เอเอฟพี/รอยเตอร์ - นายกรัฐมนตรีฮุนเซน ของกัมพูชา กล่าวตอบโต้นักวิจารณ์ที่ตั้งคำถามถึงการแต่งตั้งลูกชายทั้ง 3 ของเขาให้อยู่ในตำแหน่งระดับสูงในรัฐบาล และกองทัพ โดยอ้างถึงการศึกษาและคุณสมบัติ และปฏิเสธข้อกล่าวหาที่ว่าการแต่งตั้งเป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ “การเสริมอำนาจ”
ผู้นำเขมรวัย 66 ปี ปกครองกัมพูชามานาน 33 ปี และฝ่ายบริหารของเขาเต็มไปด้วยเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเชื่อมโยงกับครอบครัว ขณะเดียวกัน บุตรชายของฮุนเซน ก็อยู่ในตำแหน่งสำคัญของกองทัพ
ลูกชายสองคนของฮุนเซนเป็นสมาชิกระดับสูงของกองทัพ ส่วนลูกชายคนเล็กเป็นสมาชิกรัฐสภา และเป็นประธานคณะกรรมการรัฐสภาว่าด้วยเยาวชนและกีฬา
นักวิจารณ์ กล่าวว่า การแต่งตั้งที่เกิดขึ้นมีเป้าหมายที่จะผนึกอำนาจการควบคุมของฮุนเซนเหนือรัฐบาลและเศรษฐกิจ ในช่วงการเมืองตึงเครียดหลังการเลือกตั้งเดือน ก.ค. ที่ถูกวิจารณ์อย่างกว้างขวาง
แม้ฮุนเซน จะแสดงท่าทีไม่สนใจข้อกล่าวหาการเล่นพรรคเล่นพวก แต่ในคำกล่าวสุนทรพจน์ต่อบรรดานักเรียนในกรุงพนมเปญ ฮุนเซนได้กล่าวถึงการแต่งตั้งว่าเป็นผลจากการศึกษา และการฝึกฝนอบรม
“ผมอ่านข่าวที่ส่งให้ผมในเช้าวันนี้เกี่ยวกับประเด็นฮุนเซนแต่งตั้งลูกๆ ของตัวเอง ผมต้องการที่จะถามทุกคนว่า ลูกของผมเป็นมนุษย์หรือเปล่า พวกเขาเป็นพลเมืองใช่หรือไม่?” ฮุนเซน ตั้งคำถาม
“พวกเขาล้วนแล้วแต่จบการศึกษาระดับสูง ปริญญาเอกหรือปริญญาโท แล้วเหตุใดพวกเขาต้องทิ้งสิ่งเหล่านี้ไป ผมควรหางานให้พวกเขา” ฮุนเซน กล่าว
นักวิเคราะห์ กล่าวว่า ฮุนเซนครองอำนาจยาวนานหลายสิบปีจากการผสมผสานระหว่างประสบการณ์ทางการเมืองและเครือข่ายความจงรักภักดีในกองกำลังรักษาความมั่นคง และฮุนเซนกำลังฟูมฟักลูกชายของเขาให้เป็นผู้สืบทอด
เมื่อต้นเดือน ก.ย. ฮุน มาเนต ลูกชายคนโตของฮุนเซน ได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งประธานเสนาธิการร่วมและผู้บัญชาการกองบัญชาการกองทัพ ซึ่งรัฐบาลระบุว่า หน้าที่ความรับผิดชอบใหม่ของฮุน มาเนต นั้นเป็นไปตามความเหมาะสม
ส่วนลูกชายอีก 2 คนของฮุนเซน คือ ฮุน มานิต เป็นผู้บัญชาการหน่วยข่าวกรองกองทัพ และฮุน มานี ลูกชายคนเล็กเป็นสมาชิกรัฐสภาและกำกับดูแลกลุ่มเคลื่อนไหวเยาวชนกัมพูชาที่เชื่อมโยงกับพรรคประชาชนกัมพูชา (CPP)
พรรคประชาชนกัมพูชาของฮุนเซน ชนะที่นั่งในสภาไปทั้งหมด 125 ที่นั่งในการเลือกตั้ง ที่สหประชาชาติ และชาติตะวันตกบางส่วนระบุว่า เป็นการเลือกตั้งที่บกพร่องเพราะขาดซึ่งฝ่ายค้านที่น่าเชื่อถือรวมถึงปัจจัยอื่นๆ
พรรคกู้ชาติกัมพูชา (CNRP) พรรคฝ่ายค้านพรรคหลักของประเทศ ถูกศาลตัดสินยุบพรรคไปเมื่อปีก่อนตามคำร้องของรัฐบาล และแกนนำพรรคจำนวนหนึ่งถูกควบคุมตัว
สหภาพยุโรปเริ่มกระบวนการอย่างเป็นทางการที่อาจเป็นผลให้กัมพูชาถูกถอดสิทธิพิเศษทางการค้าจากประเด็นปัญหาสิทธิมนุษยชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากการเลือกตั้งครั้งดังกล่าว.