xs
xsm
sm
md
lg

วันนี้(ที่น่าหดหู่)ของดาราเก่า(ที่กำลังถูกลืม)

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ใดๆ ในโลกล้วนอนิจจัง เกิด แก่ เจ็บ ตายเป็นเรื่องธรรมดา

เช่นเดียวกับเรื่องของชื่อเสียง-เกียรติยศ และเงินทอง เมื่อเข้ามาได้ มันย่อมออกไปได้ไม่ว่าคนที่ได้รับมันมาจะเป็นใครก็ตาม

เพียงแต่กับใครบางคนเรื่องแบบนี้ยากนักที่จะทำใจ

เฉพาะอย่างยิ่งถ้าใครบางคนที่ว่าเคยยืนอยู่ในฐานะของคนที่เรียกว่า "ดารา" ซึ่งมีแต่คนรุมล้อม มีแต่คนอยากรู้จัก มีแต่คนพูดถึง เคยมีเงินและมีเกียรติ

..........

มีคนกล่าวไว้ว่าชีวิตของศิลปิน-ดาราก็คล้ายๆ กับพลุ

เวลาที่มีชื่อเสียงโด่งดังเป็นที่รู้จักก็เหมือนพลุที่ถูกจุดขึ้นไปเปล่งประกายแสง สว่างไสว ใครๆ ก็อยากเห็น อยากดู ชื่นชมถึงความสวยงาม แต่พลันที่พลุนั้นสิ้นแสง ตกลงมาบนพื้นดินกลายเป็นฝุ่นละออง ผงธุลี ณ เวลาดังกล้าวย่อมไม่มีใครที่จะสนใจก้มไปดู

ฉะนั้นจึงไม่แปลกอะไรหากเราจะพบว่ามีดาราหลายต่อหลายคนที่เราอาจจะลืมไปแล้วว่าครั้งหนึ่งเขาเคยยิ่งใหญ่ขนาดไหน ครั้งหนึ่งเขาเคยสร้างความสำราญให้กับเรามากมายเพียงใดหรือครั้งหนึ่งเราอาจจะเคยจดจำเขาในฐานะของฮีโร่เสียด้วยซ้ำไป

หากแต่วันนี้พวกเขาหลายคนกลับอยู่อย่างโดดเดี่ยว อยู่อย่างถูกลืม สุดยอดดาราตัวรองอย่าง "ลักษณ์ อภิชาติ" ตายไปอย่างที่ใครหลายคนแทบจะไม่รู้ข่าวคราว หลายคนอยู่อย่างยากไร้ มีเพียงเพื่อนที่ไม่น่าจะคบสักเท่าไหร่ที่ชื่อโรคภัยไข้เจ็บอยู่เคียงข้าง บางคนก็ถึงขนาดพิการ ซึ่งหลายคนอาจจะมองว่าพวกเขาทำตัวเอง เวลามีไม่ยอมเก็บไม่ยอมออม นั่นก็อาจจะส่วนหนึ่ง แต่ที่หลายคนยังไม่อาจจะเข้าใจก็คือคำว่าเลือดศิลปิน

บางคนของดาราเก่าจากนี้ไป แม้จะเป็นส่วนน้อยของดาราที่กำลังจะถูกลืม ทว่ามันได้สะท้อนภาพใหญ่ของความจริงบางอย่างออกมาให้เห็นชัดเจน

"เวลาเดินๆ เนี่ยขาจะเพลียแล้วหล่นไปเองครับ คล้ายๆ ไม่มีแรงขึ้นมาเฉยๆ ก็เลยต้องใช้ไม้ยันเพื่อกันหกล้ม ถ้าหกล้มแล้วเดี๋ยวเป็นอัมพฤกษ์จะแย่ไปมากกว่านี้"

เสียงชายวัย 79 บอกกับเรา ซึ่งแม้เวลาจะผ่านไปเนิ่นนานทว่าเค้าของความเป็น "ท้วม ทรนง" (ชูชีพ ช่ำชองยุทธ) ที่หลายคนคุ้นเคยก็ยังมีอยู่พอที่จะทำให้ภาพในอดีตที่คุ้นตากับหลายบทบาทการแสดงของเขาทั้งพระเอกจากหนัง "แผลเก่า" เมื่อสมัยครั้งที่หนังยังคงเป็นฟิล์ม 16 มม., ผลงานจาก "เกาะสวาทหาดสวรรค์", "เงิน เงิน เงิน" และ "อีแตน" หรือจะเป็นลีลาการทำหน้าที่พิธีกรในรายการ "แม่บ้านชิงทอง" ลอยมาให้เห็น

