เอเอฟพี - รัฐบาลพม่า เริ่มเก็บเกี่ยวข้าวจากผืนนาที่ถูกทิ้งร้างในพื้นที่ตอนเหนือของรัฐยะไข่ วานนี้ (28) ตามการเปิดเผยของเจ้าหน้าที่ ความเคลื่อนไหวที่เพิ่มความวิตกเกี่ยวกับโอกาสในการกลับคืนสู่ถิ่นเดิมของผู้ลี้ภัยกว่าครึ่งล้านชีวิตที่หลบหนีความรุนแรงในพื้นที่ไปบังกลาเทศ
พื้นที่บริเวณชายแดนของพม่ากลายเป็นพื้นที่ร้างผู้คน โดยเฉพาะชาวมุสลิมโรฮิงญา ตั้งแต่ช่วงปลายเดือน ส.ค. เมื่อทหารพม่าเริ่มดำเนินการปราบปรามผู้ก่อการร้ายโรฮิงญา ที่สหประชาชาติระบุว่า เป็นการกวาดล้างชาติพันธุ์
หมู่บ้านหลายร้อยแห่งถูกเผาราบ และชาวโรฮิงญามากกว่า 600,000 คน หลบหนีข้ามแดนไปบังกลาเทศเพื่อลี้ภัย
ภายใต้แรงกดดันจากทั่วโลก พม่าตกลงที่จะส่งตัวผู้ลี้ภัยกลับประเทศโดยต้องผ่านการตรวจสอบ และสามารถพิสูจน์ได้ว่าเป็นผู้อาศัยอยู่ในรัฐยะไข่
แต่รายละเอียดของแผนการส่งตัวผู้ลี้ภัยกลับนั้นยังไม่ชัดเจน และยิ่งสร้างความวิตกเกี่ยวกับผู้ที่ได้รับอนุญาตให้เดินทางกลับ ว่า คนเหล่านั้นจะกลับไปที่ใด และใช้ชีวิตอยู่อย่างไรในพื้นที่ที่ความรู้สึกเกลียดชังต่อต้านโรฮิงญาขยายตัวสูง
ในวันเสาร์ (28) รัฐบาลเริ่มเก็บเกี่ยวข้าวในทุ่งนากว่าเกือบ 180,000 ไร่ ในพื้นที่เมืองหม่องดอ พื้นที่ที่ประชากรส่วนใหญ่เป็นชาวโรฮิงญา และได้รับผลกระทบหนักที่สุดจากเหตุความรุนแรงที่เกิดขึ้น ตามการรายงานของสื่อทางการ และเจ้าหน้าที่
เจ้าหน้าที่จากหน่วยงานด้านการเกษตรของเมืองหม่องดอ ระบุว่า ทางการได้เข้าเก็บเกี่ยวข้าวในวันเสาร์ ทุ่งนาบางส่วนที่เข้าเก็บเกี่ยวผลผลิตนั้นเป็นของเบงกาลีที่หลบหนีไปบังกลาเทศ แต่ยังไม่ทราบว่า รัฐบาลจะดำเนินการอย่างไรกับข้าวเหล่านั้น
กลุ่มสิทธิมนุษยชนตำหนิการเก็บเกี่ยวพืชผลของรัฐบาล ว่า เป็นส่วนหนึ่งของความพยายามอย่างเป็นระบบที่จะกำจัดชาวโรฮิงญาออกไปจากรัฐยะไข่
ฟิล โรเบิร์ตสัน จากฮิวแมนไรท์วอทช์ ระบุว่า เจ้าหน้าที่รัฐให้ความสนใจกับนาข้าวที่ถูกทิ้งร้างเหล่านี้มากกว่าชาวโรฮิงญาที่เป็นผู้ปลูก
ส่วนองค์กรโฟร์ติฟายไรท์ (Fortify Rights) กล่าวว่า การเก็บเกี่ยวเป็นความเคลื่อนไหวที่อุกอาจของเจ้าหน้าที่ที่มีประวัติยาวนานเกี่ยวกับการยึดที่ดิน โดยเฉพาะในเขตพื้นที่ของชนกลุ่มน้อยชาติพันธุ์.