เพรงลับแล ตอนที่27 | แอบรักเธออยู่ในใจ
บทประพันธ์และบทโทรทัศน์โดย | อาณาจินต์
พีรพรรดยืนน้ำต้นไม้อยู่ที่หน้าบ้านพักด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย ยังเสียใจเรื่องการตายของอนุชิตไม่หาย
“พี่นุ พี่ไม่ต้องเป็นห่วงต้นไม้ที่พี่ปลูกเอาไว้นะ ผมสัญญาว่าจะดูแลมันแทนพี่เอง ขอให้พี่ไปสู่สุคติ ไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องอะไรทั้งนั้น”
มีเสียงคนเปิดประตูบ้านเดินลงมา
“ตื่นแล้วเหรอพี่ทศ...”
พีรพรหันไปดูนึกว่าเป็นทศนนท์ แต่ต้องเหวอสุดขีด เมื่อเห็นปรางทิพย์เดินน้ำตาซึมผ่านเขาออกไปที่ถนนหน้าบ้าน
“คุณ...คุณปราง มาตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ...”
ปรางทิพย์เดินเลยไป เหมือนไม่ได้ยินที่พีรพรถาม ตรงไปที่ประตูรั้วบ้าน
เนตรมายาและเชื่อมเดินเข้ามาพอดี เจ้าแม่หยุดประจันหน้ากับปรางทิพย์จังๆ
“แกยังมีหน้ามายุ่งกับคุณทศอีกเหรอ นังผีแม่ม่าย”
“ดูสิเจ้าแม่ ไม่มียางอายเลยสักนิด” เชื่อมพยักพเยิด
“ฮึ เดินซึมออกมาขนาดนี้ คุณทศเขาคงรู้แล้วสินะว่าแกเป็นนังผีร้าย เป็นฆาตกรฆ่าเพื่อนของเขา”
ปรางทิพย์เดินผ่านเนตรมายาและเชื่อมไปอย่างคนไร้ความรู้สึก สองคนมองตามงงๆ
“เจ้าแม่ มันเดินออกมาจากบ้านคุณทศแต่เช้า หรือว่า...มันมาค้างที่นี่”
“ค้างที่นี่...แก...ตายซะเถอะแก”
เนตรมายาโกรธจัด ถอดสร้อยประคำที่ข้อมือออกมาขว้างใส่ปรางทิพย์
นิรชาและกฤตณีเดินผ่านมาเห็นเข้า ร้องลั่น
“คุณเนตร ทำอะไรน่ะ” / “เจ้าแม่ ทำอะไรน่ะ”
นิรชาพุ่งเข้าไปปัดสร้อยประคำที่กำลังจะโดนตัวปรางทิพย์เอาไว้ได้ทัน สร้อยตกลงพื้น
“นี่คุณ มันจะมากไปแล้วนะ ใช้กฎหมู่ บุกไปค้นบ้านเขายังไม่พอ นี่ยังคิดจะลอบทำร้ายกันอีกเหรอ”
“แบบนี้ถ้าไม่เห็นคุกเห็นตะรางกันบ้างคงไม่สำนึกสินะ เอาเลยค่ะคุณปราง แจ้งตำรวจจับพวกนี้เลย...”
กฤตณีหันมาจะพูดกับปรางทิพย์ แต่ก็ต้องเก้อไป เมื่อเห็นปรางทิพย์เดินไปไกลแล้ว
“อ้าว ไหงเดินไปเฉยเลย”
เนตรมายาหัวเราะเยาะ “ดูสิเจ้าตัวเขาเองยังไม่เป็นเดือดเป็นร้อน พวกคุณก็อยู่ส่วนของคุณดีๆ เถอะ”
เชื่อมพลอยพยัก “ใช่ ชอบจุ้นสาระแนไม่เข้าเรื่อง”
กฤตณีโกรธเป็นฟืนเป็นไฟจะเถียงต่อ แต่นิรชาดึงเอาไว้ ส่วนพีรพรก็รีบวิ่งเข้ามาห้ามทัพตัดบท
“เอาละครับๆ ไม่ต้องเถียงกัน คุณเนตร มาหาพี่ทศหรือเปล่าครับ”
“ค่ะ”
“งั้นเชิญข้างในเลยครับ”
พีรพรเดินนำเนตรมายาเข้าบ้านไป เชื่อมเดินไปหยิบประคำที่หล่นอยู่ที่พื้นแล้วเดินตามไป แต่ยังไม่วายหันมาขึงตามองใส่สองครูสาว กฤตณีฮึดฮัดขัดเคืองใจเป็นอย่างมาก
“คนอะไรก็ไม่รู้ น่ารังเกียจจริงๆ ดูสิบุกมาหาผู้ชายแต่เช้า สงสัยจะมาปั่นหูคุณทศเรื่องผีบ้านคุณปรางอีก”
“ช่างเขาเถอะคิตตี้ คุณทศไม่เชื่อเรื่องงมงายพรรค์นั้นหรอก”
นิรชาและกฤตณีพากันเดินออกไป
พีรพรพาเนตรมายาและเชื่อมเข้ามานั่งรอที่โต๊ะรับแขก เจ้าแม่ถามเสียงขุ่นขึ้นมาทันที
“นังผีแม่ม่ายนั่นมาทำอะไรที่นี่แต่เช้าคะคุณพี”
“ใครเหรอครับ” พีรพรงง
“ก็ที่เดินสวนออกไปเมื่อกี้ไงคะ” เชื่อมบอก
“ผมไม่ทราบครับ ถ้าอยากรู้คงต้องถามพี่ทศเอาเอง”
พูดจบพีรพรก็เดินออกไปเลย ไม่ทันให้เนตรมายาซักอะไรต่อ
ไม่นานนักทศนนท์ก็ลงจากชั้นบน เดินเข้ามาที่โต๊ะรับแขก เห็นเนตรมายาและเชื่อมนั่งอยู่ก็แปลกใจ
“คุณเนตร ป้าเชื่อม มาทำอะไรแต่เช้าครับ”
เนตรมายาเห็นทศนนท์ รีบลุกเดินเข้ามาหา ถามด้วยสีหน้ายิ้มแย้มดีใจ
“คุณทศ คุณปลอดภัย ไม่เป็นอะไรใช่ไหมคะ”
“ครับ ผมสบายดี มีอะไรหรือครับ”
“เมื่อกี้ฉันเจอนังปรางทิพย์ที่หน้าบ้าน ฉันกลัวว่ามันจะมาทำร้ายคุณ”
“ขอบคุณครับที่เป็นห่วง แต่ผมไม่เป็นไร คุณมีธุระอะไรกับผมหรือเปล่า”
“ฉันเป็นห่วงคุณ เลยอยากมาเตือนให้คุณอยู่ห่างจากนังปีศาจนั่น”
ทศนนท์ชักเริ่มรู้สึกรำคาญและไม่อยากฟังสิ่งที่เนตรมายาพูด
“พอเถอะครับคุณเนตร ขอบคุณที่เป็นห่วงผม แต่ตอนนี้ผมรู้สึกไม่ค่อยสบาย ขอตัวนะครับ”
ทศนนท์เดินออกไป แต่เนตรมายาเดินมาขวางไว้
“เดี๋ยวค่ะคุณทศ ฉันรู้ว่าคุณรำคาญที่ฉันพูดเรื่องนังผีแม่ม่ายนั่นกับคุณบ่อยๆ แต่ที่ฉันพูดฉันเตือนคุณมันเป็นเรื่องจริง แล้วฉันก็มีหลักฐานมายืนยันกับคุณด้วย”
เนตรมายาเปิดโทรศัพท์มือถือแล้วยื่นภาพส่งให้ทศนนท์ดู
ทศนนท์รับไปดูด้วยสีหน้าเฉยเมย เนตรมายาใส่ไฟไม่ยั้ง
“นี่คือห้องลับที่เจอในบ้านของนังปรางทิพย์ ดูจากสภาพห้องคุณน่าจะดูออกว่า มันมีไว้ทำอะไร”
ทศนนท์ส่งมือถือคืนให้ บอกด้วยสีหน้าเรียบเฉย ไม่รู้สึกใดๆ
“มันก็เหมือนห้องเก็บของทั่วๆ ไป”
“ไม่ใช่นะคุณทศ ห้องนี้มันเป็นห้องที่นังผีแม่ม่ายมันเอาไว้ฆ่าคน”
ทศนนท์มองจ้องหน้าเนตรมายาอย่างไม่พอใจ “นี่คุณไปบุกรุกบ้านคุณปรางอีกแล้วใช่ไหม”
เชื่อมแก้ให้ว่า “เจ้าแม่แค่ต้องการไปค้นหาความจริงต่างหากล่ะ”
“มันก็ความหมายเดียวกันล่ะครับ พวกคุณบุกเข้าบ้านคนอื่นโดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ถือเป็นการบุกรุก”
เนตรมายาดักคออย่างไม่พอใจ “คุณพูดเหมือนเข้าข้างมัน นี่คุณรู้ทุกอย่างหมดแล้วใช่ไหม”
“เปล่า ผมไม่ได้รู้ทุกอย่าง” นายช่างเจ้าเสน่ห์ปฏิเสธ
เนตรมายาไม่เชื่อ “ฉันว่าคุณต้องรู้แน่ รู้ทั้งรู้ว่านังนั่นเป็นผีร้าย เป็นผีแม่ม่ายที่เที่ยวฆ่าคน แล้วมันยังฆ่าเพื่อนของคุณด้วย คุณยังจะคิดปกป้องมันอีกหรือคะคุณทศ”
ทศนนท์อึ้งไปครู่หนึ่ง แล้วเดินหนีไปเป็นการตัดบท
เนตรมายากับเชื่อมมองหน้ากันอย่างเจ็บใจ
