เพรงลับแล ตอนที่24 | วันที่รู้ใจตัวเอง
บทประพันธ์และบทโทรทัศน์โดย | อาณาจินต์
เช้าแล้ว ทรงกลดกับบุษบาลาวัณย์ยังคงนอนหลับไหลซบกายแอบอิงกันอยู่ใต้ผ้าห่มสีขาวบนเตียงในห้องนอน
จนทรงกลดเริ่มรู้สึกตัวตื่นก่อน เขาหันมามองบุษบาลาวัณย์ยิ้มสมใจ พลางหันไปหยิบมือถือขึ้นมาดูเวลา แล้วร้องขึ้นด้วยความตกใจ
“ตายแล้ว สายขนาดนี้แล้วเหรอเนี่ย”
บุษบาลาวัณย์รู้สึกตัวตื่นตาม แต่ยังงัวเงียๆ รีบเข้ามากอดอ้อนหลุดปากเรียกเขาว่าคอน
“อย่าเพิ่งไปจ้ะพี่คอน”
ทรงกลดสะดุดหู “คุณเรียกผมว่าอะไรนะ”
“ก็เรียกชื่อคุณไงคะ”
ทรงกลดเสียงขุ่นไม่พอใจ “แต่ที่ผมได้ยินมันไม่ใช่ชื่อผม”
“คุณหึงฉันเหรอ” บุษบาลาวัณย์ยิ้มขำพยายามยั่วยวนและคลอเคลียไม่เลิก “ฉันไม่มีทางจำชื่อคุณผิดหรอกนะคะคุณกลด”
ทรงกลดไม่อยากใส่ใจรีบลุกขึ้นลงจากเตียง “ผมต้องรีบไปธุระ”
บุษบาลาวัณย์ลุกนั่งดึงผ้าห่มขึ้นมาปิดหน้าอกแล้วมองตามทรงกลดอย่างเสียอารมณ์ ด้วยความหึงเพราะรู้ว่าทรงกลดจะไปหาปรางทิพย์
“ธุระที่หมู่บ้านใช่ไหม”
ทรงกลดนุ่งผ้าเช็ดตัวเดินไปที่ห้องน้ำ
“ครับ ผมต้องรีบเข้าไปจัดการธุระให้เสร็จ”
“ฉันขอติดรถไปด้วยได้ไหม”
ทรงกลดอึ้งไป ไม่อยากพาไปด้วย เพราะกลัวเจอปรางทิพย์
“คงไม่สะดวกหรอกครับ เพราะผมคงไม่มีเวลาดูแลคุณ”
บุษบาลาวัณย์มองทรงกลดอย่างรู้ทัน ยิ้มร้ายในสีหน้า
ความเงียบสงบ ห่อคลุมบ้านร้างของเทศเอาไว้ทั้งหลัง ในขณะที่ปรางทิพย์เดินเข้ามาในโถงบ้าน เหลียวมองไปรอบๆ ห้อง แล้วไปหยุดสายตาที่กรอบรูปเก่าคร่ำคร่า ภาพคู่ปรางทิพย์กับเทศสีซีดจาง เธอเดินเข้าไปหยิบภาพขึ้นดู
“อีกมินาน คุณทศกำลังจะจำเรื่องราวทุกอย่างได้แล้ว”
ปรางทิพย์ยิ้มอย่างมีความหวัง มองไปที่ห้องครัวด้านในของเรือนหลังนี้ ซึ่งมีเตา ฟืน และเครื่องครัวโบราณ นำเธอกลับไปยังอดีตในเช้าวันหนึ่ง
พระอาทิตย์ขึ้นตอนเช้าเหนือยอดภูเขา
เมี่ยงบัวหลวง อาหารไทยโบราณถูกจัดวางลงจานอย่างบรรจง ในชุดถ้วยจานดินเผา ส่วนบนเตา หม้อดินกำลังเดือดควันลอยกลิ่นหอมคละคลุ้ง ปรางทิพย์มณฑาทองค่อยๆ โรยเกลือลงไปในหม้อ
เทศเดินเข้ามาสวมกอดจากด้านหลัง ซบหน้าอิงไหล่คนรัก ปรางทิพย์มณฑาทองหันไปมอง ทั้งคู่ใบหน้าอิงแอบแนบชิดกัน เทศหอมที่หน้าผากปรางทิพย์มณฑาทองด้วยความรัก ทั้งคู่สวยหล่อในชุดชาวลับแล
ปรางทิพย์ยิ้มเขินด้วยความเอียงอาย
“พี่เทศ…”
“พี่ขอชิมได้หรือไม่”
ปรางทิพย์มณฑาทองยิ้มหวาน ตักแกงขึ้นมาเป่าแล้วยื่นให้ เทศแกล้งไม่ยอมกินเองจะให้เมียป้อน
สุดท้ายปรางทิพย์มณฑาทองป้อนแกงให้เทศชิมอย่างเขินอาย
เทศชิมอย่างเอร็ดอร่อย “ฝีมือเมียพี่อร่อยเสียยิ่งกว่าผู้ใด อย่างนี้พี่ต้องให้รางวัลเจ้าแล้ว”
“ข้ามิต้องการสิ่งใดดอก ขอเพียงให้เราได้อยู่ด้วยกันเช่นนี้ก็พอใจแล้ว”
เทศยิ้มชื่นชม “วันนี้พี่จะพาน้องไปเที่ยว”
“แต่ข้า…” ปรางทิพย์กลัวผู้คนจะรู้ว่าตัวเองไม่ใช่มนุษย์โลก
“ไม่ต้องกังวลสิ่งใดดอก เจ้าอยู่กับพี่ พี่จะปกป้องเจ้าเอง”