49 ปีของวงการมายากับการเป็นคนมีชื่อมีเสียงและมีเงิน ภาพจริงในวันนี้ "ท้วม ทรนง" คือคนแก่คนหนึ่งที่อยู่อย่างโดดเดี่ยวในห้องเช่าแถววัดสังเวช เวลาเดินต้องมีไม้เท้าใช้ยันอยู่ตลอดเพราะวันดีคืนดีขาทั้ง 2 ข้างที่เคยแข็งแรงก็เกิดอ่อนเปลี้ยหมดแรงขึ้นมาเอาดื้อ และนี่ก็เป็นสาเหตุที่ทำให้ลุงท้วมไม่มีงานการแสดงอีกเลย

"ผมไม่มีใคร นอกจากตัวคนเดียว lonely ก็อยู่ที่วัดสังเวชที่แฟลตนี่ รายได้ก็ได้จากพี่ป้าน้าอาน้องและเพื่อนๆ ให้มาบ้าง การกินอยู่ผมก็พอมีพรรคพวกแถวนี้ช่วย ส่วนเวลาไม่สบายโดยมากผมสั่งคนแถวนี้ไว้ขอให้มาช่วยดูผมบ้าง ผมจะเปิดประตูห้องแง้มๆ ไว้แล้วคล้องโซ่ไว้ครับ เวลาป่วยผมก็ตะโกนให้คนเข้ามาช่วย"

อาจจะไม่สามารถสร้างเสียงหัวเราะได้อีกแล้ว ทว่าข้อคิดจากาดาราเก่าคนนี้ก็เป็นสิ่งที่เราต้องจดจำเอาไว้เหมือนกัน
“ชีวิตเหมือนฟองน้ำน่ะครับ ถ้าคุณแช่เอาน้ำมาขันหนึ่งมันก็อยู่ได้ขันหนึ่ง ราดมาโอ่งมันก็อยู่ได้โอ่งคือไม่ต้องการอะไรมากแล้ว อย่าไปทะเยอทะยานเพราะถ้างั้นเราอยู่ไม่ได้ เราอยู่แบบมีน้อยรับน้อย มีมากรับมาก อย่าไปมองคนอื่นดีกว่าเรา เราก็มองว่าเรามีเท่าที่มีแล้วเท่าที่มีเรามีความสุขนั่นก็พอใจแล้ว แล้วเราก็ไม่ไปทำให้ใครเดือดร้อน แค่นี้ชีวิตก็มีความสุข"

"ทุกคนก็อยากมีชีวิตให้นานเท่านาน แล้วมีชีวิตอยู่เพื่อเห็นความเจริญของบ้านเมือง เพื่อเพื่อนฝูงอยู่ๆ ไปเป็นที่ชื่นอกชื่นใจของคนรุ่นหลาน ผมภูมิใจที่สุดคือว่ายังมีคนรู้จักผม ไปที่ไหนก็มีคนรู้ว่าคนนี้ชื่อท้วมเคยให้ความสุขเขาเมื่อตอนนู้นน...น่ะครับ(หัวเราะ)"

............

มีใครยังจำลุงแก่ๆ ท่าทางน่ากลัวๆ ที่ชอบเล่นละครแนวภูตผีปีศาจของช่อง 7 ได้บ้าง

จำได้หรือไม่ว่าคนๆ นั้นชื่อ "ประวิตต์ สุจริตจันทร"

ทุกครั้งในทุกฉากที่เราได้เห็นหน้าแกในจอทีวีเวลาที่ลุงวิตต์แสดงละครเรื่อง "ห้องหุ่น", "ปู่โสมเฝ้าทรัพย์" หรือ "ภูตพิศวาส" นั้น เชื่อว่าทุกคนต้องตื่นเต้นและสะพรึงกลัวกับบทบาทการแสดงของแกกันจนขนหัวลุกเกรียว

