xs
xsm
sm
md
lg

สังคมอุดมดรามา “เสก-กานต์” กับผู้หญิงอื่นๆ และลูก

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ตลอดทั้งสัปดาห์ที่ผ่านมา คงจะไม่มีข่าวไหนที่ช่วงชิงพื้นที่สื่อบันเทิง เป็น Talk of The Social ได้มากเท่ากับข่าวคราวของ “เสก โลโซ” กับเรื่องราวที่พัวพันกับอดีตภรรยา “กานต์-วิภากร” ที่เคยเป็นมวยคู่เอก แลกหมัดกันไปมาจนเป็นคดีความครึกโครม ก่อนจะเงียบหายไปพักใหญ่ และก็กลับมาเป็นข่าวอีกครั้ง ภายหลังที่ฝ่ายแรกลงโพสต์ภาพลูกชายคนแรก ที่เกิดกับ “แซนวิช-ปภาดา โชติกวณิชย์” อดีตสาวงามผู้ผ่านเข้ารอบ 80 คนสุดท้ายเวทีมิสยูนิเวิร์สปี 2013 และเป็นนักแสดงของช่อง 7 สี มีผลงานผ่านตา อาทิละคร “แก้วหน้าม้า” , “สาวน้อยอ้อยควั่น” , “นักบุญทรงกลด”

เรื่องราวของเสกกับแซนวิช เริ่มส่อเค้ามาตั้งแต่ช่วงวันลอยกระทงเมื่อปีก่อน จากการลงภาพคู่ขณะลอยกระทงด้วยกัน ซึ่งตอนแรกทางผู้จัดการส่วนตัวของฝ่ายหญิงก็ออกมาปฏิเสธทำนองว่า เป็นเพียงคนรู้จักที่ไปร่วมปาร์ตี้ด้วยกันเท่านั้น แต่เพียงผ่านไปไม่ถึงสัปดาห์ เป็นฝ่ายชายเองที่ออกมายืนยันว่าคบหากับนักแสดงสาวหญิงมาประมาณ 3-4 เดือนแล้ว

“ตอนแรกผมไม่ได้รู้สึกชอบเลย ผมรู้สึกว่าเขาตลก เขาไลน์มาจีบผมก่อน (หัวเราะ) แล้วผมก็มีความรู้สึกว่าชอบพี่แน่เลย ผมก็ถามเขา หลังๆ เขาก็บอกว่าผมน่ารักดี บอกว่าผมเถื่อนดี เขาบอกว่าผมเป็นคนตรงดี เขาชอบ”

ทว่าเรื่องที่หลายคนยังไม่รู้ ก็คือนักแสดงสาววิกหมอชิตคนนี้ เคยเป็นอดีตคนสนิทของนักข่าวใหญ่ผู้ทรงอิทธิพลในวงการบันเทิงคนหนึ่ง ก่อนที่จะมาคบหากับร็อกเกอร์หนุ่มอย่างเป็นทางการ

และถ้านับจากวันลอยกระทงปีก่อน มาจนถึงก่อนหน้านี้ ข่าวคราวของเสกกับแซนวิชแทบจะไม่ถูกพูดถึงอีกเลย กระทั่งวันที่เสกจงใจเปิดตัวลูกชายผ่านสื่อ

“ขอแนะนำ น้องลีออง {LEON} ด.ช.พัฒนศักดิ์ ศุขพิมาย {9 ก.ค. ปีระกา} ลูกชายคนล่าสุดของเฮียเองจ้าาา ... {ลูกคุณแซนด์วิช ปภาดา โชติก

พลันนั้นเองที่อดีตภรรยาอย่ากานต์-วิภากร ก็มีการเคลื่อนไหวด้วยการไล์ฟสด “แฉ” อดีตสามีแบบไม่ไว้หน้า ด้วยหลายๆ ข้อกล่าวหา
..... เป็นโรคจิต
..... ติดหนี้ 13 ล้าน
..... ทำร้ายจิตใจลูกอย่างรุนแรง เพราะผิดข้อตกลงที่ว่าจะไม่เปิดตัวลูกชายกับสื่อ

เพียงข้ามคืน กานต์ก็กลายเป็นที่ต้องการของบรรดาสื่อมวลชน ที่ตามไปเกาะติดสถานการณ์ในวันที่เปิดใจให้สัมภาษณ์กับรายการข่าวช่องหนึ่ง

แล้วสงครามน้ำลายก็ประทุขึ้นมาอีกครั้ง แม้ว่าไม่ได้ซัดกันต่อหน้า แต่ก็อาศัยช่องทางของสื่อโจมตีกันอย่างสนุกปาก

ถามว่าต้องการอะไรจากสังคม !!??