กฤตณี นิรชา กลับถึงบ้านแล้ว เวลานี้กำลังช่วย ขายข้าวราดแกง และช่วยเสิร์ฟกาแฟให้กับลูกค้าที่มานั่งกินในร้าน พอเสร็จกฤตณีก็เดินเข้ามากระซิบคุยกับนิรชา
“นี่เนียร์ ฉันยังข้องใจไม่หายว่าคุณปรางกับยัยเจ้าแม่นั่น ไปรุมหาคุณทศกันทำไมแต่เช้า”
“อาจจะเป็นเรื่องที่ไปบุกค้นบ้านคุณปรางหรือเปล่า”
กฤตณีคิดตาม “อืม...น่าจะใช่ แต่ทำไมต้องไปบ้านคุณทศกันด้วย”
นิรชาเองก็ไม่รู้จะตอบกฤตณีอย่างไรดีเหมือนกัน จนตาลอยู่ใกล้ๆ แทรกขึ้น
“ก็คุณทศเขาหล่อยังไงล่ะลูก ไม่ว่าสาวๆ คนไหนก็อยากเข้าหากันทั้งนั้น”
ศักดิ์หัวเราะ คุยโต “เหมือนตอนที่พ่อหนุ่มๆ ไง วันๆ มีแต่สาวๆ หาเรื่องเข้ามาให้ปวดหัวไม่เว้นแต่ละวัน”
“แหม...กล้าพูดนะพ่อ แบบนี้ก็หาว่าแม่เข้าหาพ่อเหมือนกันสิ”
“อ้าวๆๆ พูดให้มันดีๆ นะพ่อ เห็นไหมลูกมันเข้าใจผิดใหญ่แล้ว แม่น่ะไม่เคยหาเรื่องเข้ามาพ่อเลยนะ มีแต่พ่อวิ่งไล่ตามแม่ต้อยๆๆ”
“จ้าๆๆ พ่อวิ่งไล่ตามแม่ แม่น่ะเป็นกุลสตรี ไม่เคยวิ่งไล่ตามใครเลย”
ตาลหมั่นไส้เดินเข้ามาตีแขนศักดิ์เบาๆ เชิงกระเซ้าเย้าแหย่กัน
ระหว่างนี้พีรพรเดินเข้ามาในร้านเปิดดูหม้อกับข้าวสั่งอาหารทาน
“ขอข้าวราดแกงเผ็ดจานนึงครับน้าตาล ชาเย็นแก้วด้วยนะครับน้าศักดิ์”
จากนั้นพีรพรก็เดินไปนั่งรอที่โต๊ะที่ว่างอยู่
ไม่นานนัก กฤตณีก็ถือจานข้าวและน้ำชาเย็นเดินมาส่งให้ที่โต๊ะ เลียบๆ เคียงๆ ถามเรื่องคาใจ
“ข้าวกับชาเย็นได้แล้วค่ะ”
“ขอบคุณครับ”
“มาคนเดียวเหรอคะคุณพี”
“ครับ ผมลี้ภัยออกมาก่อน อีกสักพักพี่ทศคงตามมา”
“โห ถึงกับลี้ภัยเชียว”
“ใช่สิครับ อย่างเมื่อกี้คุณก็เห็น ดีนะที่พวกคุณช่วยคุณปรางเอาไว้ได้ ไม่งั้นไอ้สร้อยนั่นโดนหัวคุณปรางเต็มๆ เลย คุณเนตรนี่อะไรนักหนาก็ไม่รู้ ตามหึง ตามหวงพี่ทศอยู่นั่นแหละ”
กฤตณีขยับเก้าอี้นั่งลงคุยกับพีรพรด้วยความอยากรู้
“ทำไมเหรอ เขาหึงอะไรกัน”
“คนเป็นแฟนกัน จะอยู่จะค้างด้วยกัน มันก็เรื่องปกติปะ”
พีรพรกินไปบ่นบ้าไปเรื่อยเปื่อยตามประสา กฤตณีตาโตตกใจ อุทานเสียงดัง
“อะไรนะ ค้างคืนด้วยกันเหรอ”
นิรชา ศักดิ์ ตาล หันไปมองเป็นตาเดียวกัน
พีรพรตกใจเมื่อรู้ตัวว่าเผลอพูดอะไรออกไป รีบปฏิเสธเสียงสูง แถไปน้ำขุ่นๆ
“ผมไม่ได้พูด ผม...ผมหมายถึง คนเป็นแฟนกันจะไปมาหาสู่กัน มันเป็นเรื่องปกติไง คุณเนตรไม่มีสิทธิ์ไปตามหึง ตามหวงพวกเขา คุณว่าอย่างนั้นไหม”
กฤตณีพยักหน้ารับ “อืม มันก็ใช่”
นิรชาเก็บแก้วกาแฟโต๊ะข้างๆ ได้ยินเข้า ถึงกับอึ้งนิ่งงันไปเลย
ด้านปรางทิพย์เดินใจลอย น้ำตาซึมดั่งร่างไร้วิญญาณเข้ามาภายในห้อง ทิ้งตัวลงนั่งบนเตียง ปล่อยให้น้ำตาที่เอ่อล้นเต็มตาร่วงพรูลงมาอาบแก้ม แล้วฟุบหน้าลงร้องไห้กับหมอนด้วยความเสียใจสุดจะประมาณ บัวคำเดินเข้ามาเห็นก็ตกใจ
“เกิดเรื่องอันใดขึ้นแม่หญิง เหตุใดท่านจึงร้องไห้เสียใจปานจะขาดใจเช่นนี้ ท่านไปพบคุณทศมามิใช่รึ”
ปรางทิพย์สะอื้นไห้อย่างหนักหน่วง ปิ่มว่าจะขาดใจตาย จนบัวคำทำอะไรไม่ถูก ลงนั่งข้างๆ แล้วลูบไหล่ปลอบ
“พี่เทศเกลียดข้าแล้วพี่บัวคำ เขาเข้าใจว่าข้าเป็นปีศาจ เป็นผีแม่ม่ายที่ฆ่าเพื่อนของเขา ข้าจักทำอย่างไรดีพี่บัวคำ”
ปรางทิพย์เริ่มร้องไห้หนักขึ้นด้วยความเสียใจ
“แต่แม่หญิงมิได้ฆ่าเพื่อนเขามิใช่รึ”
“เขาไม่เชื่อข้า เขารังเกียจและยังพูดตัดรอนข้า”
บัวคำนิ่งคิด “มันต้องมีหนทางที่เราจักอธิบายให้คุณทศเข้าใจได้”
“พี่บัวคำ ข้าเจ็บปวดใจเหลือเกิน”
ปรางทิพย์มองบัวคำด้วยน้ำตาที่นองหน้า บัวคำนิ่งมองปรางทิพย์อย่างให้กำลังใจ
ฝั่งทศนนท์เองก็กำลังสับสนว้าวุ่นใจอย่างหนัก เขานั่งใช้ความคิดอยู่ที่โต๊ะทำงานในห้องนอน
“คุณรู้ทั้งรู้ว่านังนั่นเป็นผีร้าย เป็นผีแม่ม่ายที่เที่ยวฆ่าคน แล้วมันยังฆ่าเพื่อนของคุณด้วย คุณยังจะคิดปกป้องมันอีกหรือคะคุณทศ”
“ที่ฉันเป็นแบบนี้คุณไม่คิดเลยเหรอว่าฉันจะเจ็บปวดทุกข์ทรมานแค่ไหน ชีวิตดั่งถูกสาปให้ร่ายกายอัปลักษณ์น่าเกลียดน่ากลัว เพียงแลกกับการได้ใช้ชีวิตในเมืองมนุษย์ เพื่อตามหาคนที่ฉันรัก”
สีหน้าทศนนท์เครียดจัด ทบทวนเหตุการณ์แปลกๆ ที่เคยเจอ
ตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอปรางทิพย์ ทศนนท์ถึงกับหยุดชะงักเหมือนเจออะไรบางอย่าง เมื่อมองเข้าไปในห้องดวงตาเบิกกว้าง สีหน้าตะลึงงันราวกับเห็นสิ่งที่ไม่เคยนึกไม่เคยฝัน
ปรางทิพย์นั่งพับเพียบก้มหน้าดีดซึงอยู่บนตั่งไม้โบราณ
ปรางทิพย์ห่มผ้าสไบหรู นุ่งผ้าถุงลาวครั่ง มวยผมยกสูงปักด้วยปิ่นสวยงาม ทัดหูด้วยดอกมณฑาทอง ใส่สร้อยและกำไลข้อมือโบราณ ต่างหูแบบโบราณ ใต้แสงสว่างนวล ดูมลังเมลืองราวกับภาพฝันนางในวรรณคดี
ปรางทิพย์ค่อยๆ เงยหน้าช้อนตาขึ้นมามองตอบ ยิ้มละมุน แววตาอ่อนโยนหวานซึ้งชวนให้หลงใหล
ทศนนท์อึ้ง นิ่งงันไป เหมือนตกอยู่ในภวังค์ ไม่แน่ใจว่านี่คือความจริงหรือความฝันกันแน่
และอีกครั้งตอนเจอกับพิณทิพย์บนบ้านปรางทิพย์
ชาวบ้านเดินขึ้นมาสมทบกับเนตรมายาและเชื่อม เมื่อทุกคนมาถึงก็ต้องร้องขึ้นอย่างตกใจกลัวเมื่อเห็นพิณทิพย์ออกมาหน้าประตูห้องที่ปิดลง ขณะที่พิณทิพย์ก้มหน้าไม่สบตากับใคร มินตาบ่นบ้าอย่างสยดสยอง
“นี่มันคน หรือว่าปีศาจเนี่ย”
จนมาถึงตอนเห็นสุบรรณเหราสูบวิญญาณประกิตไปต่อหน้าต่อตา
โดยในตอนนั้น พิณทิพย์มองผ่านประกิตไปเห็นบุษบาลาวัณย์ยืนจ้องอยู่ก็ตกใจ รีบหันไปหาสุบรรณเหรา
“ข้าแต่ท่านสุบรรณเหรา ข้านำคนบาปมาบูชาแด่ท่านแล้ว”
ประกิตอยู่ตรงกลางไม่รู้จะทำอย่างไรดี หวาดกลัวจนปากคอสั่นเริ่มเดาเหตุการณ์ออก ถึงกับเข่าอ่อนทรุดลงกับพื้นด้วยความกลัว
“ไม่นะ ไม่! ฉันยังไม่อยากตาย ไม่!”