ปรางทิพย์มณฑาทองยิ้มรับอย่างเชื่อใจ
“ถ้าเช่นนั้นกินข้าวเสร็จเรารีบไปอาบน้ำอาบท่า แล้วพี่จะพาเจ้านั่งรถไฟไป”
ปรางทิพย์ตกใจกลัว “รถไฟรึ ข้ามิไปด้วยดอก มีหวังถูกไฟไหม้กันพอดี แล้วข้าก็มิให้พี่เทศไปด้วย”
เทศยิ้มเอ็นดู “มันมิใช่อย่างที่เจ้าคิดดอก เดี๋ยวข้าจะพาเจ้าไปดูเองว่าเป็นเช่นใด”
สีหน้าปรางทิพย์มณฑาทอง กล้าๆ กลัวๆ กังวลไม่คลาย
ทางเล็กๆ ในหมู่บ้านนางลับแลเมื่อครั้งอดีต สองข้างทางเต็มไปด้วยต้นไม้ ไม่มีบ้านคนเบียดเสียดรั้วติดกันอย่างในปัจจุบันกาล
จั่นในชุดพรานหาของป่าเดินแบกฟืนเดินเข้าหมู่บ้านมา แล้วสายตามองอะไรบางอย่าง เห็นเทศกับปรางทิพย์มณฑาทองเดินเข้ามาแต่ไกล ปรางทิพย์กับเทศอยู่ในชุดแต่งงาน เพิ่งออกมาจากเมืองลับแล
จั่นรีบเดินเข้าไปหา ยิ้มทักอย่างเป็นมิตร
“อ้าว...อ้ายเทศ ข้าก็นึกว่าใคร” จั่นมองปรางทิพย์อย่างตื่นตะลึง “นี่เมียเอ็งรึอ้ายเทศ สวยอย่างกับนางฟ้านางสวรรค์ เอ็งไปหามาจากไหนรึ อย่าบอกนะที่หายไปนานๆ นี่ เอ็งไปพานางกินรีมาจากป่าหิมพานต์”
เทศยิ้มขัน “เอ็งก็พูดอย่างกับเคยเห็นนางฟ้านะอ้ายจั่น”
“ข้าก็ไม่เคยเห็นหรอก วันๆ เจอแต่นางยักษ์ เออ…แล้วนี่เอ็งจะพาเมียเอ็งไปไหนรึ ถึงได้แต่งตัวกันขนาดนี้”
“ข้าว่าจะพาเมียไปชักภาพเสียหน่อย เห็นเขาลือกันว่าภาพออกมาสวยอย่างกับจับวาง”
“เอ็งก็ระวังตัวด้วยนะ เขาลือกันว่าชักภาพแล้วจะโดนดูดวิญญาณ” จั่นทำท่าสยอง
เทศไม่ตกใจอะไรนัก “งั้นรึ ข้าไม่กลัวหรอก ไปก่อนนะ เดี๋ยวจะไม่ทันรถไฟ”
จั่นพยักหน้ารับ เทศกับปรางทิพย์มณฑาทองเดินออกไป จั่นมองตาม พึมพำกับตัวเองอย่างสงสัย
“สวยขนาดนี้ มันไปหามาจากไหนวะ”
เทศจูงมือปรางทิพย์มณฑาทองเดินไกลออกไป
ที่ตลาดในตัวเมือง ผู้คนออกมาจับจ่ายซื้อของหนาตา ปรางทิพย์มณฑาทองเดินมากับเทศ
“รถไฟมิเห็นจะมีไฟเลยนี่พี่เทศ”
เทศยิ้มขำ “เขาแค่เรียกเฉยๆ ไม่ได้แปลว่าจะนั่งในไฟเสียหน่อย แล้วเจ้าชอบหรือไม่เล่า”
“ข้าชอบที่วิ่งเร็ว แต่เสียงมันดังจนข้าตกใจ”
“ยังมีที่วิ่งเร็วกว่านี้เสียอีก เขาลือกันว่านกใหญ่มันพาคนบินขึ้นฟ้าได้ด้วย แต่พี่ก็ไม่เคยเห็นดอกหนา”
ปรางทิพย์ตื่นเต้น “ที่เมืองมนุษย์มีท่านสุบรรณเหราด้วยหรือ แล้วพี่เทศต้องพาข้าไปเคารพหรือไม่”
เทศยิ้มขำคนรัก “บ้านพี่ไม่มีท่านสุบรรณเหราดอก เขาเรียกเรือบิน แล้วเขาก็มิได้เคารพกราบไหว้เหมือนท่านสุบรรณเหราเพราะเรือบินไม่มีชีวิต พูดไม่ได้แลไม่รับรู้อันใด”
ปรางทิพย์มณฑาทองยิ้มเขินๆ มองไปรอบๆ เห็นผู้คนมองมาด้วยสีหน้าประหลาดใจ กับชุดที่สองคนใส่ไม่เหมือนใครคนอื่นๆ
“เหตุใดผู้คนจึ่งได้มองข้าเช่นนั้น”
“เขาคงมิเคยเห็นคนงามอย่างเจ้าละมัง”
ปรางทิพย์ยิ้มเขิน หันไปมองขนมไข่ปลา เทศมองตาม
“เอาขนมไข่ปลากระทงนึงจ้ะป้า”
แม่ค้าตักขนมแล้วยื่นให้ พลางมองปรางทิพย์อย่างแปลกใจ
“แต่งตัวสวยขนาดนี้จะไปรำที่ไหนหรือแม่หนู”