แต่ทั้งหมดคืออดีต

เพราะปัจจุบันลุงวิตต์เป็นเพียงชายใบ้(เพราะถูกตัดกล่องเสียง)วัย 85 ขี้โรค มีปอดเพียงข้างเดียว เป็นคนแก่ที่ต้องนั่งรถเมล์จากวิภาวดีมาที่ห้างเซ็นทรัล วังบรูพาทุกวันเพื่อมาคอยพนมมือไหว้ประหลกๆ เฝ้ารอคอยการบริจาคเศษเงินจากคนใจกุศลที่เดินผ่านไปผ่านมา หารายได้ประทังชีวิต

แม้จะมีใจสู้และไม่อยากขอใครกินเพียงอย่างเดียวด้วยการสู้อุตส่าห์แบกเอาพระจำนวนหนึ่งที่เคยสะสมมาให้คนได้เช่าเพื่อเป็นการสร้างรายได้อีกส่วนหนึ่ง แต่ถึงอย่างไรภาพของแกก็ไม่ได้ต่างอะไรไปจากวณิพกข้างถนนที่ไม่มีลูกหลานสักคนมาคอยดูแลส่งเสียด้วยเหตุผลเพราะแกเป็นโสด ส่วนบ้านที่อาศัยอยู่ก็เป็นของอดีตนักแสดงตลก "จันตรี สาริกบุตร" ที่ก็อยู่ในวัยชราเช่นเดียวกัน

ถึงลุงประวิตต์จะสื่อสารออกมาเป็นคำพูดไม่ได้และถึงแม้แกจะไม่ได้แสดงบทโศกให้เราดูแต่อย่างไร ทว่าประโยคที่แกเขียนเป็นตัวอักษร..."ผมมีชีวิตรอดอยู่ได้เพราะคนไทยมีแต่ความเมตตา”...ก็ทำเอาเราน้ำตาชื้นได้เช่นกัน

............

หากได้เห็นหน้านักแสดงอาวุโสท่านนี้ "รจิต วิญโญวนิช" เชื่อว่าหลายคนจะต้องร้องอ๋อและนึกหมั่นไส้แกขึ้นมาในทันทีเหมือนกันกับบทแม่ครัวปากกรรไกร ช่างเมาท์ และคอยหาเรื่องฝ่ายนางเอกอยู่เสมอ ทั้งจาก "เจ้าสาวของอานนท์", “หลานสาวคุณหญิง”, “ปลายทางฉิมพลี”, “แหวนทองเหลือง” ฯลฯ

กับวัย 77 ปี แม้ภายนอกจะดูแข็งแรงแต่แท้ที่จริงแล้วตอนนี้ป้ารจิตมีอาการหลงๆ ลืมๆ สติเลอะเลือน พูดรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้างมานานเป็นปีแล้ว บางครั้งก็เป็นหนักถึงขั้นขังตัวเองอยู่ในห้อง แล้วตะโกนขอความช่วยเหลือจากเพื่อนบ้านให้มาช่วยงัดห้องให้ ทั้งๆ ที่กุญแจก็อยู่กับตัวแก

ก่อนหน้านี้ป้ารจิตเคยไม่ได้อยู่คนเดียว แต่ด้วยความที่เป็นคนโมโหร้ายจึงไม่มีลูกหลานมาอยู่เป็นเพื่อน ส่งผลให้การเป็นอยู่ค่อนข้างลำบากมากมีเพียงเพื่อนบ้านที่ชื่อ "ตุ๊ก" ซึ่งเปิดร้านขายอาหารอยู่ข้างบ้านได้ให้อาหารแกประทังชีวิตไปวันๆ ล่าสุดแม้หลานชายคนโตของแกจะทราบข่าวถึงอาการไม่สบายและได้มาอยู่ด้วย ทว่าความเป็นอยู่ทั้งของแกและของหลานก็ยังขัดสน มีบ้าง ไม่มีบ้างอยู่เช่นเดิม

..........