ประกิตพยายามกระเสือกกระสนหนีตายออกไป แต่สุบรรณเหรากระพือปีกแล้วพ่นน้ำพิษใส่เขาทันที ประกิตชะงักตัวแข็งทื่อร้อง “อ๊าก” สุดเสียง
ทศนนท์แอบมองอยู่ไกลๆ ยืนอึ้งตะลึงตาค้าง ตกใจกับสิ่งที่เห็น
เสร็จภารกิจพิณทิพย์กลับหลังหันเดินออกจากโถงถ้ำ พลันสายตามองเห็นทศนนท์เข้าอย่างจัง พิณทิพย์ตกใจ ถลาเข้าไปหาทศนนท์ทันควัน
และไม่นานมานี้เขาเห็นพิณทิพย์กลายร่างเป็นปรางทิพย์คาตา
โดยพิณทิพย์พยายามฝืนความเจ็บปวดยื่นมือชูขึ้นรับพรจากดวงดาวอีกครั้ง หมู่เมฆสีดำบนท้องฟ้าค่อยๆเปิดออก เห็นเหล่าดวงดาวระยิบระยับส่องประกายลงมา แสงระยิบระยับจากดวงดาวร่วงหล่นลงมา ประหนึ่งดังเม็ดฝนที่กำลังพร่างพรม อาบร่างของพิณทิพย์ที่นอนฟุบอยู่ที่พื้น
แสงจากดวงดาวส่องลงมาที่ร่างพิณทิพย์ จากร่างที่นอนฟุบอ่อนแรงค่อยๆกลายร่างยืดตัว กลับมาเป็นปรางทิพย์ ทศนนท์เห็นเป็นหน้าปรางทิพย์ชัดๆ กับตาตัวเอง
ปรางทิพย์พยายามพยุงร่างตัวเองให้ลุกขึ้น แล้วเดินออกไปทางม่านน้ำตก
ทศนนท์ดึงความคิดกลับมา เปิดลิ้นชักโต๊ะหยิบใบไม้ทองคำออกมาดู
“ไม่จริง คุณปราง...ผมไม่อยากเกลียดคุณ ผมไม่อยากเชื่อว่าทั้งหมดเป็นฝีมือของคุณ”
ทศนนท์พูดกับตัวเองด้วยสีหน้าอันเจ็บปวด และเสียใจไม่น้อย
มาลีและมัทนาเดินออกมาจากตัวบ้าน นิรชาหันมาเห็นรีบเข้าไปช่วยพยุงมาลีเดินมานั่งที่เก้าอี้ภายในร้าน
“คุณยายอยากได้อะไร บอกเนียร์ได้นะคะ เนียร์จะเอาเข้าไปให้ในบ้าน”
“ไม่เป็นไร ยายอยากออกมาเดินเล่นน่ะลูก”
ระหว่างนี้มินตาเดินนวยนาดมาดนางร้ายช่อง8 เข้ามาภายในร้าน พร้อมกับตะโกนขึ้นเสียงดัง
“มาแล้วๆ หลักฐานเน้นๆ ชัดๆ ของนังผีแม่ม่ายมาแล้ว”
ชาวบ้าน1 นั่งกินกาแฟเย็นอยู่พูดขึ้นอย่างสนใจ
“ข่าวอะไรนังมิ้น ผีแม่ม่ายอีกแล้วเหรอ”
“ใช่ ผีแม่ม่ายตัวเป็นๆ แล้วก็เป็นคนในหมู่บ้านเรานี่เอง”
“เอ็งพูดอะไรมั่วซั่วอีกแล้วนะนังมิ้น” ตาลปราม
“ไม่มั่วซั่วนะน้าตาล ดูนี่ เจ้าแม่เพิ่งส่งคลิปค้นบ้านนังผีแม่ม่ายล่าสุดมาให้”
มินตายื่นให้ตาลและทุกคนดู เป็นคลิปวิดีโอที่ไปถ่ายห้องลับบ้านปรางทิพย์
“เจ้าแม่เห็นมากับตาว่าบ้านมันมีห้องลับ ที่เก็บซ่อนเอาไว้สำหรับใช้ฆ่าคน”
ชาวบ้าน1ตกใจร้องลั่น “เฮ้ย”
มินตาสำทับอย่างภูมิใจ “จริง คราวนี้เราต้องรวบรวมผู้คนในหมู่บ้านเราไปจับมัน แล้วฆ่ามันให้สาสมกับที่มันทำกับผู้ชายในหมู่บ้านเรา ไม่อยากจะนึกเลยนะว่าคุณนุก่อนตายต้องเจอกับอะไรบ้าง จะทรมานแค่ไหน”
นิรชาฟังตั้งแต่ต้น มีท่าทีไม่พอใจมาก “ไปบุกรุกบ้านเขา แล้วยังจะมาใส่ร้ายเขาว่าฆ่าคนอีก พวกคุณนั่นแหละที่เป็นผีร้ายตัวจริง”
“แบบนี้มันต้องแจ้งตำรวจให้มาจับให้รู้แล้วรู้รอด” คิตตี้เสริม
มินตาไม่แคร์ท้ากลับ“ถ้าคิดว่าฉันพูดจาใส่ร้ายมัน พวกครูกล้าให้หมอปรัชไปตรวจคราบเลือดที่อยู่ในห้องลับนั่นไหมล่ะ จะได้พิสูจน์กันไปเลยว่าเลือดพวกนั้นมันเป็นของใครบ้าง มันต้องกินเลือดมนุษย์เป็นอาหารแน่ๆ”
ชาวบ้านทำท่าหวาดกลัวขนลุกขนพองตามกัน
“อ้าว...ไปกันใหญ่แล้ว จากผีแม่ม่ายจะให้กลายเป็นแวมไพร์ซะงั้น” พีรพรขำ
มาลีและมัทนาไม่อยากฟัง ลุกเดินกลับเข้าไปในบ้านแต่ต้องชะงัก
“มิน่าทั้งนังปรางทิพย์ทั้งนังบัวคำถึงมีท่าทางแปลกๆ ชอบอยู่สันโดษ ไม่สุงสิงกับใคร ฮู้ย...แค่คิดก็ขนลุกแล้ว”
มาลีสะดุดชื่อปรางทิพย์และบัวคำ
“น้าตาล ตั้งแต่พวกนั้นย้ายมาอยู่ที่หมู่บ้านเรา เคยเห็นเขามาซื้อของกินบ้างไหม”
ตาลตอบพาซื่อ “อื่ม...ไม่ค่อยนะ”
“เห็นไหมล่ะ ต้องใช่แน่ๆ พวกมันต้องกินเลือดคนเป็นอาหารแน่ๆ”
ศักดิ์ระอาไม่เชื่อ “พูดไปนั่น พวกเขาอาจจะปลูกผักกินเองก็ได้”
“ปลูกผักที่ไหนกันล่ะน้าศักดิ์ ที่บ้านมันไม่เห็นมีสวนผักเลย เห็นมีแต่ต้นไม้อะไรก็ไม่รู้แปลกๆ หรือว่าพวกมันจะเป็นปอบ”
กฤตณีสุดทน “ท่าจะบ้า จากผีแม่ม่ายเป็นแวมไพร์ จากแวมไพร์เป็นปอบอีก”
จู่ๆ มาลีทรุดฮวบลงอย่างหมดแรง นิรชาและมัทนาตกใจ
“คุณยาย เป็นอะไรไปคะ” / “แม่ เป็นอะไรไปคะ”
นิรชาและมัทนา ประคองมาลีเดินเข้ามานั่งที่โซฟาโถงบ้านชั้นล่าง มัทนายื่นยาดมส่งให้แม่
“ยาดมค่ะแม่”
มาลีรับมาดมอย่างเหนื่อยล้า
“คุณยายเป็นอะไรไปคะ อยู่ดีๆ ก็จะเป็นลม ให้เนียร์โทร.ตามหมอปรัชมาดูหน่อยดีไหมคะ”
“ไม่เป็นไรแล้วล่ะลูก ยายนั่งพักสักเดี๋ยวก็ดีขึ้น”
มาลีดึงแขนนิรชาให้มานั่งลงข้างๆ ก่อนจะพูดขึ้น
“คุณปรางทิพย์กับคุณบัวคำ ที่เขาพูดถึงกันอยู่ที่ไหนเหรอลูก”
นิรชาจับน้ำเสียงสั่นสะท้านแปลกๆ ของมาลีได้ ถามขึ้นอย่างแปลกใจ
“อยู่บ้านเยื้องๆ กันนี่เองค่ะ มีอะไรหรือเปล่าคะ”
มาลีตื่นเต้น ตกใจกว่าเก่า “อยู่ใกล้ๆ นี่เองเหรอ”
นิรชากับมัทนามองมาลีอย่างฉงนฉงาย
พอดีว่ากฤตณีพาทศนนท์เดินเข้ามา
“คุณยายคะ คุณทศมาหาค่ะ”
ทุกคนมองทศนนท์อย่างแปลกใจ
ที่บ้านทรงกลด ในเวลาเดียวกันนี้
ทรงกลดนั่งอยู่ตรงโต๊ะห้องโถง ใส่หูฟังฟังตำนานเมืองลับแลจากยูทูบ ผ่านทางโทรศัพท์มือถือ
คมสันเดินเข้าบ้านมาด้วยสีหน้าร้อนรนใจ มองหาลูกชายจนเห็นจึงปรี่เดินเข้าไปหา
“เจ้ากลด เกิดเรื่องใหญ่แล้ว”
ทรงกลดไม่มีทีท่าว่าจะได้ยิน จนคมสันต้องเดินมาดึงหูฟังออก
“เกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้ ยังจะมานั่งสบายใจอยู่อีก”
“อ้าว พ่อว่าไงครับ”
“สายของฉันรายงานมาว่า นังครูสาวนั่นไปแจ้งความลงบันทึกประจำวันเอาไว้แล้วน่ะสิ แล้วผู้ต้องสงสัยก็คือแก ฉันว่าแกควรพักเรื่องของนังครูนั่นเอาไว้ก่อนดีกว่า”
“เรื่องนั้นผมรู้แล้วล่ะครับพ่อ”
คมสันฟังแล้วโล่งใจ “อืม...ก็ดี แล้วนี่แกดูอะไรอยู่ ฉันเข้ามาตั้งนานแล้วยังไม่รู้ตัวอีก”
“ผมกำลังฟังเรื่องเล่าเมืองลับแลครับ สนุกดีนะครับพ่อ ตำนานความรักของหญิงชาวเมืองลับแลกับชายเมืองมนุษย์ แต่สุดท้ายก็ต้องจบลงเพราะผู้ชายโกหกและรักษาศีลอย่างชาวเมืองลับแลไม่ได้ แต่ผมลองหาข้อมูลแทบทุกที่ ไม่เห็นมีใครเอ่ยถึงเมืองหลังม่านน้ำตกที่ปู่คอนเคยเล่าให้พ่อฟังเลย”
“แล้วแกว่ามันมีอยู่จริงหรือเปล่าล่ะ”
“มีจริงครับ และบุษบาก็รับปากว่าจะพาผมเข้าไป”
คมสันดีใจ “จริงเหรอ เมื่อไหร่”
“คงอีกไม่นานหรอกครับพ่อ”
“งั้นแกก็ต้องเตรียมการดีๆ อย่าให้พลาด เอาใจนังนั่นให้มากๆ หน่อยเดี๋ยวพ่อจะช่วยเอง”
“ครับพ่อ”
ทรงกลดและคมสันยิ้มให้กันด้วยสีหน้าละโมบโลภมากพอๆ กัน
ทศนนท์นั่งลงคุยกับมาลีตรงโต๊ะในสวนข้างร้านค้า
“ผมอยากรู้เรื่องเกี่ยวกับเมืองลับแลให้มากกว่านี้ครับคุณยาย”
“ไหนคุณบอกว่าคุณรู้ทุกอย่างแล้วไม่ใช่เหรอ ถ้าคุณระลึกชาติได้คุณก็ไม่น่าจะมีอะไรต้องมาถามอีก”
“ทุกเรื่องที่ผมรู้ ไม่ได้เกิดจากการระลึกชาติครับ แต่มาจากนิมิตที่ผ่านการบอกเล่าจากคุณปราง”
“หรือว่าคุณจะไม่ใช่พี่เทศ”
“ผมก็คิดว่าผมอาจจะไม่ใช่คุณเทศครับ แต่คุณปรางเชื่อว่าผมเป็นคุณเทศ แล้วก็อยากจะให้ผมกลับไปที่เมืองลับแลด้วยกัน”
“ฉัน...” มาลีพูดกระอึกกระอักพูดความจริงไม่หมด “รู้มาว่า...เกิดอภิสังหาร...ผู้ชายในเมืองตายหมด หรือว่า...วันนั้นพี่เทศจะไม่ได้กลับเข้าไปในเมือง”
มาลีหน้าเศร้าลง แท้จริงแล้วเธอไปเห็นเหตุการณ์มาว่าทุกคนตายหมด แต่เบี่ยงประเด็น
“ใช่ครับ ในนิมิตผมก็เห็นว่าผู้ชายในเมืองถูกสังหารจนหมด แต่ผมไม่เห็นคุณเทศ และผมรู้แต่ว่าเขาหายไปกับมัลลิกานารี”
มาลีตกใจกับเรื่องนี้ ปฏิเสธลั่น “ไม่ พี่เทศไม่ได้ไปกับยาย วันนั้นเขาพยายามจะกลับเข้าไปในเมือง แล้วยายก็ไม่ได้เจอเขาอีกเลย ถ้าคุณไม่ใช่พี่เทศที่กลับมาเกิดใหม่ แล้วพี่เทศหายไปไหนกันแน่”
มาลีพาทศนนท์หวนย้อยกลับไปในอดีต เริ่มจากวันอันน่ายินดีวันนั้น
บนเรือนบ้านจอมจักราเวลานี้ แลเห็นท่านพ่อเมือง และช่อทิพย์วิมาดายืนลุ้นรอคอยอย่างใจจดจ่อ จนกระทั่งมีเสียงร้องจ้าของเด็กแรกเกิดดังขึ้น ทุกคนต่างตื่นเต้นดีใจ
“คลอดแล้ว ท่านพี่ คลอดแล้ว”
จอมจักราพยักหน้าทั้งดีใจและตื่นเต้นไม่ต่างกัน
เทศอุ้มเด็กแรกเกิดในห่อผ้าออกมาหาจอมจักราด้วยสีหน้าตื่นเต้นดีใจ
“เป็นชายขอรับ ท่านพ่อ”
เรณูศจีรีบส่งกระด้งที่มีเบาะเล็กๆ วางอยู่ส่งให้พ่อเมือง จอมจักรารับมาถือเอาไว้ เทศค่อยๆ บรรจงวางเด็กน้อยลงในกระด้งอย่างเบามือ
จอมจักราหันหน้าออกไปด้านหน้าบ้าน ร่อนกระด้งวนไปมาสามรอบแล้วชูกระด้งขึ้นสุดแขน พร้อมกับประกาศเสียงดังก้อง
“บัดนี้หลานข้าได้ถือกำเนิดแล้ว ข้าขอตั้งชื่อเขาว่า ทัศนัยธำรง”
จอมจักรา ช่อทิพย์วิมาดา เทศ ยิ้มปลื้มด้วยความยินดี
สุริยเดชแอบมองอยู่ตรงบันไดแววตาของเขาเต็มไปด้วยอิจฉาริษยาเต็มหัวใจ
เวลาผ่านไป เด็กชายทัศนัยธำรงเติบโตจนอยู่ในวัย 5 ขวบ กำลังวิ่งเล่นไล่จับบัวคำอย่างสนุกสนาน มีใครคนหนึ่งยืนมองนิ่งๆ
เด็กชายตัวน้อยวิ่งเข้ามาชนตัวใครคนนั้นอย่างจัง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองอย่างสงสัย แล้วคลี่ยิ้มออกมาโอบมือป้อมๆ กอดหญิงสาวนางนั้นอย่างดีใจ
“น้ามัลลิกานารี”
มัลลิกานารีก้มลงยิ้มมองทัศนัยธำรงอย่างเอ็นดู แล้วหอมแก้มอย่างรักใคร่
“ว่าอย่างไรเด็กน้อย วิ่งซนจนเหงื่อผุดพรายเต็มหน้าเชียว”
มัลลิกานารีใช้มือปาดเหงื่อให้
“ท่านพ่อท่านแม่เจ้าอยู่ที่ใด”
“บนเรือนขอรับ”
มัลลิกานารีมองขึ้นไปบนเรือน
พานดอกไม้ซึ่งมีดอกมณฑาทอง และดอกมะลิวางอยู่ในนั้นจำนวนมาก เทศหยิบดอกมะลิส่งให้ปรางทิพย์ที่นั่งร้อยพวงมาลัยอยู่ตรงชานพักผ่อน ทั้งคู่หันมองหน้ากัน ยิ้มหวานให้กัน จนมีเสียงร้องดังขึ้น
“ท่านพ่อ ท่านแม่”
ทัศนัยธำรงเดินนำมัลลิกานารีเข้ามา มัลลิกานารีเห็นเทศและปรางทิพย์หวานใส่กันอยู่ก็ชะงักไปนิดๆ จนสองคนหันมายิ้มทักด้วยสีหน้าแย้มยิ้ม
“มัลลิกานารี เหตุใดวันนี้มาเยี่ยมข้าถึงเรือน”
มัลลิกานารีเข้ามานั่งใกล้ๆ ปรางทิพย์
“ข้ามาบอกข่าว แม่บุหงารำไพจะออกเรือน”
“จริงรึ ข่าวดีจริงๆ”
“เช่นนั้นเราคงต้องตระเตรียมของไปช่วยงาน”
“แต่หากเป็นข่าวดีของเจ้า ข้าคงดีใจยิ่งกว่า”
มัลลิกานารีเหลือบมองเทศแวบหนึ่ง ก่อนจะหันไปตอบปรางทิพย์
“คงอีกนาน เพราะข้ายังมิพบชายในดวงใจ”
ทัศนัยธำรงเข้ามานั่งกอดอ้อนปรางทิพย์พร้อมกับหยิบพวงมาลัยที่มารดาร้อยในมือขึ้นดู
“เหตุใดท่านแม่ใช้ดอกมณฑาทองแทนดอกจำปี”
“เพราะดอกมณฑาทองเป็นดั่งตัวแทนของแม่เจ้าอย่างไรเล่า”
“เช่นนั้นดอกมะลินี่ก็เป็นดั่งตัวแทนของน้ามัลลิกานารีน่ะสิ”
ทัศนัยธำรงหยิบดอกมณฑาทองและดอกมะลิขึ้นมาจากพานแล้วส่งให้เทศดู