เทศกับปรางทิพย์มองหน้ากันอึกอักๆ จนเทศยิ้มตอบไปว่า
“ฉันพาเมียมาเที่ยวจ้ะ”
“ถ้างั้นก็น่าจะไปชักภาพเก็บไว้เสียหน่อยนะ”
“ฉันก็ว่าจะไปเหมือนกัน ร้านชักภาพอยู่ที่ไหนหรือจ๊ะ”
แม่ค้าชี้บอกทาง “โน้น เดินไปอีกนิดก็เห็นแล้ว ที่มีภาพวางหน้าร้านน่ะ”
เทศกับปรางทิพย์มองตาม ยิ้มดีใจ หันกลับมาขอบคุณแม่ค้า
“ขอบใจนะจ๊ะ พี่จะพาเจ้าไปชักภาพเก็บไว้ให้ลูกหลานเราดู”
ปรางทิพย์มีอาการกลัวๆ “ข้ามิไปดอก จู่ๆ ไปอยู่ในแผ่นกระดาษเล็กๆ ได้เช่นใดก็ไม่รู้”
แม่ค้าเชียร์ว่า “ไปเถอะนังหนู แต่งตัวมาเปิ๊ดสะก๊าดขนาดนี้แล้ว ถ่ายเก็บไว้ให้ลูกหลานเอ็งดู”
ปรางทิพย์มณฑาทองไม่วายหวาดหวั่น มองเทศกล้าๆกลัวๆ
สองคนพากันมาอยู่ในสตูดิโอร้านถ่ายรูปโบราณเมื่อ 70 ปีที่แล้ว
ปรางทิพย์และเทศ ยืนเคียงกันเตรียมถ่ายภาพ ทั้งคู่ต่างยิ้มและจับมือกันอย่างมีความสุข ก่อนจะวางท่าสวยงาม มองกล้องตามที่ช่างภาพสั่ง
“พร้อม...มองกล้องนะครับ”
แสงแฟลชจากกล้องสว่างวาบ
หลายวันผ่านไป ภาพถ่ายขาวดำสองคนใบนั้นอยู่ในมือเทศ เขามองดูอย่างชื่นชมไม่วายเว้น
ปรางทิพย์มณฑาทองถือสำรับอาหารเข้ามา ในสำรับมีข้าว ผักลวก น้ำพริก เผือก มะยมดอง และพริกเกลือ สองผัวเมียอยู่ในชุดชาวลับแล
“พี่เทศมากินข้าวเสียก่อนเถิด ข้าเห็นพี่นั่งดูภาพมาตั้งนานแล้ว”
“ก็พี่ดีใจ ที่ภาพนี้เป็นเครื่องเตือนว่าเราจะอยู่คู่กันอย่างนี้ตลอดไป” เทศยกมือลูบท้องปรางทิพย์เบาๆ พูดกับลูกว่า “พ่อกับแม่จะเก็บไว้ให้หนูดูนะลูก”
ปรางทิพย์ยิ้มชื่น ลูบท้องตัวเอง “บอกพ่อกินข้าวได้แล้วลูก”
เทศหอมแก้มปรางทิพย์ฟอดใหญ่ “ขอบใจเจ้านักที่ยอมเสียสละเพื่อพี่ตั้งมากมาย พี่ไม่รู้จะตอบแทนเจ้าเช่นใดนอกจากความซื่อสัตย์ต่อเจ้าตลอดไป”
“แค่ซื่อสัตย์อย่างเดียวมิได้ดอก พี่ต้องรักข้ากับลูกให้มากยิ่งกว่าสิ่งใด”
“ใจพี่ไม่มีให้ผู้ใดอีกแล้วนอกจากเจ้ากับลูก”
ทั้งคู่สบตากันหวานซึ้ง ปรางทิพย์อายม้วนหน้าแดงรีบเปลี่ยนเรื่อง
“กับจะเย็นเสียหมด พี่รีบกินก่อนเถิด”
เทศยิ้มมองที่สำรับ “วันนี้มีแต่ของน่ากินทั้งนั้น เห็นแล้วน้ำลายสอ”
เขาหยิบมะยมดองขึ้นมากินอย่างเอร็ดอร่อย อาการเหมือนคนแพ้ท้องกระนั้น ปรางทิพย์มณฑาทองมองแล้วกลืนน้ำลายตาม
เทศหันมามอง หยิบมะยมดองป้อนใส่ปาก ทั้งคู่ส่งยิ้มให้กันอย่างมีความสุข
ปรางทิพย์ดึงตัวเองกลับมา มองเข้าไปในบ้านร้างด้วยแววตาเปี่ยมความหวัง บัวคำพยายามให้กำลังใจ
“ทุกอย่างกำลังจะกลับมาเป็นดังเดิมในไม่ช้า”
“ถ้าคุณทศจำทุกอย่างได้แล้ว ข้าจะได้รู้ว่าลูกข้าอยู่ที่ใด เราจะได้กลับมาอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตากันเสียที”
บัวคำยิ้มให้ “ตอนนี้ต้องรีบทำให้คุณทศจดจำทุกอย่างให้ได้เร็วที่สุด เพราะเราเหลือเวลาอีกไม่มากแล้ว”
ปรางทิพย์นึกขึ้นได้ “จริงสิ คุณทศจะเป็นอย่างไรบ้างก็ไม่รู้ เดี๋ยวมื้อนี้ข้าจะทำอาหารไปให้คุณทศเอง”
“เจ้าข้าแม่หญิง”
ปรางทิพย์ยิ้มอย่างมีความหวัง บัวคำเอาใจช่วย