เอ่ยชื่อ "ลุงโกร่ง กางเกงแดง" หลายคนต้องร้องอ๋อและนึกภาพออก

แม้จะไม่แข็งแรงนักเพราะมีโรคประจำตัวทั้งโรคหืดกับถุงลมโป่งพอง ประกอบกับยังพอจะมีงานภาพยนตร์, ละครและงานโชว์ตัวเข้ามาบ้าง(แบบน้อยเต็มทน) แต่กับการต้องหาของออกไปตะลอนขายตามสตูดิโอที่เขาอัดรายการอยู่เสมอๆ คงจะเป็นเครื่องที่ยืนยันได้ว่าชีวิตของลุงโกร่งในวันนี้คงจะไม่ได้สุขสบายอย่างแน่นอน

เมื่อก่อนลุงโกร่งยังพอมีลูกสาวที่คอยส่งเงินมาให้ใช้เดือนละหมื่น แต่ไม่กี่เดือนมานี้เองลูกสาวที่เป็นที่พึ่งเพิ่งโดนรถทับจนเสียชีวิต ทำให้ความยากลำบากมาเยือนชีวิตแกทันที

"เราอยู่คนเดียวก็กินแค่ข้าวต้มกับหัวไชโป๊ว กินมันเรื่อยเปื่อย แล้วก็แกล้งบอกว่าลดความอ้วน ที่แท้เราไม่มีโอกาสกินเป็ดไก่ ถ้าเรากินข้าวมันไก่ก็เอาปีกๆ มันก็ถูกตังค์หน่อย เราต้องไม่ฟุ่มเฟือยเพราะถ้าอยู่บ้านเราเปิดพัดลมมันก็เปลืองไฟ เปิดห้องน้ำก็เปลืองเดือนหนึ่งก็เสียพันกว่าบาทแล้วน่ะ"

เห็นลุงโกร่งหัวเราะร่าต่อหน้าผู้คนมากมาย และยิ้มสู้กล้องอยู่ตลอดรวมทั้งตอนที่พูดคุยกับเรา แต่ใครเลยจะรู้ความในใจของลุงโกร่งที่ต้องทนทุกข์กับปัญหาส่วนตัวของตัวเองตามลำพังคนเดียวแบบนี้

"เวลานี้ที่มันทุกข์หนักที่สุดร้ายที่สุดใครก็ช่วยลำบาก ก็ลูกสาวลุงก็ตายแล้วน่ะ เสร็จแล้วบ้านที่อยู่ปัจจุบันก็กำลังจะถูกยึดอีกแล้ว ใบยึดยังพกอยู่เรื่อย ก็พกไปอย่างนั้นเองน่ะเพราะว่าลุงไม่ใช่คนซังกะตาย ลุงไม่ยอม ลุงคึกคักอยู่เรื่อยน่ะ ช่างมัน ทุกคนจะบอกว่าถึงลุงจะแย่ยังไงแกก็ไม่หาความเดือดร้อนให้ใคร เราอยู่มาถึงป่านนี้แล้ววงการ 48 ปีเนอะ เราทำบุญมาก็เยอะทำไมต้องเป็นอย่างนี้"

"เดี๋ยวนี้ไปขายของกินเท่ากับเบี้ยต่อไส้ไปวันๆ น่ะ นี่ก็เตรียมรื้อของที่บ้านเตรียมย้ายแล้ว ก็ยังไม่รู้เหมือนกันนะว่าจะไปอยู่ที่ไหน แต่คนเราก็ต้องสู้ให้ถึงที่สุดน่ะนะ (ถอนหายใจ) แต่อย่าเศร้าใจตามลุงนะ อย่าๆ(หัวเราะ)”

"ถามว่าความสุขของลุงตอนนี้คืออะไรเหรอ ไม่รู้ดิก็ใช้ชีวิตไปวันๆ ขับรถไปซื้อของมาขายพรุ่งนี้มั้ง(หัวเราะ) ก็ไม่รู้เหมือนกัน เพราะความสุขมันไม่ค่อยได้เจอ...แต่ถ้าถามว่ามีชีวิตอยู่เพราะอะไร ก็เพราะเพื่อนฝูงมากกว่า อย่างเมื่อกี๊ก็โทรหาจอย ชวนชื่นว่าจะเอาของอะไรมั้ย จะเอาไปขายมัน จอยก็บอกเอาถุงเท้าพ่อ สัก 6 คู่ กำไรก็ไม่มากแต่มันมีพลังแฝงอยู่ว่า เฮ้ย! เมื่อก่อนจอยมันยังไม่ดัง แต่มันดังมันก็ยังรักเรา เออ ได้มาอย่างนี้ก็ชื่นใจ"