“ท่านพ่อ ท่านคิดว่าดอกใดงามกว่ากัน”
เทศมองดอกไม้ในมือของเด็กน้อยยิ้มพร้อมกับพูดขึ้น
“ดอกไม้ทั้งสองล้วนมีความสวยงามที่แตกต่าง จักให้ตัดสินว่าอันไหนงามกว่ากันคงมิได้ มันขึ้นอยู่กับว่าเจ้าชอบและเห็นคุณค่าของมันมากน้อยเท่าใด”
“แล้วท่านพ่อว่าดอกใดมีคุณค่ามากกว่ากัน”
เทศหยิบพวงมาลัยในพานขึ้นมาแล้วพูดขึ้น
“หากดอกไม้ทั้งคู่ร้อยรวมกันเป็นมาลัยสำหรับไหว้พระแล้ว มาลัยพวงนี้ก็มีค่าและคู่ควรที่เราจะนำไปไหว้สักการะบูชา ไปเถิดไปไหว้พระกับพ่อ”
เทศถือพวงมาลัยลุกเดินออกไปทางห้องพระ ทัศนัยธำรงลุกตามไป ปรางทิพย์มณฑาทองมองตามยิ้มสุขใจ
มัลลิกานารีมองตามเทศด้วยแววตาชื่นชมหลงใหล
สิงหัสดินกำลังคุยอยู่กับจอมจักราและช่อทิพย์วิมาดา
“หากได้พวกท่านเป็นผู้ใหญ่เข้าไปสู่ขอมัลลิกานารีให้กับสุริยเดช ฝ่ายนั้นก็คงจะยินดียิ่ง”
จอมจักราหัวเราะชอบใจ
“เป็นเรื่องน่ายินดียิ่งนัก หากฝ่ายนั้นเขายินยอม ข้าก็พร้อมจักไปเป็นผู้ใหญ่ให้”
“จงนัดแนะวันเวลามาเถิดพ่อ พวกข้ายินดียิ่งนัก” ช่อทิพย์วิมาดายิ้มแย้ม
“เช่นนั้นข้าคงต้องขอตัวก่อน”
“เชิญเถิดท่านสิงหัสดิน”
สิงหัสดินลุกเดินออกไป โดยการนำพาของเรณูศจี
ปรางทิพย์มณฑาทองเดินสวนเข้ามา ยกมือไหว้นอบน้อม สิงหัสดินรับไว้หน้าตาบึ้งตึง แล้วเดินออกไป
“ท่านพ่อ ท่านแม่ ข้าคิดว่ามัลลิกานารีคงมิยินยอม”
“ลูกแอบฟังพวกเราคุยกันอย่างนั้นรึ”
“มิได้ท่านแม่ ลูกเพียงแต่ผ่านมาแล้วได้ยินเข้าพอดี ลูกมั่นใจว่าลูกรู้จักเพื่อนรักของลูกดี หากนางไม่มีใจให้แล้ว นางคงไม่ยินยอมเป็นแน่”
“มิแน่ดอก สุริยเดชเป็นคนดี พรั่งพร้อมด้วยฐานะและศีลที่ดีทุกประการ หากมิใช่เขาแล้ว พ่อก็ยังมองไม่ออกว่าผู้ใดจักคู่ควรกับนาง”
ช่อทิพย์วิมาดาเห็นด้วย “จริงด้วยท่านพี่”
ทั้งจอมจักราและช่อทิพย์วิมาดาต่างเห็นพ้องต้องกัน ปรางทิพย์ถอนหายใจหนักใจแทนเพื่อนรัก
เช้าวันใหม่
เสียงมัลลิกานารีดังลั่นเรือน “ลูกไม่ยอม ท่านพ่อ ท่านแม่จักทำเช่นนี้กับลูกมิได้ ลูกไม่ยอม”
อัมรินทราและบงกชมาลา มองหน้ากันด้วยสีหน้าลำบากใจ คุยกับลูกดีๆ
“อายุของเจ้าควรออกเรือนได้แล้ว ดูอย่างปรางทิพย์มณฑาทองสิ บัดนี้นางก็ยังมีลูกแล้ว”
“มันเทียบกันได้รึท่านพ่อ ปรางทิพย์มณฑาทองโชคดีได้พบชายอันเป็นที่รัก แต่ลูก...”
“อยู่กันไปก็รักกันเองนั่นแหละหนา”
“ไม่! ลูกไม่ได้รักพี่สุริยเดช ตอนนี้ไม่รัก ต่อให้อยู่ด้วยกันลูกก็ไม่มีวันรัก”
มัลลิกานารีวิ่งร้องไห้ออกไป
อัมรินทรา และ บงกชมาลา มองหน้ากันด้วยสีหน้าหนักใจ
ขณะที่ ท่านจอมจักรา ช่อทิพย์วิมาดา ปรางทิพย์ เทศ ทัศนัยธำรง นั่งกินอาหารกันอยู่ และคอยตักอาหารให้แก่กันอย่างมีความสุข กระทั่งเห็นอัมรินทรา เดินหน้าตื่นขึ้นมาหา
“ท่านพ่อเมือง ช่วยด้วย ช่วยกันตามหามัลลิกานารี ลูกข้าด้วยเถิด”
ทุกคนหันมามองอัมรินทราด้วยสีหน้าประหลาดใจ
“มัลลิกานารี หายตัวไปรึ”
“ข้าหาจนทั่วบ้านก็มิพบนาง”
ช่อทิพย์วิมาดาปแลกใจ “เกิดอันใดขึ้น เหตุใดนางจึงหายตัวไป”
อัมรินทราอำอึ้งไม่รู้จะตอบว่าอย่างไรดี กระทั่งปรางทิพย์ชิงพูดขึ้นว่า
“เหตุคงมาจากการหมั้นหมายใช่หรือไม่”
“เป็นความผิดของข้าเอง ข้าไม่ควรตัดสินใจเรื่องคู่หมายให้กับนาง” อัมรินทราครวญ
“เอาละๆ อย่ามัวแต่โทษตัวเองเลย ข้าว่าเรารีบออกตามหามัลลิกานารีก่อนจักดีกว่า”
“ข้าจักไปตามผู้คนในเมืองให้ช่วยกันออกตามหานาง”
“ข้าไปด้วย”
จอมจักราตัดบทเสียงเข้ม “พวกแม่หญิงอยู่กับเรือนไม่ต้องออกไป ให้เพียงผู้ชายออกตามหาจักดีกว่า ไปเถิดพ่อเทศ รีบไปรวบรวมผู้คนในเมืองออกตามหาโดยเร็ว”
เทศพยักหน้ารับเอาคำแล้วรีบลงเรือนไป ปรางทิพย์ได้แต่มองตามอย่างเป็นกังวล
อีกฟาก ที่บริเวณป่าหน้าน้ำตก มัลลิกานารีเดินโซซัดโซเซมาลงนั่งพิงต้นไม้ใหญ่ด้วยความเหนื่อยล้าและเสียใจ น้ำตาไหลอาบแก้ม เมื่อนึกไปถึงงานแต่งงานของปรางทิพย์กับเทศ
เทศในชุดเจ้าบ่าวเดินเข้ามาจากด้านนอกบ้าน เรณูศจีและบุหงารำไพร่ายรำแยกออกเป็นสองฝั่ง เพื่อเปิดทางให้เทศเดินเข้ามาที่บริเวณหน้าบันไดบ้าน กระทั่งถึงตีนบันได เขาแหงนมองไปที่บนตัวบ้านอย่างรอคอย
ปรางทิพย์เดินออกมายืนที่หัวบันได โดยมีมัลลิกานารีและบัวคำตามมา
เทศมองปรางทิพย์อย่างแสนรัก เดินขึ้นบันไดไปยืนเคียง หงายมือออก ปรางทิพย์ค่อยๆ วางมือลงบนมือของเทศทั้งคู่ยิ้มให้กัน
จากนั้นเทศจับมือปรางทิพย์เดินเคียงข้างกันลงบันไดมาอย่างช้าๆ ทั้งคู่มายืนเคียงคู่กันที่ด้านล่าง แล้วจับมือกันเดินผ่านทางที่เทศเพิ่งเดินเข้ามา
เรณูศจีและบุหงารำไพหยิบกลีบดอกไม้ในพานที่พวกเธอถือ โปรยขึ้นฟ้าให้กับบ่าวสาวตลอดทาง
ยิ่งนึกมัลลิกานารียิ่งเสียใจ ร้องไห้สะอึกสะอื้นด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ
“เหตุใดท่านพ่อ ท่านแม่จึงทำกับข้าเช่นนี้ ฮือๆๆๆๆ”
สาวลับแลฟุบหน้าลงร้องไห้โฮกับเข่าตนเอง
เทศเดินตามเสียงร้องไห้มาจนเจอมัลลิกานารี เขานิ่งมองเธอด้วยความรู้สึกสงสาร ก่อนจะเดินเข้ามานั่งลงที่ข้างๆ เงียบๆ
มัลลิกานารีเงยหน้าขึ้นมามองด้วยท่าทีตกใจ แต่เมื่อเห็นว่าเป็นเทศเธอก็ปล่อยโฮออกมาอีก
“พี่เทศ...”