ทางด้านคุณยายมาลีมองจ้องทศนนท์อึ้งๆ พลางอุทาน อย่างตกใจ
“พี่เทศ”
ทศนนท์สะดุดหู แปลกใจมาก “เมื่อกี้คุณยายเรียกผมว่าเทศเหรอครับ”
มาลีนึกได้รีบแก้ตัว “ไม่มีอะไรหรอกจ้ะ คุณทศแค่หน้าเหมือนกับเพื่อนยายที่ชื่อเทศ เหมือนกันมากอย่างกับคนคนเดียวกัน”
ทศนนท์มองมาลีอย่างเคลือบแคลงใจว่าหญิงชราต้องรู้เรื่องเมืองลับแลแน่ๆ
พีรพรตีหน้าเศร้ายิ่งมุกแทรกขึ้น “คงเหมือนกับที่ผมต้องเจอ ทุกวันมีแต่คนทักว่าพักโบกอม ผมจะปฎิเสธก็ไม่ได้เพราะหน้าเราเหมือนกันอย่างกับฝาแฝด”
“พอเลยๆ มีงานอะไรก็ไปทำไป”
“คร้าบบบ ขอตัวนะครับ”
พีรพรเดินขึ้นบ้านไป ทศนนท์มองตาม ส่ายหน้าขำๆ ก่อนจะหันไปบอกมาลี
“อย่าถือสานายพีเลยนะครับ เขาชอบเล่นไปทั่ว แล้วเพื่อนคุณยายคนนั้น ตอนนี้อยู่ที่ไหนเหรอครับ”
“ยายก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาเป็นยังไงอยู่ที่ไหน” มาลีหน้าเศร้าลงหันไปทางหลาน “ยายขอคุยกับคุณทศหน่อยนะลูก”
“ค่ะ งั้นหนูออกไปข้างนอกนะคะ”
“ยายจะออกไปคุยกับคุณทศด้านนอกเอง”
มาลีหันมองทศนนท์เชิงบอก เขาพยักหน้ารับงงๆ
“ครับ งั้นเดี๋ยวผมพาไปนะครับ”
มาลีมองทศนนท์ไม่วางตา เหมือนมีปมในใจ
ทศนนท์พยุงมาลีเดินออกมาที่สวนหน้าบ้านพักทศนนท์ มาลีหยุดแล้วหันกลับไปมองว่าไม่มีใครตามมาแน่ๆ จึงหันกลับมามองทศนนท์อย่างรู้สึกผิดน้ำตาคลอแล้วทรุดตัวลงจะกราบทศนนท์
“พี่เทศ ข้าขอโทษ...”
ทศนนท์รีบคว้าตัวมาลีไว้ทั้งตกใจและแปลกใจ
“คุณยายอย่าทำอย่างนี้ครับ”
มาลีร้องไห้ออกมาอย่างรู้สึกผิด คิดว่าทศนนท์คือเทศ และที่แกล้งไม่รู้จักตนเพราะยังโกรธเรื่องในอดีตอยู่
“พี่เทศ...พี่ยังโกรธข้าอยู่ใช่หรือไม่ ข้ามิได้ตั้งใจทำให้ผู้ชายในเมืองต้องตาย ข้าไม่มีหน้ากลับไปเมืองลับแลอีกแล้ว ทุกวันนี้ข้าต้องรับกรรม ชดใช้ความผิดที่ก่อไว้ด้วยความเจ็บปวดใจและไม่มีวันลบล้างได้เลย”
ทศนนท์ประหลาดใจหนัก “นี่คุณยายพูดอะไรครับ ผมไม่เข้าใจ”
“พี่คงจำข้ามิได้ใช่ไหม ข้ามัลลิกานารีไง”
ทศนนท์ตกใจเอาการ อึ้งนิ่งงันไป
“ที่แท้..คุณยายก็คือมัลลิกานารี เพื่อนรักของปรางทิพย์มณฑาทองใช่ไหมครับ”
มาลียิ้มทั้งน้ำตาพยักหน้ารับด้วยความเจ็บปวด พูดอะไรไม่ออก
ทศนนท์จับมือมาลีปลอบ “คุณยายฟังผมดีๆนะครับ ผมชื่อทศ ไม่ใช่เทศ”
มาลีตกใจอ้าปากค้าง ก่อนจะพยายามตั้งสติ
“แล้วคุณรู้จักปรางทิพย์มณฑาทองได้ยังไง”
“เรื่องนี้มันซับซ้อนครับ
ทศนนท์มองออกไปเบื้องหน้า อย่างใคร่ครวญครุ่นคิด
ส่วนที่สำนักเจ้าแม่เนตรตาทิพย์ ลมพัดอู้เหมือนกำลังจะมีอะไรเกิดขึ้น
เนตรมายานั่งหลับตาทำสมาธิ เบื้องหน้าเป็นขันน้ำมนต์
เนตรมายาพูดออกมาทั้งที่ยังหลับตา
“มีอะไร…จะมาก็มาให้เห็น อย่ามาแบบหลบๆซ่อนๆ”
เชื่อมมองหาไปรอบๆ ด้วยความหวาดกลัว แต่ไม่เห็นมีใคร
“เจ้าแม่พูดกับใครจ๊ะ ป้าไม่เห็นมีใครเลย”
เนตรมายาลืมตาขึ้นแล้วจ้องออกไปตรงหน้า พูดด้วยน้ำเสียงกราดเกรี้ยว
“ฉันบอกให้ออกมาไง!”