"อย่างนีโน่ จิ้ม ชวนชื่น ป๋าเทพ ปัญญา ก็ช่วยซื้อ บางทีก็ให้ตังค์มา บางวันขายของได้เป็นพันนะ กำไรก็ไม่เท่าไหร่ แต่มันกลับบ้านด้วยความสบายใจ หลับปุ๋ย เออ พวกนี้ก็ยังดีกับเรา อันนี้ใช่ความสุขรึเปล่าไม่รู้นะแต่มันก็ชื่นใจ"

**********

ที่พึ่งสุดท้าย

นักแสดงอาวุโสที่ยากไร้ที่ยังคงต้องการความช่วยเหลือนั้นไม่ได้มีเพียงแค่บุคคลที่เราเอ่ยมาข้างต้นเท่านั้น เพราะจากข้อมูลของ "มูลนิธิสวัสดิการนักแสดงอาวุโส" ระบุว่าที่มูลนิธิฯ มีสมาชิกแจ้งเข้ามาขอความช่วยเหลือประมาณ 100 กว่าคนแล้ว โดย "ต้อย เศรษฐา ศิระฉายา" ในฐานะประธานมูลนิธิฯ ได้คาดการณ์ว่าจะมีตัวเลขของสมาชิกสูงขึ้นเรื่อยๆ อีกด้วย

"การช่วยเหลือของเรามีกติกาว่าจะช่วยเหลือคนที่เจ็บไข้ได้ป่วยและก็เสียชีวิตแค่นั้นเอง ก็คือเราจะมอบเงินให้เป็นค่ารักษาพยาบาลให้ แต่ถ้าเป็นกรณีที่หนักๆ เราก็พาไปโรงพยาบาลและดูแลให้ทั้งหมด"

"แต่บางคนที่เป็นสมาชิกในมูลนิธิฯ เขาก็ไม่ได้ลำบากอะไรนะ เขามาเป็นสมาชิกเพราะอยากเจอเพื่อนฝูงที่จากกันไปตั้งนานแล้วไม่ได้เจอกันเลยอย่างนี้ได้มารวมตัวกัน ก็เป็นความสุขอย่างหนึ่ง เราก็เป็นสื่อกลางให้พวกเขาได้เจอกัน เหมือนอย่างที่เราจัดให้อาสมควร กระจ่างศาสตร์แกไม่ได้ลำบากนะครับ แกมีลูกมีภรรยาที่ดีคอยดูแลแต่ว่าสิ่งที่แกปรารภขึ้นมาคือคิดถึงคนโน้นคนนี้นะ เราก็เลยจัดคนไปเยี่ยมแกที่บ้าน โอ้โห! ผมว่าวันนั้นเราได้ผลทางจิตใจมากกว่าที่เราจะเอาเงินไปให้แกซะด้วยซ้ำไป"

รายได้ต่างๆ ที่เข้ามาในมูลนิธิฯล้วนเป็นเงินที่ได้รับการบริจาคจากผู้มีจิตศรัทธาต่อนักแสดงอาวุโสแทบทั้งสิ้น

"มูลนิธิฯ มีข้อบังคับว่าเราจะไปหาเงินรายได้เองไม่ได้ ฉะนั้นมูลนิธิฯคือขอรับบริจาคอย่างเดียว บางคนก็ให้เรามาเฉยๆ ก็อยู่ที่จิตศรัทธาครับ บางคนเยี่ยมมากเลยเขาบอกว่าเขาได้รับความสุขจากนักแสดงอาวุโสพวกนั้นมานานแล้ว แล้วเขาไม่รู้จะช่วยเหลือยังไง การที่มีมูลนิธิฯ ขึ้นมาก็จะรู้ว่าเออเอาเงินมาให้มูลนิธิฯ มูลนิธิฯ จะได้เอาเงินไปช่วยเหลือตรงนั้นได้ หรือบางหน่วยงานก็จะจัดงานของเขาเอง แล้วเขาก็เอาเงินรายได้มามอบให้เราครับ"

** พบเห็นนักแสดงอาวุโสที่ยากไร้ ขาดที่พึ่งพิงสามารถแจ้งได้ที่ มูลนิธิสวัสดิการนักแสดงอาวุโส 66 ศาลาเฉลิมกรุง ชั้น 4 ถ.เจริญกรุง แขวงวังบูรพาภิรมย์ เขตพระนคร กรุงเทพฯ 10200 หรือโทรมาที่ 0-2623-7806 **
กำลังโหลดความคิดเห็น