รอยเตอร์ - กลุ่มติดอาวุธมุสลิมโรฮิงญา ซุ่มโจมตีรถบรรทุกทหารในรัฐยะไข่ ทำให้สมาชิกของกองกำลังรักษาความมั่นคง ได้รับบาดเจ็บ 5 นาย ตามการรายงานของสื่อทางการและเจ้าหน้าที่ และกลุ่มก่อความไม่สงบได้อ้างความรับผิดชอบเหตุโจมตีดังกล่าว
การโจมตีหลายระลอกของกลุ่มติดอาวุธโรฮิงญาที่เกิดขึ้นกับด่านตำรวจเมื่อวันที่ 25 ส.ค. ก่อให้เกิดปฏิบัติการปราบปรามผู้ก่อความไม่สงบของทหารในรัฐยะไข่ ที่นำไปสู่ความรุนแรง และการลอบวางเพลิงอย่างกว้างขวางในพื้นที่ รวมไปถึงการอพยพของชาวบ้านโรฮิงญากว่า 650,000 คน ไปยังบังกลาเทศ
สหประชาชาติ กล่าวโทษการปราบปรามของทหารพม่าว่า เป็นการกวาดล้างชาติพันธุ์ ซึ่งทางการพม่าปฏิเสธข้อกล่าวหาดังกล่าว
แต่นับตั้งแต่วันที่ 25 ส.ค.เป็นต้นมา กองทัพกอบกู้ชาวโรฮิงญาแห่งยะไข่ (ARSA) ที่อ้างความรับผิดชอบเหตุการณ์โจมตีด่านตำรวจ 30 แห่ง ได้ก่อเหตุโจมตีเพียงไม่กี่ครั้งเท่านั้น
ทหาร ระบุว่า กลุ่มผู้ก่อการร้ายเบงกาลีหัวรุนแรง ARSA ก่อเหตุโจมตีรถบรรทุกที่กำลังนำคนไปโรงพยาบาลเมื่อวันศุกร์ (5)
“ยานพาหนะถูกโจมตีโดยผู้ก่อการร้าย 20 คน จากภูเขาที่ใช้ระเบิดแสวงเครื่อง และอาวุธขนาดเล็ก” รัฐบาลระบุ ขณะที่ทหารระบุว่า มีผู้โจมตีประมาณ 10 คน
ด้านโฆษกของ ARSA กล่าวว่า กลุ่มของเขาเป็นผู้ดำเนินการโจมตีดังกล่าว
“ใช่ ARSA รับผิดชอบเหตุการณ์การเคลื่อนไหวทางทหารครั้งล่าสุด” โฆษก ARSA กล่าว และว่ารายละเอียดอื่นๆ อาจเปิดเผยในภายหลัง
กลุ่ม ARSA ปฏิเสธความเกี่ยวข้องใดๆ กับกลุ่มมุสลิมหัวรุนแรง และระบุว่า กลุ่มกำลังต่อสู้เพื่อยุติการกดขี่ข่มเหงชาวโรฮิงญา
นิตยสาร Frontier Myanmar ในนครย่างกุ้ง อ้างคำกล่าวของชาวบ้านในหมู่บ้านใกล้เคียงที่เผยว่า ได้ยินเสียงปืนในช่วงเกิดเหตุซุ่มโจมตี ขณะที่หนังสือพิมพ์ของรัฐรายงานเมื่อวันเสาร์ (6) ว่า การต่อสู้ยังคงเกิดขึ้นหลังเหตุซุ่มโจมตีดังกล่าว
พื้นที่ส่วนใหญ่ในรัฐยะไข่ยังคงจำกัดการเข้าถึงของนักข่าว
พม่า และบังกลาเทศกำลังหารือถึงแผนการการส่งตัวผู้ลี้ภัยโรฮิงญากลับประเทศ แต่ความไม่มั่นคงในพม่าที่เพิ่มขึ้น ดูเหมือนจะยิ่งก่อให้เกิดข้อกังขาว่า กระบวนการส่งผู้ลี้ภัยกลับจะเกิดขึ้นได้อย่างไร.