บุษบาลาวัณย์ปรากฏกายโผล่พรวดออกมากลางห้อง เชื่อมชะงักงันมองตาค้างตกใจ
บุษบาลาวัณย์ยิ้มในหน้า “เก่งเหมือนกันนี่ นึกว่าจะเก่งแค่สร้างเรื่องหลอกชาวบ้าน ที่แท้ก็มีวิชาพอตัวอยู่”
“มีอะไรก็พูดมา”
“ข้ามาบอกวิธีกำจัดนังปรางทิพย์มณฑาทอง”
เนตรมายายิ้มพอใจ
“ว่ามา”
“อีกสองวันจะถึงวันอมาวสี นังปรางทิพย์มณฑาทองจะกลายร่างเป็นยายแก่ปีศาจและมันก็จะอ่อนแอไม่มีกำลัง เธอต้องจับมันให้ได้”
เนตรมายาคุมแค้น “ที่แท้อีแก่นั่นก็คือนังปรางงั้นเหรอ”
เชื่อมตั้งสติมองบุษบาท่าทีหวั่นกลัว “ป้าว่าแล้ว มันทำเป็นมาหลอกว่าเป็นยาย ที่แท้ก็เป็นตัวมันเอง เจ้าแม่ต้องจับมันให้ได้นะ คุณทศจะได้หันมามองเจ้าแม่เสียที ว่าเจ้าแม่ทั้งหวังดีและจริงใจขนาดไหน”
เนตรมายามองจ้องหน้าบุษบา “แล้วฉันต้องทำยังไง”
“เราต้องช่วยกันเปิดโปง ให้ชาวบ้านเห็นว่ามันเป็นผีร้ายที่จับผู้ชายไปบูชายัญ ผู้ชายในหมู่บ้านต้องตายก็เพราะนังปรางทิพย์มณฑาทอง”
เชื่อมชอบใจ บอกกับเนตรมายาว่า “แล้วคุณทศก็จะได้หันมามองเห็นความดีของเจ้าแม่สักที”
เนตรมายายิ้มพอใจ คนดีที่ไหนทั้งสามมองหน้ากันอย่างมาดหมาย
ทางด้านมาลีนิ่งมองทศนนท์ รอฟังด้วยสีหน้าประหลาดใจ
“ผมไม่ได้แค่รู้จักคุณปรางทิพย์มณฑาทองหรอกนะครับ แต่ผมยังรู้เรื่องที่ผู้ชายในเมืองต้องตายด้วย”
“เรื่องทั้งหมดมันเป็นความผิดของยายเอง ยายหูเบาเชื่อคำคนบาปยายผิดเอง...”
มาลีร้องไห้คร่ำครวญ นึกถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในอดีต อาการหัวใจกำเริบ เจ็บหน้าอกอย่างรุนแรงแล้วหน้ามืดทรุดตัวลงโชคดีที่ทศนนท์รับไว้ทัน
“คุณยายเป็นอะไรไปครับ”
อนุชิตซึ่งเดินผิวปากอารมณ์ดีเข้ามาเห็นเข้า ตกใจรีบวิ่งเข้ามาช่วย
“เกิดอะไรขึ้นครับหัวหน้า”
มาลีพยายามตั้งสติ
“เนียร์...”
“พี่นุรีบเข้าไปตามครูเนียร์ออกมาที”
“ครับๆ” อนุชิตวิ่งขึ้นบ้านไป
“คุณยายหายใจเข้าลึกๆนะครับ” เขาเอามือพัดให้ “เดี๋ยวผมจะพาไปหาหมอ”
สักพัก นิรชา อนุชิต พีรพร และมัทนาก็วิ่งหน้าตาตื่นลงมา
นิรชาเข้าไปดูมาลี ถามทศนนท์อย่างร้อนใจ “คุณยายคะ คุณทศคะ รีบพาคุณยายไปหาหมอก่อนเถอะค่ะ”
ทศนนท์อุ้มมาลีไปที่รถกระบะ ทุกคนวิ่งตามไปอย่างตกใจ
จาริณีเปิดประตูห้องตรวจเข้ามา ให้ทศนนท์อุ้มมาลีเข้ามาวางบนเตียง คนอื่นๆ วิ่งตามมา
ปรัชญาเดินมาดู ถามอย่างตกใจ “เกิดอะไรขึ้นกับคุณยายครับ”
“โรคหัวใจกำเริบ หมอช่วยคุณยายด้วยนะ” นิรชาบอก
“ใจเย็นๆ นะเนียร์”
จาริณีเอาเครื่องมือตรวจมาให้หมอ ปรัชญารีบครอบหน้ากากออกซิเจนให้มาลี แล้วตรวจฟังคลื่นหัวใจ ทศนนท์หันไปมองนิรชาอย่างเห็นใจ
นิรชายืนร้องไห้น้ำตาร่วง พอเห็นว่าทศนนท์กำลังมองมา ก็รีบเช็ดน้ำตาไม่อยากให้เขาเห็นมุมอ่อนแอ
ทศนนท์แตะไหล่นิรชาเบาๆ ปลอบโยน
“คุณยายถึงมือหมอแล้ว คงไม่เป็นไรแล้วล่ะคุณ”
“ค่ะ”
ทศนนท์มองนิรชาอย่างเห็นใจ
ปรางทิพย์กับบัวคำหยุดยืนชะเง้อมองขึ้นไปบนบ้านพักนายช่าง ในมือบัวคำถือตะกร้าใส่อาหารมาด้วย
“จะให้ข้าเข้าไปดูให้หรือไม่แม่หญิง”
