ข้อเรียกร้องในครั้งนี้ของกรีนพีช เล็งเป้าหมายให้ภาคการผลิตสินค้า Fast Moving Consumer Goods (FMCG) และบริษัทต่างๆ มองเห็นความสำคัญ “มลพิษของพลาสติก” เป็นอันดับต้นๆ โดยการนำเสนอแนวทางปฏิบัติ 4 ประการ
1.เปิดเผยข้อมูล "รอยเท้าพลาสติก(plastic footprint) โดยสาธารณชนสามารถเข้าถึงได้
2.มุ่งมั่นที่จะลดพลาสติกใช้ครั้งเดียวทิ้งโดยการตั้งเป้าหมายที่ชัดเจนในแต่ละปี
3.ขจัดพลาสติกใช้ครั้งเดียวทิ้งที่เป็นปัญหาและไม่จำเป็นมากที่สุดภายในปี 2562
4.ลงทุนกับระบบนำกลับมาใช้ซ้ำและระบบกระจายสินค้าแบบใหม่
เนื่องจากแบรนด์ผู้ผลิตเป็นส่วนสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลง ซึ่งทางกรีนพีซร่วมเป็นส่วนหนึ่งของงานรณรงค์สากล Break Free From Plastic จึงทำการสำรวจขยะที่ชายหาดวอนนภา จังหวัดชลบุรี เมื่อเดือนกันยายน 2561 เพื่อยืนยันว่าพบขยะจากแบรนด์ใดบ้าง และจากบริษัทใดมากที่สุด ก็เพื่อนำมาหยิบยกให้เห็นบทบาทของบริษัทผู้ผลิตในการจัดการปัญหามลพิษพลาสติกโดยเฉพาะอย่างยิ่งมาตรการลดการใช้พลาสติกที่ใช้ครั้งเดียวทิ้ง
ตามรายงานการตรวจสอบแบรนด์สินค้าจากขยะพลาสติก(Brand Audit) ที่เก็บได้จากบริเวณชายหาดวอนนภา จังหวัดชลบุรี พบว่าผู้ผลิตแบรนด์ข้ามชาติ 5 อันดับแรกที่พบจำนวนขยะพลาสติกมากที่สุด คือ โคคาโคล่า, เป๊ปซี่โค, ยาคูลท์, ยูนิลีเวอร์, และเนสท์เล่ ตามลำดับ ส่วนผู้ผลิตแบรนด์ในประเทศ 5 อันดับแรก ได้แก่ ดัชมิลล์, ซีพี กรุ๊ป,โอสถสภา, บริษัท เสริมสุข จำกัด และเครือสหพัฒน์ ตามลำดับ
ในการตรวจสอบแบรนด์ (Brand Audit) ครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมทำความสะอาดพื้นที่ (Clean up) โดยแนวร่วม Break Free From Plastic เกิดขึ้นใน 239 จุด ใน 42 ประเทศ ครอบคลุมทั้ง 6 ทวีป มีอาสาสมัครราว 10,000 คนเข้าร่วม และเก็บขยะพลาสติกรวมกันทั้งหมด 187,851 ชิ้น เพื่อระบุแบรนด์สินค้าจำนวนนับพันที่พึ่งพาพลาสติกใช้ครั้งเดียวทิ้งจนกลายเป็นมลพิษพลาสติกที่ปนเปื้อนในทะเล มหาสมุทรและแหล่งน้ำต่างๆ ทั่วโลก
สำหรับในประเทศไทย เก็บข้อมูลเมื่อวันที่ 15 กันยายนที่ผ่านมา โดยมีการจัดกิจกรรมทำความสะอาดพื้นที่บริเวณหาดวอนนภา มีอาสาสมัครเข้าร่วมกิจกรรม 50 คน เก็บรวบรวมขยะพลาสติก 2,781 ชิ้นเพื่อทำการตรวจสอบแบรนด์ แบ่งได้เป็นแบรนด์ของผู้ผลิตข้ามชาติ (foreign brand) 817 ชิ้น แบรนด์ของผู้ผลิตในประเทศ (local brand) 1,606 ชิ้น และส่วนที่ไม่สามารถระบุที่มาของผู้ผลิต 358 ชิ้น โดยขยะพลาสติกถึงร้อยละ 91 เป็น บรรจุภัณฑ์อาหาร(food packaging)
ธารา บัวคำศรี ผู้อำนวยการประจำประเทศไทย กรีนพีซ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กล่าวว่า"ผลการตรวจสอบแบรนด์จากขยะพลาสติกในประเทศไทยครั้งนี้สะท้อนให้เห็นการผลิตและการใช้บรรจุภัณฑ์พลาสติกครั้งเดียวทิ้งที่ล้นเกินและกลายเป็นมลพิษพลาสติกปล่อยออกสู่สิ่งแวดล้อม บรรจุภัณฑ์และผลิตภัณฑ์พลาสติกที่ใช้ครั้งเดียวทิ้งจึงก่อปัญหาที่ต้องลงมือทำอย่างเร่งด่วนเพื่อรับมือกับวิกฤตมลพิษพลาสติก"
"การประกาศเจตนารมย์ของบริษัทต่างๆ ยังคงขึ้นอยู่กับการรีไซเคิล และความสามารถในการนำมารีไซเคิล ในขณะที่ยังมีการเดินหน้าใช้พลาสติกแบบครั้งเดียวทิ้งเพิ่มมากขึ้นต่อไป ปัญหาขยะพลาสติกเริ่มต้นตั้งแต่ขั้นตอนการผลิต การบริโภค จนถึงการจัดการของเสียภายหลังการบริโภค เราไม่สามารถหาทางออกจากวิกฤตมลพิษพลาสติกได้เลย หากมุ่งไปที่การเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้บริโภคอย่างเดียวโดยละเลยการขยายความรับผิดชอบของผู้ผลิต (extended producer responsibility)"
ข้อมูลสำคัญ ประเทศไทยใช้พลาสติกแบบครั้งเดียวทิ้งกันอย่างแพร่หลาย โดยคนไทยใช้ถุงพลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวทิ้งถึง 70,000 ล้านถุงต่อปี อีกทั้งไทยเป็นหนึ่งในประเทศเอเชียที่รวมถึงจีน อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ เวียดนาม และศรีลังกา มีส่วนสำคัญที่ก่อมลพิษพลาสติกในทะเลถึงร้อยละ 60 ของขยะพลาสติกที่ถูกปล่อยทั้งหมดลงทะเลทั่วโลก ในปี พ.ศ.2559 ปริมาณขยะทั้งหมดที่ไม่มีการจัดเก็บหรือกำจัดอย่างเหมาะสมมีประมาณ 2.83 ล้านตัน และมีสัดส่วนขยะพลาสติกร้อยละ 12 โดยที่ขยะพลาสติกที่ไม่มีการจัดการร้อยละ 15 หรือ 51,000 ตันต่อปี มีปลายทางอยู่ที่ทะเล
ข้อมูลอ้างอิง : http://www.greenpeace.org/seasia/th/news/blog1/blog/61948/