ไม่ว่าเสกจะเปิด หรือไม่เปิดตัวลูกชายคนใหม่ ก็คงไม่ได้มีส่วนในการทำร้ายหัวใจลูกชาย-หญิงทั้ง 3 คน เท่ากับการที่พวกเขาถูกทั้งพ่อ และแม่ ขยี้ความรู้สึกซ้ำแล้วซ้ำเล่าด้วยการประจานกันเองผ่านสื่อ ทั้งที่เรื่องบางเรื่อง เหตุการณ์บางเหตุการณ์ สมควรที่จะพูดคุย หรือปรับความเข้าใจกันในบ้าน โดยไม่จำเป็นที่ต่างฝ่ายต่างต้องมาขุดคุ้ย แฉโพย หรือดิสเครดิตฝ่ายตรงข้าม กลายเป็นอาหารปากอันโอชะของคนเสพสื่อ

เมื่อชีวิตคู่เดินทางถึงทางตัน และต้องจบลงด้วยการเลิกร้าง โดยที่ไม่สามารถที่จะเป็นกัลยาณมิตรที่ดีต่อกันได้ สิ่งที่เหมาะและควรก็คือการดำเนินชีวิตแบบต่างคนต่างอยู่ในพื้นที่ของตัวเอง ทำหน้าที่เป็นพ่อ และเป็นแม่ของลูกอย่างเต็มกำลัง และสุดความสามารถเท่าที่ตัวเองพึงกระทำได้

การที่ลูกๆ จะเปิดใจยอมรับการหย่าร้างของพ่อแม่นั้น ก็นับว่าลำบากพอดูแล้ว แล้วยิ่งเป็นการจบแบบศพไม่สวยแบบนี้ พูดได้เลยว่ามันเลวร้ายในความรู้สึกของเด็กตาดำๆ อย่างมาก

ลำพังพ่อ แม่ ด่ากัน ทะเลาะกันต่อหน้าลูกก็ไม่ใช่เรื่องดีแล้ว ยิ่งมากระทำผ่านสาธารณชนแบบนี้ ยิ่งไม่สมควร

เสกกับกานต์ได้ความสะใจ และลูกทั้ง 3 คน ได้อะไร ?? มีแต่เสียกับเสีย

เสียใจนั้นแน่นอนอยู่แล้ว แต่หนักๆ เข้า อาจจะกลายเป็นเสียจริต ที่จะต้องตกเป็นเป้าสายตาของใครต่อใคร ที่รับรู้เรื่องราวของพ่อและแม่ผ่านสื่อต่างๆ มาตลอดระยะเวลาแรมปี

เด็กๆ จะมองหน้าคนในสังคมได้สนิทใจหรือ??

ตรงกันข้ามอาจจะต้องคอยซ่อนตัวเองอยู่ในมุมหลืบ เพื่อหลบเลี่ยงจากสาตาของผู้คน ที่ไม่รู้ว่ามองมาด้วยแววตาที่บ่งบอกความรู้สึกแบบไหนกันแน่ ??

สงสาร เย้ยหยัน เวทนา หรือขบขัน !!???

จากบทความที่วิเคราะห์ปัญหาเชิงจิตวิทยาเกี่ยวกับผลกระทบที่เกิดกับเด็กที่พ่อ แม่ทะเลาะกันนั้น ระบุว่า