ปรางทิพย์ส่ายหน้า “เขามิได้อยู่ที่นี่ มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เหตุใดข้ารู้สึกแปลกๆ”
บัวคำปลอบใจ “คงไม่มีอะไรดอกแม่หญิง คุณทศอาจจะออกไปหาอะไรกินหรือเปล่า ตอนนี้ก็เที่ยงแล้ว คงจะไปกินข้าวที่ร้านในหมู่บ้านมากกว่า”
“เรารีบไปดูที่นั่นกันเถิดพี่บัวคำ ข้าสังหรณ์ใจอย่างไรบอกไม่ถูก”
บัวคำพยักหน้ารับ แววตาเต็มไปด้วยความกังวล
“ยิ่งใกล้วันเข้ามา ข้าก็ยิ่งรู้สึกว่ามีศัตรูรอบทิศไปหมด”
ปรางทิพย์ถอนหายใจเสียงดัง เครียดไม่น้อย
กฤตณีคุยโทรศัพท์อยู่กับนิรชาด้วยสีหน้าท่าทางเคร่งเครียด
“โอเคๆ เดี๋ยวฉันจะรีบไปเดี๋ยวนี้เลยแก” คิตตี้วางสายบอกกับตาลด้วยท่าทางร้อนใจ “แม่จ๋าเดี๋ยวฉันไปอนามัยก่อนนะ พอดีคุณยายเป็นลม”
สองผัวเมียตกใจ ตาลอุทานลั่น
“ตายแล้ว คุณยายเป็นอะไรมากหรือเปล่าลูก”
“หมอกำลังตรวจอาการอยู่แม่ โชคดีที่คุณทศรีบพาไปหาหมอทัน งั้นฉันเอารถไปนะแม่ ขากลับจะได้รับคุณยายกลับมาด้วยเลย”
เสียงปรางทิพย์ดังเข้ามา “เกิดอะไรขึ้น คุณทศพาใครไปอนามัย”
กฤตณี ตาล และศักดิ์หันมามอง เห็นปรางทิพย์เดินเข้ามากับบัวคำ
“ยายของครูเนียร์น่ะจ้ะ” ตาลบอก
ปรางทิพย์กับบัวคำมองหน้ากัน
“เราขอไปด้วยได้ไหม” ปรางทิพย์เอ่ยขึ้น
“ก็ดีเหมือนกันค่ะ มีอะไรจะได้ช่วยกัน”
“งั้นรีบขึ้นรถเลยครับ”
“ทางนี้ค่ะคุณปราง พี่บัวคำ”
กฤตณีเดินนำปรางทิพย์กับบัวคำออกไปที่รถอย่างรีบร้อน ศักดิ์กะตาลมองตามอย่างเป็นห่วง
ม่านในห้องตรวจบนอนามัยถูกเปิดออก นิรชารีบวิ่งเข้าไปกอดมาลีด้วยความเป็นห่วง
“คุณยายอย่าเป็นแบบนี้สิคะ เนียร์ใจหายหมดเลย”
มาลียิ้มให้ “ยายไม่เป็นไรแล้วลูก”
“คุณคุยอะไรกับคุณยาย ทำไมคุณยายถึงได้เป็นแบบนี้”
มาลีปรามหลาน “เนียร์…ไม่มีใครทำอะไรยายหรอกลูก อากาศมันร้อนยายถึงได้วูบไป”
“หมอตรวจแล้วเป็นยังไงบ้าง”
“ตอนนี้อาการคุณยายไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงแล้ว แต่เราอยากให้เข้าไปตรวจในเมืองอีกทีเพื่อความมั่นใจ” ปรัชญาบอก
“ไม่เป็นไรลูก เดี๋ยวยายไปตรวจกับหมอประจำตัวยายก็ได้ อีกไม่กี่วันก็กลับแล้ว” มาลีว่า
“เดี๋ยวเนียร์จะพาคุณยายไปตรวจในเมืองก่อนดีกว่าค่ะ”
“เดี๋ยวผมพาไปเองครับ” ทศนนท์บอก
“ขอบใจจ้ะ ขอบใจทุกคนนะลูก”
มาลีมาสะดุดตาที่อนุชิต เมื่อเห็นสีหน้าดูหมองคล้ำ
ทศนนท์รีบแนะนำตัว “นี่พี่นุ เพื่อนร่วมงานผมครับคุณยาย”
อนุชิตยกมือไหว้
มาลีมองจ้องหน้า เตือนอย่างเป็นห่วง “ไปไหนมาไหนระวังตัวหน่อยนะลูก”
อนุชิตรับคำงงๆ “ครับ”
พีรพรแกล้งแซว “ช่วงนี้พี่นุยิ่งชอบหนีออกไปกินเหล้ากลางคืนบ่อยๆ ระวังเจอผีแม่ม่ายนะพี่”
“คนดีผีคุ้มโว้ยไอ้พี”
“กินเหล้าเยอะเดี๋ยวผีไม่คุ้มนะพี่” ทศนนท์อำด้วย
“ครับหัวหน้า หัวหน้าจะพาคุณยายไปหาหมอในเมืองไม่ใช่เหรอ ผมว่ารีบออกไปเถอะ เดี๋ยวขากลับมืดค่ำ เดินทางจะอันตราย”
“นั่นสินะ ผมว่ารีบไปกันเถอะครับ”
“ค่ะ”
ทศนนท์กับนิรชารีบช่วยกันพยุงมาลีลงจากเตียงมานั่งรถเข็น แล้วเข็นออกไป