“อย่าร้องไห้ไปเลยมัลลิกานารี ทุกสิ่งที่ท่านพ่อกับท่านแม่เจ้าทำล้วนแต่หวังดีต่อเจ้า”
“หวังดีโดยการให้ข้าออกเรือนไปกับชายที่ข้ามิได้รักใคร่กระนั้นรึ”
“พวกท่านคงคิดเห็นสมควรแล้ว”
“ไม่ ข้าไม่อยากออกเรือน ท่านพ่อ ท่านแม่ไม่เห็นใจข้า จักผลักไสข้าไปให้คนอื่น พวกท่านมิรักข้าแล้ว”
มัลลิกานารีร้องไห้โฮยกใหญ่ เทศนึกสงสารขึ้นมาจับใจลูบผมเบาๆ ปลอบใจ
“หากอยากร้องไห้ก็จงร้องให้พอเถิด”
เท่านั้นมัลลิกานารีโผเข้ากอดซบหน้ากับอกเทศร้องไห้สะอึกสะอื้น เทศตกใจนิดๆ แต่ก็ยอมกอดปลอบด้วยความรู้สึกสงสารและเห็นใจ
สุริยเดชเดินตามหามัลลิกานารีจากมุมหนึ่งป่าอีกด้านเข้ามาเจอภาพนั้น ถึงกับหยุดกึกฉากหลบหลังต้นไม้ดูเหตุการณ์
มัลลิกานารีร้องไห้อยู่กับอกเทศจนพอใจแล้ว จึงคลายอ้อมกอดออก ปาดน้ำตาสะอื้นไห้ไม่หยุด
เทศมองดูจนแน่ใจว่ามัลลิกานารีเริ่มดีขึ้น จึงเอ่ยขึ้นมา
“เรารีบกลับเข้าเมืองก่อนที่นี่จักค่ำมืดเถิด”
มัลลิกานารีส่ายหน้า “ไม่ ข้ายังไม่อยากกลับเรือน ขอให้ข้าได้อยู่พักใจที่นี่สักครู่เถิด”
เทศทักท้วง “แต่ที่นี่มันอันตราย”
“ท่านช่วยพาข้าไปที่อื่นที่ปลอดภัยได้หรือไม่ หากข้าสบายใจแล้ว ข้าก็จะกลับไปที่บ้าน”
เทศนิ่งคิด พยักหน้ารับด้วยความจำใจ
สุริยเดชได้ยินทุกอย่าง ยิ้มชั่วออกมาอย่างมีแผนร้าย
สุดท้ายเทศพามัลลิกานารีเข้ามาหลบในบ้านที่เมืองมนุษย์
“เจ้าพักอยู่ที่นี่ให้สบายใจเถิด เจ้าก็รู้ว่าวันเวลาในเมืองมนุษย์นั้นผ่านไปเร็วว่าที่เมืองลับแลนัก หากเจ้ายังมิอยากกลับเข้าเมือง เจ้ามาพักที่นี่น่าจักปลอดภัย”
“ข้าเข้าใจ ข้าขอบน้ำใจท่านนักพี่เทศ ที่เป็นห่วงเป็นใยข้า”
“แต่หากจักให้เจ้าอยู่ผู้เดียวก็กระไรอยู่ ข้าจักกลับไปตามปรางทิพย์มณฑาทองมาอยู่เป็นเพื่อนเจ้าจักดีกว่า”
มัลลิกานารียิ้มรับไม่ตอบอะไร เทศจึงเข้าใจว่าเธอตอบตกลง เขาเดินออกไป
มัลลิกานารีมีสีหน้าสลดลง หันหลังจะเดินเข้าบ้าน แต่แล้วก็ได้ยินเสียงคนเดินเข้ามา มัลลิกานารียิ้มดีใจคิดว่าเป็นเทศ รีบหันกลับมามอง
“พี่เทศ พี่...”
มัลลิกานารีมีสีหน้าผิดหวังเมื่อหันมาเห็นผู้ที่กลับเข้ามาไม่ใช่เทศแต่เป็นสุริยเดช ที่อ่านความคิดมัลลิกาขาด
“ผิดหวังที่เห็นเป็นข้ารึ”
“หมายความว่าอย่างไร”
“ก็เจ้าผิดหวังที่คนที่กลับเข้ามาเป็นข้า มิใช่พ่อเทศน่ะสิ”
มัลลิกานารีเฉไฉ “พูดจาน่ารังเกียจนัก”
สุริยเดชหัวเราะเยาะ “เจ้าคิดว่าข้าดูไม่ออกรึว่าเจ้าคิดอย่างไรกับพ่อเทศ”
มัลลิกานารีหันมองสุริยเดชด้วยสีหน้าตกใจและเปลี่ยนเป็นไม่พอใจ
มาลีและทศนนท์ยังคงนั่งคุยกันอยู่ที่โต๊ะในสวน ห่างจากร้านค้าออกมา
“ถ้างั้นมันก็ไม่ใช่การหนีตามกันอย่างที่ชาวเมืองลับแลลือกันนี่ครับ”
มาลีหน้าสลดไป ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อย
“มันเป็นเพียงแค่เริ่มต้นเท่านั้น”
สีหน้าของมาลีด่ำดิ่งกลับไปในอดีต
มัลลิกานารีมองสุริยเดชด้วยสายตาแข็งกร้าว ไม่พอใจเป็นอย่างมาก
“อย่าได้กล่าวหาข้าเช่นนั้น ข้ารักพี่เทศดุจพี่ชายแท้ๆ ของข้า”
“แต่จากที่ข้าเห็น ข้าว่าพ่อเทศมิได้คิดกับเจ้าเช่นนั้นหนา ข้าเป็นผู้ชายด้วยกัน ข้าดูออก”
มัลลิกาอึ้งๆ แววตาเป็นประกายเจิดจ้าดีใจ สุริยเดชเห็นแววตานั้น
“แต่เขาแต่งงานแล้ว และหญิงผู้นั้นก็เป็นเพื่อนรักของข้า ท่านหยุดพูดจาเลื่อนเปื้อนเถิด”
มัลลิกานารีตัดใจหันหลังเดินเข้าบ้านไปคล้ายไม่อยากสนใจคำพูดของอีกฝ่าย
สุริยเดชมองตามยิ้มร้ายๆ ออกมาอย่างสมใจ
ฟังถึงตอนนี้ ทศนนท์มีสีหน้างุนงงง บ่งบอกความสงสัยไม่เข้าใจอย่างชัดเจน
“ผมไม่เข้าใจว่าเขาจะทำอย่างนั้นไปทำไม ในเมื่อสิ่งที่เขาทำมันจะทำให้ผู้ชายในเมืองลับแลต้องตายกันหมด”
มาลีสีหน้าเสร้าสลดและเริ่มมีน้ำตาคลอที่หน่วยตา เสียงสั่นเครือ
“ตอนนั้นเขาก็คงนึกไม่ถึงเหมือนกัน ว่าเรื่องมันจะบานปลายถึงเพียงนี้”
น้ำตาที่คลอๆอยู่ในเต็มตาของมาลีหยดรินลงที่สองข้างแก้มด้วยความเสียใจเหลือแสน ขณะเล่าเรื่องราวหนหลังต่อ
สิงหัสดินนั่งรอฟังข่าวอยู่ที่ชานเรือนด้วยสีหน้าร้อนรุ่มกลุ้มใจ กระทั่งเห็นสุริยเดชเดินขึ้นเรือนมาจึงรีบถามขึ้น
