัวกลับจากไทย เจ้าตัวยอมรับสารภาพ พร้อมจับผู้ร่วมขบวนการได้อีก 5 ราย เกือบทั้งหมดเป็นคนหนุ่ม-สาว อายุไม่ถึง 30 ปี
วันนี้ (19 ก.ย.) พ.อ.บุนอ้อม ไซยะวง หัวหน้ากรมตำรวจเศรษฐกิจ กองบัญชาการป้องกันความสงบ สปป.ลาว แถลงข่าวความคืบหน้าการดำเนินคดีกับนางพอนทิบ ไซปันยา หรือ “เจ๊ทิบ” และพวกรวม 7 คน ในคดีฉ้อโกงเงินประชาชน มีผู้เสียหายมากกว่า 1,600 คน คิดเป็นมูลค่าความเสียหายหลายแสนล้านล้านกีบ
พ.อ.บุนอ้อม กล่าวว่า จากการสอบสวนนางพอนทิบ อายุ 30 ปี และท้าวอานุสิด อายุ 34 ปี สามี อาศัยอยู่ที่บ้านหัวขัว เมืองไซเสดถา นครหลวงเวียงจันทน์ ทั้งคู่ให้การรับสารภาพว่าได้มีการเคลื่อนไหว โฆษณาชวนเชื่อเพื่อฉ้อโกงเงินประชาชนจริง
คดีนี้มีผู้เสียหายมาแจ้งความแล้ว 1,680 คน รวมมูลค่าความเสียหายจากที่ได้รับแจ้งความ แบ่งเป็นเงินกีบ 355,035,418 พันล้านกีบ เงินบาท 305,106,537 บาท และเงินดอลลาร์สหรัฐ 7,811,665 ดอลลาร์
ปัจจุบัน เจ้าหน้าที่ได้ยึดและอายัดทรัพย์สินของนางพอนทิบ ได้แก่ บ้าน ที่ดิน รถยนต์ และเครื่องประดับคล้ายเพชรไว้หลายรายการ นอกจากนี้ ยังได้จับกุมพรรคพวกที่ร่วมขบวนการกับนางพอนทิบ ไว้ได้อีก 5 คน ทั้งหมดมีภูมิลำเนาอยู่ในนครหลวงเวียงจันทน์ ประกอบด้วย นางสุพินทา อายุ 28 ปี อยู่บ้านหวยหง เมืองจันทะบูลี นางสุพาวัน อายุ 27 ปี อยู่บ้านดงโพนเลา เมืองหาดซายฟอง ท้าวสมพิด อายุ 26 ปี และนางไข่มุก ทั้งคู่อยู่บ้านโพนต้องสะหวาด เมืองจันทะบูลี และนางมีนา อายุ 33 ปี อยู่บ้านหนองด้วงทุ่ง เมืองสีโคดตะบอง
คดีของนางพอนทิบ หรือเจ๊ทิบ เป็นการฉ้อโกงเงินประชาชนในลักษณะแชร์ลูกโซ่รายล่าสุดในลาว ที่เรื่องเพิ่งแดงขึ้นเมื่อกลางปี 2565 ที่ผ่านมา ขบวนการนี้เริ่มก่อตัวขึ้นในปีที่แล้ว (2564) โดยนางพอนทิบ ซึ่งฉากหน้าทำธุรกิจเปิดร้านขายอัญมณีและทองคำแท่ง ชื่อ “ลายา จิวเวลรี่” มักแสดงตนผ่านสื่อออนไลน์ว่าเป็นผู้มีฐานะ โชว์ภาพการใช้ชีวิตที่หรูหรา
แต่ละวัน นางพอนทิบมักโพสต์ขายเพชร ขายอัญมณีที่มีราคาแพง และโพสต์ขายทองคำแท่งเป็นจำนวนมาก นอกจากนี้ ยังทำตัวเป็นเจ้ามือรับซื้อขายหวยออนไลน์ และมีชื่อเสียงในการถูกรางวัล “หวยพัฒนาลาว” อย่างต่อเนื่อง โดยมีการโพสต์ภาพถูกหวยงวดหนึ่งๆ ไม่ต่ำกว่า 400 ล้านกีบ (อัตราแลกเปลี่ยน ณ ปัจจุบัน 1 บาท เท่ากับราว 430 กีบ)
เมื่อเริ่มได้รับความเชื่อถือจากสังคม นางพอนทิบ ได้ประกาศรับฝากเงินจากคนทั่วไปโดยให้ดอกเบี้ยในอัตราที่สูงมาก มีการโฆษณาผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวว่า ใครนำเงินมาฝากกับเธอจะได้รับดอกเบี้ยสูงถึง 30% ของมูลค่าเงินที่ฝากไว้ต่อเดือน แต่มีเงื่อนไขว่าต้องนำเงินไปฝากอย่างน้อย 50 ล้านกีบขึ้นไป และผู้ที่สนใจให้โอนเงินเข้าไปยังบัญชีเงินฝากส่วนตัวซึ่งเปิดไว้ 3 บัญชี ได้แก่ บัญชีที่เป็นสกุลเงินกีบ บัญชีสกุลเงินบาท และบัญชีสกุลเงินดอลลาร์ ปรากฏว่ามีผู้หลงเชื่อโอนเงินไปให้นางพอนทิบจำนวนมาก
เดือนพฤษภาคม 2565 เริ่มปรากฏความไม่ชอบมาพากลขึ้น เมื่อเริ่มมีผู้ที่ฝากเงินไว้กับนางพอนทิบ หลายคนไม่ได้รับดอกเบี้ย เริ่มมีการพูดคุย สอบถามกันผ่านช่องทางสื่อออนไลน์ จากนั้นเมื่อเรื่องราวถูกกระจายออกไปเป็นวงกว้างในปลายเดือนมิถุนายน ปรากฏว่าผู้ที่ฝากเงินไว้กับนางพอนทิบ ทุกคนไม่มีใครได้รับดอกเบี้ย ทุกคนจึงทยอยเดินทางไปแจ้งความไว้กับกรมตำรวจเศรษฐกิจ
วันที่ 29 มิถุนายน 2565 มีรายงานยืนยันว่านางพอนทิบ พร้อมสามีเดินทางออกจากลาวมากบดานอยู่ในประเทศไทย กรมตำรวจเศรษฐกิจของลาวจึงได้ประสานงานมายังกองบัญชาการตำรวจแห่งชาติของไทย ให้ช่วยติดตามจับกุมตัวนางพอนทิบ และสามี เพื่อนำตัวกลับไปดำเนินคดีในลาว
กระทั่งวันที่ 29 กรกฎาคม 2565 ตำรวจชุดปราบปรามคนร้ายข้ามชาติของไทย สามารถจับกุมตัวนางพอนทิบ และสามีได้ที่บ้านหลังหนึ่งในย่านคลองสี่ จังหวัดปทุมธานี และส่งตัวทั้งคู่ให้กับตำรวจของลาว ผ่านสะพานมิตรภาพไทย-ลาว ที่จังหวัดหนองคาย ในวันที่ 31 กรกฎาคม.