.....การทะเลาะกันระหว่างพ่อแม่ จะจำกัดโอกาสในการเรียนรู้การแก้ไขปัญหาที่ถูกต้องของเด็ก ทำให้เด็กจะขาดทักษะในการแก้ไขปัญหา โดยเด็กไม่ได้เรียนรู้วิธีการแก้ไขความขัดแย้งด้วยความอดทนหรือความเคารพซึ่งกันและกัน อีกทั้งยังซึมซับตัวอย่างจากพ่อแม่ ซึ่งทำให้กลายเป็นเด็กที่มีพฤติกรรมการแก้ไขปัญหาที่ไม่เหมาะสม หรือกลายเป็นปัญหาแก่ผู้อื่นเสียเอง
เมื่อเด็กสัมผัสกับความขัดแย้งเป็นระยะเวลานานติดต่อกัน ก็จะเกิดความผิดปกติทางด้านกระบวนการคิด โดยสมองจะหลั่งฮอร์โมนความเครียดออกมา ซึ่งอาจเป็นสาเหตุของการทำงานผิดปกติของสมอง และส่งผลให้เด็กมีความบกพร่องทางการคิด เช่น การแก้ไขปัญหา การใช้เหตุผล การจดจำ รวมไปถึงมีอาการคล้ายกับโรคสมาธิสั้น
ด้วยเหตุนี้ ผู้เป็นพ่อแม่ ผู้ปกครอง ควรจะควบคุมการโต้เถียง ไม่ใช้ความรุนแรง ในการแก้ปัญหา หาทางแก้ปัญหาด้วยการเจรจาอย่างสันติ เพราะเด็กที่เห็นพ่อแม่ถกเถียงกัน และหาข้อยุติด้วยการเจรจา จะทำให้เด็กเป็นคนมีเหตุผล รับฟังความคิดเห็นของคนอื่น ไม่ใช่จะเอาความคิดเห็น ของตัวเองเป็นใหญ่อย่างเดียว.....

และอีกเรื่องหนึ่งที่ต้องพึงระวังอย่างหนักก็คือ อย่าลืมว่าเสกไม่ได้มีเพียงลูกที่เกิดกับกานต์-วิกากรเท่านั้น หากแต่ยังมีลูกในวัยแบเบาะที่เกิดกับแซนวิชอีกคน (ยังไม่นับลูกคนอื่นๆ ที่อาจจะเกิดกับผู้หญิงคนใหม่อีก) ไม่ใช่เรื่องที่ดีงามเลย กับการที่จะใช้เด็กเป็นเครื่องมือในการทำสงครามประสาท หรือจะเพื่อเหตุผลใดก็ตาม น่าสงสารอนาคตของเด็กคนนี้ ถ้าจะต้องเติบโตขึ้นมารับรู้ปมปัญหาในครอบครัว หากว่าทุกคนที่เกี่ยวข้องยังไม่ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม

สุดท้ายปลายทาง ดูเหมือนว่าในวังวนนี้ มีแต่คนที่ต้องเสียศูนย์ และสูญเสีย

เสกกับกานต์ ก็สูญเสียความดีงาม และคุณค่าของความเป็นพ่อ และแม่ ที่มีส่วนร่วมในการทำร้ายลูก แม้จะโดยตั้งใจหรือไม่ก็ตาม

แซนวิชเอง ก็สูญเสียอนาคตในวงการบันเทิง ที่อาจจะสดใสกว่านี้ ถ้าไม่บังเอิญเข้ามาพัวพันกับเรื่องนี้ แถมยังมีความเป็นได้ค่อนข้างสูงว่าอาจจะต้องกลายเป็นคุณแม่ใบเลี้ยงเดี่ยวตั้งแต่ยังสาว

แต่ถ้าลองลำดับเรื่องราวที่เกิดขึ้น แล้วทบทวนดูว่าใครกันที่เป็นคนจุดชนวน ?

ไม่ว่าจะเรื่องชื่อ-นามสกุลของลูกชายแซนวิชที่ไม่ตรงกับที่เสกโพสต์ข้อความ

เรื่องที่พาดพิงว่าแซนวิชเองก็โดนเสกทิ้งไปหาผู้หญิงคนใหม่แล้ว
ฉะนั้นคนที่ต้องตอบคำถามสังคมว่าสิ่งที่ทำทั้งหมดนั้นด้วยเจตนาอะไรก็คือคนที่จุดชนวนเรื่องทั้งหมด
ทำเพราะรัก? ทำเพราะแค้นฝังหุ่น ? หรือทำเพื่อทวงสิทธิเงินที่ยังคงติดค้างอยู่จำนวน 13 ล้าน ?

ใครว่าละครน้ำเน่า ชีวิตจริง เน่ายิ่งกว่าละคร!!

ที่มา นิตยสาร ผู้จัดการ 360 องศา สุดสัปดาห์ ฉบับที่ 412 7-13 ตุลาคม 2560
กำลังโหลดความคิดเห็น