“เป็นอย่างไรบ้าง พบตัวมัลลิกานารีหรือไม่”
“พบแล้วท่านพ่อ” สุริยเดชลงนั่งด้วย
สิงหัสดินโล่งอก “โล่งอก นางคงตกใจเรื่องงานหมั้นของพวกเจ้าเป็นแน่”
“จริง ท่านพ่อ นางไม่ยินดีที่จะออกเรือนกับข้า”
สิงหัสดินฟังแล้ววิตกกังวล “แล้วจักทำอย่างไรเล่า ในเมื่อผู้ใหญ่ต่างคุยกันไว้ดิบดีแล้ว”
“แต่ข้าคิดว่า อย่างไรนางก็ไม่ยินยอมออกเรือนกับข้าแน่ ในเมื่อใจของนางมีชายอื่นอยู่แล้ว”
“ถ้าเช่นนั้น เหตุใดนางไม่แจ้งแก่พ่อแม่นางเล่า”
“เพราะชายผู้นั้นหาใช่ใครอื่นใดไม่ มันคือไอ้มนุษย์ผู้มากด้วยกิเลส สามีแม่ปรางทิพย์มณฑาทองอย่างไรเล่าท่านพ่อ”
“เป็นไปได้อย่างไร ในเมื่อเขาได้พิสูจน์รักแท้ต่อท่านสุบรรณเหราแล้ว”
“อย่างไรเสียมนุษย์ก็ไม่มีทางตัดกิเลสได้ดอก ดูอย่างแม่มัลลิกานารีสิ ถูกมันล่อลวงให้หลงรัก แล้วยังแอบพาไปพักที่บ้านในเมืองมนุษย์อีก ข้าว่าแล้วว่ามันจักไม่จริงใจกับแม่ปรางทิพย์มณฑาทอง”
สิงหัสดินเริ่มคล้อยตามและเห็นด้วย “วันเวลาช่างเปลี่ยนคนได้ หากเป็นเช่นนั้นจริง พ่อคงสาแก่ใจยิ่งนัก เวรกรรมตามทันมันแล้ว ที่บุษบาลาวัณย์ลูกรักของข้าต้องถูกจองจำก็เพราะฝีมือพวกมัน”
“ข้าต้องหาทางให้แม่หญิงปรางทิพย์มณฑาทองรู้เช่นเห็นชาติความเลวของไอ้มนุษย์ผู้นั้นให้จงได้”
สิงหัสดินมีสีหน้าโกรธแค้นอย่างเห็นได้ชัด
“ข้าก็อยากเห็น ถ้าหากนางต้องสูญเสียของรักเช่นข้า นางจักรู้สึกเช่นไร”
สองคนมองหน้ากัน แล้วยิ้มร้ายออกมาอย่างมีแผนชั่วบางอย่าง
ทางด้าน เทศ ปรางทิพย์ และ ทัศนัยธำรง พากันเดินเข้ามาหาจอมจักราและช่อทิพย์วิมาดาตรงชานพักผ่อนบนเรือน
“จักไปไหนกันรึ”
“ไหนว่าพบตัวมัลลิกานารีแล้วอย่างไรเล่า”
“พบแล้วขอรับ หากแต่นางยังไม่อยากกลับเข้ามาในเมือง” เทศบอก
“ลูกจึงมาขออนุญาตท่านพ่อ ท่านแม่ออกไปอยู่เป็นเพื่อนมัลลิกานารีที่บ้านพักในเมืองมนุษย์”
ช่อทิพย์วิมาดานางคงมิยอมรับสุริยเดช ดั่งเช่นที่เจ้าว่าจริงๆ
“เช่นนั้นเจ้าก็จงไปอยู่เป็นเพื่อนนาง จนกว่านางจักสบายใจเถิด”
บัวคำจะไปด้วย “ขอข้าตามไปด้วยแม่หญิง”
“พี่บัวคำอยู่ที่นี่จักดีกว่า มัลลิกานารีคงยังมิต้องการพบเจอผู้คนสักเท่าใด”
ทุกคนต่างเข้าใจในสิ่งที่ปรางทิพย์พูด
สามคนพ่อแม่ลูก ไหว้ลาทั้งสองท่านแล้วพากันเดินลงเรือนไป
เช้านี้สองสาวกำลังง่วนอยู่กับการทำอาหารอยู่ในครัวบนเรือนบ้านเทศที่เมืองมนุษย์ ปรางทิพย์ชิมอาหารในหม้อดินจนแน่ใจว่ารสชาติดีแล้วจึงหันมารับถ้วยจากมัลลิกานารี ตักอาหารใส่แล้วส่งให้ มัลลิกานารีถือถ้วยอาหารเดินไปวางที่โต๊ะตรงชานด้านนอก แต่เทศเดินมาเห็นพอดี เขายื่นมือไปรับถ้วยจากมัลลิกานารี ไปวางที่โต๊ะอาหารให้
“ข้าช่วย”
มัลลิกานารีนิ่งมองเทศอย่างเป็นปลื้ม
ในเวลาต่อมา มัลลิกานารีรวมรวมผ้าใส่ตะกร้า เดินลงบันไดบ้านมาแล้วดันเสียหลักจะตกบันได
“ว้าย”
ปรางทิพย์อยู่บนหัวบันไดบ้านมองเห็น ก็ร้องขึ้นอย่างตกใจ
“มัลลิกานารี ระวัง”
ร่างมัลลิกานารี หล่นจากบันไดลงมา โชคดีที่เทศอยู่แถวตีนบันไดบ้านอยู่แล้ว รีบโผเข้ามาช่วยรับไว้ มัลลิกานารีตกใจกอดเทศแน่น จ้องลึกเข้าไปในดวงตาของเทศอย่างค้นหา
ปรางทิพย์รีบลงมาดูเห็นมัลลิกานารีปลอดภัยก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก
เทศปล่อยตัวมัลลิกานารี ถามขึ้นอย่างเป็นห่วง
“เป็นอันใดหรือไม่”
“ข้าไม่เป็นไร”
มัลลิกานารีมองเทศอย่างซาบซึ้งใจ
มัลลิกานารีนั่งซักผ้าอยู่ที่ท่าน้ำบ้านเทศและปรางทิพย์ กระทั่งมีเสียงเหมือนมีคนเดินเข้ามาจากทางด้านหลัง หญิงสาวคลี่ยิ้มวางงานในมือคิดว่าเป็นเทศ แล้วหันไปทางเสียง แต่แล้วรอยยิ้มก็พลันจางหายไปในพริบตา เมื่อเห็นเป็นสุริยเดชยืนยิ้มหยันมองจ้องอยู่
“เหตุใดท่านจึงย้อนกลับมาที่นี่อีก ข้ายังมิอยากกลับเข้าเมือง อย่าได้มาตามข้าให้เสียเวลาเลย”
“ข้ามิได้มาตามเจ้าให้กลับ หากแต่มีคนไหว้วานให้ข้ามาแจ้งข่าวแก่เจ้า”
“ผู้ใดกัน”
“ข้าได้เจรจากับพ่อเทศเรื่องของเจ้าแล้ว เขายอมรับว่า...”