“ฝากดูแลคุณยายกับครูเนียร์ด้วยนะครับคุณทศ” ปรัชญาว่า
ทศนนท์ยิ้มรับ
ปรัชญาไม่คิดอะไรกับนิรชาแล้ว จาริณีอ่านออกแอบยิ้มกับตัวเอง
ทศนนท์กับนิรชาช่วยกันพยุงมาลีมาขึ้นรถที่หน้าสถานีอนามัย แล้วขึ้นตาม ทศนนท์ขับรถแล่นออกไปด้านซ้าย ทางออกนอกหมู่บ้าน
มองจากมุมบนลงมา เห็นรถกฤตณีขับเข้ามาจากในหมู่บ้าน เข้ามาจอดที่หน้าสถานีอนามัย คนละทางกับที่ทศนนท์และนิรชาออกไป ทุกคนพากันก้าวลงจากรถ
ปรางทิพย์ก้าวลงจากรถแล้วมองไปรอบๆ ด้วยสีหน้าครุ่นคิด
พีรพรกับอนุชิตเตรียมตัวจะกลับ อนุชิตหันมาถามพีรพร
“พี่จะไปนั่งร้านกาแฟ แกจะไปด้วยกันไหม”
พีรพรอ้าปากจะตอบ แต่สายตามองไปเห็น กฤตณี ปรางทิพย์และบัวคำถือตะกร้าติดมือมาด้วย เดินขึ้นมาในอนามัยจึงหันไปทักสามสาว
“อ้าว มาทำอะไรกันเหรอครับ”
“มาเยี่ยมคุณยาย คุณยายอยู่ในห้องหรือเปล่าคะ”
“หัวหน้าเพิ่งพาคุณยายเข้าไปหาหมอในเมืองเมื่อตะกี้นี่เอง ขับเข้ามาไม่สวนกันเหรอครับ”
ปรางทิพย์หันไปมองหน้าบัวคำอย่างรู้กัน
“ไม่เห็นเลยค่ะ รีบเข้ามาเลยไม่ทันมอง” คิตตี้บอก
บัวคำยื่นตะกร้าอาหารในมือให้พีรพร “คุณช่วยเอาอาหารนี่ไปทานหน่อยนะคะ”
พีรพรรับมาท่าทีงงๆ “อ้าว อยู่ๆ ร่างกายก็ได้สารอาหารชะงั้น”
“ก็พี่บัวคำคงเห็นแล้วว่าคุณเห็นแก่กิน ถึงได้ยกให้” คิตตี้แดกดัน
“พูดเหมือนอิจฉา คุณเองก็อยากกินใช่ไหมล่ะ”
ปรางทิพย์ตัดบท “เดี๋ยวฉันกับพี่บัวคำขอตัวนะคะ”
“จะไปยังไงคะ เดี๋ยวกลับกับคิตตี้ก็ได้ค่ะ”
ปรางทิพย์อึกอักสุดท้ายเปลี่ยนใจเลือกกลับพร้อมกฤตณี กลัวจะโดนจับได้ถ้าจะวับไป
“งั้นก็กลับกันเลยนะคะ คิตตี้กลับก่อนนะคะหมอ”
ปรางทิพย์ บัวคำ กฤตณีเดินออกไป
อนุชิตหันมาลาหมอ “ผมก็ขอตัวนะครับ”
จากนั้นพีรพรกับอนุชิตเดินก็ออกมาด้วยกัน พีรพรยิ้มเจ้าเล่ห์เอ่ยขึ้นมาว่า
“พี่ทศนี่จะโดนตำรวจจับวันไหนวะพี่”
อนุชิตงงๆ “จับทำไมวะ”
“ก็คบซ้อนไงพี่ ไม่ได้ซ้อนธรรมดานะเนี่ย ซ้อนสามซะด้วย”
อนุชิตตบหัวป้าบเข้าให้ “เขาไม่เรียกคบซ้อนโว้ย เขาเรียกสร้างโลกขึ้นมาหลายใบ”
พีรพรยิ้มขำมองจับผิด “พี่นี่ลึกกว่าผมอีกนะเนี่ย ว่าแต่พี่เถอะ สร้างโลกขึ้นมากี่ใบระวังนะ”
อนุชิตไม่ใส่ใจ
ทางด้านเนตรมายาทำพิธีอยู่บนสำนัก กำลังจะส่งลูกเทพไปดูความเคลื่อนไหวของปรางทิพย์
“หนูไปตามดูนังปรางนะลูกแล้วค่อยกลับมารายงานแม่”
“จ้ะแม่จ๋า”
ลูกเทพหายตัววับไป พร้อมๆ กับเสียงเรียกทรงกลดก็ดังขึ้น
“คุณเนตร…ป้าเชื่อม…อยู่หรือเปล่า”
บุษบาลาวัณย์ตกใจ รีบพรางตัวหายวับไป เชื่อมมองตื่นตะลึงในฤทธิ์เดชสาวลับแล
ทรงกลดเดินเข้ามาในโถงพิธีด้านในสำนัก มองไปรอบๆ อย่างเคลือบแคลงใจ
“กำลังทำอะไรกัน ทำไมอยู่กันเงียบๆ ผมนึกว่าไม่มีใครอยู่เสียอีก”
“เจ้าแม่กำลังเตรียมทำพิธีจับผีคืนนี้ค่ะคุณทรงกลด” เชื่อมว่า
ทรงกลดไม่เชื่อ “ผีจริงๆน่ะเหรอ”
เนตรมายารีบเปลี่ยนเรื่อง “คุณมีธุระอะไรหรือเปล่าคะ”
“ตอนนี้เรื่องชาวบ้านไปถึงไหนแล้ว”
เนตรมายารู้ทัน “เรื่องครูเนียร์หรือเปล่า”
ทรงกลดอึกอัก “อืม…ได้ยินว่าเขาถูกยิง แล้วเขาเป็นอะไรหรือเปล่า”