มัลลิกานารีรอฟังอย่างตื่นเต้น สุริยเดชจึงแกล้งประวิงเวลา ถอนหายใจยาวทำเป็นหนักใจเต็มประดา
“อย่างไรก็ว่ามาสิ”
“ข้าเห็นใจพวกเจ้ายิ่งนัก ที่ต่างก็มีใจต่อกัน”
“พูดจาเหลวไหลอีกตามเคย”
“พ่อเทศยอมรับจริงๆ ว่า...เขามีใจต่อเจ้า หากแต่ไม่สามารถทรยศต่อปรางทิพย์มณฑาทองได้”
มัลลิกานารีอึ้ง แล้วค่อยๆ พูดออกมา
“ข้าก็เช่นกัน ข้ามิอาจทำร้ายจิตใจเพื่อนรักของข้าได้”
สุริยเดชแกล้งพูดอย่างรู้สึกลำบากใจ
“แต่สิ่งที่พ่อเทศฝากข้ามาบอกเจ้ากลับเป็นว่า เขาพร้อมจะหนีไปกับเจ้าหากเพียงเจ้าต้องการ”
มัลลิกานารีตกใจกับสิ่งที่ได้ยิน
“ไม่มีทาง ข้าไม่ทำเช่นนั้นแน่”
สุริยเดชทำเป็นหนักใจ “เช่นนั้นเจ้าก็ต้องไปพูดกับเขาให้เข้าใจเสียแล้ว ให้เขาตัดใจจากเจ้าเสีย ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป ส่วนเรื่องของเจ้ากับข้าเจ้าไม่ต้องกังวลไป หากเจ้าไม่ยินยอม ข้าก็ไม่คิดจักบังคับจิตใจเจ้าอีก”
มัลลิกาเริ่มไขว้เขว คิดหนัก
เนตรมายานั่งคุยอยู่กับเชื่อมอยู่ที่โต๊ะรับแขกบนเรือนสำนักเจ้าแม่เนตรตาทิพย์
“เจ้าแม่แน่ใจเหรอว่า นังมิ้นมันจะปลุกระดมชาวบ้านไปบุกบ้านนังปีศาจนั่นได้สำเร็จ”
“ถึงไม่สำเร็จ แต่อย่างน้อยเราก็สามารถทำให้ผู้คนในหมู่บ้านสงสัยและหวาดระแวงพวกมันได้ ที่สำคัญตอนนี้ ฉันคิดว่าคุณทศก็เริ่มสงสัยมันแล้วเหมือนกัน”
เชื่อมพยักหน้าเห็นด้วย
“จริงด้วย ยิ่งดูท่าทางของคุณทศวันนี้ ป้าว่าเขาต้องเชื่อพวกเราแล้ว แต่ยังยอมรับความจริงไม่ได้”
เนตรมายายิ้มชอบใจ
ระหว่างนี้ทรงกลดเดินขึ้นมาบนสำนัก มองหาจนเห็นว่าทั้งคู่นั่งคุยกันอยู่ที่โถงรับแขกจึงเดินตรงเข้าไปหา
“อยู่กันตรงนี้เอง ผมก็มองหาซะทั่ว”
“คุณทรงกลด มีอะไรหรือเปล่า”
“ผมมีเรื่องจะให้คุณช่วยหน่อย”
“เรื่องอะไรคะ”
“คุณช่วยจับยามสามตาดูให้ผมหน่อย ว่าหลังน้ำตกของหมู่บ้านมีเมืองอีกเมืองหนึ่งอยู่ที่นั่นหรือเปล่า”
“ไม่ต้องจับยามสามตาดูหรอกค่ะ ฉันรู้เรื่องนั้นมานานแล้ว”
ทรงกลดมีสีหน้าตื่นเต้นดีใจ “มีเมืองอยู่ที่นั่นจริงๆ เหรอก”
“แต่มันเป็นเมืองผีแม่ม่ายที่จับผู้ชายไปฆ่าบูชายัญ แถมนังปรางทิพย์มันยังเป็นลูกสาวของเจ้าเมืองผีนั่นอีกด้วย”
“แต่ที่ผมได้ยินมา เมืองนั้นเป็นเมืองที่ร่ำรวย มีสมบัติและทรัพย์สินเงินทองมากมายใช้เท่าไหร่ก็ไม่มีวันหมดไม่ใช่เหรอ”
เนตรมายาแปลกใจ “คุณได้ยินมาจากใคร”
“สมัยก่อน ปู่ผมเคยเข้าไปหาสมบัติที่นั่น”
เชื่อมพูดเสริมเวอร์ๆ “เป็นไปได้นะเจ้าแม่ ดูขนาดวันทำบุญหมู่บ้านมันยังถวายทองคำให้วัดเป็นเข่งๆ เลย”
เนตรมายาคิดตาม แล้วนึกไปถึงปรางทิพย์และบุษบาลาวัณย์ที่ต่างแต่งตัวสวยงาม มีเพชรนิลจินดาประดับประดามากมาย
“ก็อาจเป็นไปได้”
“ถ้าเมืองนี้มีอยู่จริงล่ะก็” ทรงกลดยิ้มเจ้าเล่ห์ “คุณเตรียมคาถาอาคมและของวิเศษที่มีทุกอย่างให้พร้อม ส่วนอุปกรณ์อื่นๆ ผมจะเป็นคนเตรียมเอง”
“คุณจะทำอะไร”
“ผมอยากไปพิสูจน์ให้เห็นกับตา ถ้ามันมีจริงพวกเราจะได้สบายกันไปทั้งชาติ”
มินตาเดินขึ้นมาบนสำนักทันได้ยินพอดี
“จะไปไหนกันเหรอคะ”
สามคนหันมามองมินตาเป็นตาเดียวกัน
“นี่เธอเข้ามาในนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ แล้วได้ยินอะไรบ้าง”
มินตาตกใจมากที่ทรงกลดตวาดใส่ตนอย่างเกรี้ยวกราด อ้อมแอ้มบอก
“เอ่อ...คือมิ้น...มิ้นเพิ่งเข้ามา แล้วได้ยินว่าพวกคุณจะไปไหนกัน จะได้สบายทั้งชาติ...แค่นี้เอง”
“เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเธอ เธอมาที่นี่มีเรื่องอะไร” แม่หมอถามเสียงขุ่น
“มิ้นจะมารายงานว่า มิ้นปลุกระดมพวกชาวบ้าน ให้พากันไปแจ้งตำรวจให้บุกไปพิสูจน์ห้องลับบ้านนังปรางทิพย์ ตามคำสั่งเจ้าแม่เรียบร้อยแล้ว”
“คุณหยุดเรื่องนี้เอาไว้ก่อน ไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น” ทรงกลดบอก
มินตาแปลกใจ “ทำไมล่ะคะ เรากำลังจะทำสำเร็จกันอยู่แล้ว”
ทรงกลดหยิบเงินออกมาจากกระเป๋าปึกหนึ่งแล้วยื่นส่งให้มินตา
“เอาเงินนี่ไป แล้วหยุดเรื่องผีแม่ม่ายเอาไว้เท่านี้ นี่ค่าเหนื่อยของเธอ”
มินตางงหนัก มองหน้าทรงกลดที เนตรมายาที เห็นสีหน้าจริงจังของทั้งคู่ จึงยื่นมือไปรับเงินนั้นเอาไว้แบบงงๆ
“ขอบคุณค่ะ คุณทรงกลด”
ทรงกลดลอบสบตากับเนตรมายาอย่างโล่งใจ
เหตุการณ์ในอดีต
ปรางทิพย์เดินตามร้องเรียกหาทัศนัยธำรงมาตามทางในป่าละแวกบ้าน
“ลูกแม่ ไปกินข้าวได้แล้ว อยู่ที่ใดกัน ทัศนัยธำรง ปรางทิพย์ตะโกนเรียกพร้อมกันเดินตามหาไปจนทั่ว”
กระทั่งสุริยเดชแสดงตัวออกมา เดินเข้ามา
“เกิดเรื่องอันใดขึ้นปรางทิพย์มณฑาทอง”
“อ้าว... พี่สุริยเดช ออกมาตั้งแต่เมื่อใดกัน”
“ข้าเพิ่งออกมาจากเมือง ได้ยินเจ้าเรียกหาทัศนัยธำรงรึ”
“ใช่ ข้าออกมาตามเด็กๆ ไปกินข้าว เมื่อสักครู่ยังเห็นวิ่งเล่นกับด่านอยู่ละแวกนี้”
“เด็กก็คงวิ่งเล่นไปทั่ว ประเดี๋ยวข้าจักช่วยเจ้าหาเอง”
“ขอบน้ำใจท่านพี่สุริยเดช”
“เช่นนั้นเจ้าไปตามหาทางนั้น” สุริยเดชชี้ไปทางที่เทศอยู่ “ส่วนข้าจักไปตามหาทางนี้เอง”
ปรางทิพย์พยักหน้ารับเอาคำแล้วออกเดินหาทัศนัยธำรงไปตามทางที่สิริยเดชชี้บอก
มองจากมุมสูงลงมา เห็นเหมือนว่าเทศกำลังยืนรอใครบางคนอยู่กลางป่า อย่างใจจดใจจ่อ จนเมื่อเห็นมัลลิกานารีเดินเข้ามา เขามีท่าทางดีใจจนเห็นได้ชัด
“เจ้ามาแล้วรึมัลลิกานารี เจ้าคงตัดสินใจได้แล้วใช่หรือไม่”
มัลลิกานารีออกจะตกใจกับท่าทีดีใจชัดแจ้งของเทศ คิดว่าเขาจะพาเธอหนีไปด้วยกัน หญิงสาวพยายามเก็บกดความต้องการในใจข่มไว้อย่างสุดกำลัง ก่อนจะตัดสินใจพูดออกมา
“ท่านอย่าเพิ่งพูดอันใดเลยหนาพี่เทศ ขอข้าได้พูดความในใจของข้าก่อนเถิด”
เทศนิ่งรอฟัง มัลลิกานารีมองจ้องหน้าเทศ แล้วหลบตาวูบบอกความในใจออกไป
“นานมาแล้ว ข้าได้พบชายผู้หนึ่ง เขาเป็นคนดีน่านับถือ ข้ารักและเคารพเขาดั่งพี่ชายแท้ๆ ของข้า แต่แล้วความรู้สึกนั้นมันก็แปรเปลี่ยนไป มันทำให้ข้าเจ็บปวด จนเมื่อข้าได้รู้ว่าเขาก็มีใจให้ข้าเช่นกัน”
“เช่นนั้นเหตุใดเจ้าจึงคิดปฏิเสธ”
มัลลิกานารีสวนขึ้นเสียงแข็ง “ข้าคิดว่ามันไม่ถูกต้อง”
เทศมองมัลลิกานารีอย่างไม่เข้าใจ ด้วยคิดว่าฝ่ายนั้นกำลังพูดถึงเรื่องของเธอกับสุริยเดชอยู่
“จักไม่ถูกต้องได้อย่างไรกัน ในเมื่อคนสองคนมีใจให้แก่กันและกัน เจ้าควรทำตามความรู้สึกของเจ้า”
“พี่เทศ...นี่พี่...คิดเช่นนั้นจริงๆ รึ”
“ใช่ จงทำตามหัวใจตนเองเถิด”
มัลลิกานารีนิ่งฟังด้วยความเจ็บปวดใจ และถึงกับกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่โผเข้าไปกอดเทศเอาไว้
“ไม่ ข้าทำเช่นนั้นไม่ได้จริงๆ พี่เทศ”
เทศเข้าใจว่ามัลลิกานารีเจ็บปวดเพราะความรักที่มีต่อสุริยเดช เขารู้สึกสงสารนางจับใจ จึงค่อยๆ กอดตอบ ลูบหัวปลอบประโลม
ปรางทิพย์เดินมาเห็นภาพนี้คาตา ถึงกับอึ้งตะลึงตะไล เสียใจเหลือแสน ไม่อยากเชื่อในสิ่งที่เห็น
อ่านต่อตอนที่ 28