“ข่าวไวนะคะ”
“ขนาดถูกยิงมันยังไม่วายหาเรื่อง นังมิ้นบอกตอนนี้มันกำลังรีบล่ารายชื่อชาวบ้านอยู่ สงสัยมันจะไม่กลัว” เชื่อมบอก
ทรงกลดกัดฟันกรอด โกรธจัด “เจอขนาดนี้มันยังไม่ถอยอีก”
“งานแค่นี้ลูกน้องคุณไม่น่าพลาดง่ายๆ นี่คะ” เจ้าแม่เหน็บ
ทรงกลดปฏิเสธทันควัน “เกี่ยวอะไรกับผมล่ะ คนอย่างนังครูนั่นคงสร้างศัตรูไปทั่วถึงได้โดนยิง”
เนตรมายายิ้มในหน้ามองรู้ทัน “จะทำอะไรก็ทำ แต่อย่ายุ่งกับคุณทศก็แล้วกัน” แม่หมอไม่พอใจที่เห็นทศนนท์ถูกยิง
“อย่ามายุ่งเรื่องนี้ดีกว่า คุณทำงานส่วนของคุณไป” ทรงกลดปราม
“เรื่องงานคุณฉันไม่ยุ่งอยู่แล้ว แต่เรื่องคุณทศฉันไม่ยุ่งไม่ได้”
“ถ้านายนั่นชอบคุณ ทำไมวันๆ ไปวุ่นวายกับคนโน้นทีคนนี้ทีล่ะ”
ถูกทรงกลดประชดเข้าให้ เนตรมายาถึงกับพูดไม่ออก
“จะทำอะไรก็อย่าลืมหน้าที่ด้วย อย่าลืมว่าผมให้คุณเข้ามาทำอะไรที่นี่”
พูดจบทรงกลดก็เดินออกไปเลย เนตรมายาเจ็บใจเถียงไม่ออก
บุษบาลาวัณย์ซึ่งพรางตัวแอบฟังอยู่ มองตามทรงกลดไปด้วยสีหน้าใคร่ครวญครุ่นคิด
ที่บ้านผู้ใหญ่จรัล เสถียรเดินถือเอกสารขึ้นเรือนมาอย่างอารมณ์ดี แล้วต้องชะงักกึกตรงนอกชาน เมื่อเจอเข้ากับมินตาซึ่งแต่งชุดสวยฉ่ำ และทำท่าทางร้อนขยับเสื้อให้เห็นว่าใส่สร้อยทองเส้นใหญ่ แล้วพยายามโชว์สร้อยข้อมือ
“โอ๊ย! อากาศมันจะร้อนไปไหนเนี่ย ดีที่ช่างมาติดแอร์ให้แล้วไม่งั้นลำบากแน่ๆ”
เสถียรมองหมั่นไส้ ไม่อยากให้ราคา “แม่แกเป็นหมีขั้วโลกเหนือเหรอ ถึงทำเป็นทนความร้อนไม่ได้”
มินตาพยายามข่มใจพูดดีๆ ด้วย “แหมเจ๊ฉันมีชีวิตดีๆ ฉันก็อยากแบ่งปันไง ดูสิเนี่ย วันๆ เจ๊ยังเดินเป็นผีไม่มีศาลอยู่เลย มาอาศัยเขาอยู่มันไม่ส่วนตัวหรอกนะเจ๊”
“คนอย่างเจ๊น้ำหวานมองเรื่องส่วนรวมมากกว่าเรื่องส่วนตัวโว้ย ถ้าต้องให้ทำร้ายบ้านเกิดตัวเองกูสู้อดตาย ดีกว่ามีกินอย่างน่าอับอาย”
เสถียรเดินหนีไป มินตาตะโกนตามหลังอย่างเจ็บใจ
“อยากอดตายก็ตามใจ ฉันถือว่ามาเตือนแล้วนะ ถ้าคิดจะอยู่คนละข้างกับคุณทรงกลดละก็ เตรียมตัวคุยกับรากมะม่วงไว้เลย”
เสถียรหันกลับมาตอกหน้า “แกไม่ต้องมาห่วงคุณภาพชีวิตฉันหรอกนังมิ้น แกเอาเวลาไปห่วงชีวิตแกเถอะ อยากได้อยากมีจนตัวสั่น ระวังทำอะไรไว้มันจะปิดไม่มิด”
“เออ! ทำงานง่ายได้เงินใช้ไม่ชอบ ชอบทำตัวมีปัญหา มิน่าพ่อถึงไม่รัก”
เสถียรหันขวับมาอีก “นี่มึงลามปามถึงพ่อกูเลยเหรอ จะให้กูตบมึงให้ได้ใช่ไหมอีมิ้น”
มินตาท้าเหยงๆ “แน่จริงก็เข้ามาสิ”
เสถียรข่มใจเดินหนี “กูเห็นว่ามึงเป็นเพศเดียวกับแม่กูหรอกนะ กูถึงไม่อยากทำอะไรมึง ถึงกูจะรู้ว่ามึงอะไรกับใครมาบ้าง”
มินตาโมโหปนตกใจกลัวใครเข้ามาได้ยิน กระโดดเข้าไปดึงวิกผมเสถียรหลุดติดมือมา เสถียรโกรธ ดึงวิกคืนแล้วเอาแฟ้มเอกสารตบเข้าที่หน้ามินตา
“วิกข้าใครอย่างแตะโว้ย”
มินตาหระโจนใส่ตบเสถียรเต็มแรง เสถียรตบ มินตาข่วน เสถียรถีบมินตากระเด็นไป แต่มินตาไม่ยอมแพ้ โผนเข้าใส่ ทั้งคู่ตบตีกันเป็นที่ชุลมุน ต่างฝ่ายต่างได้รับบาดเจ็บพอๆ กัน
เสถียรหน้าปูดบวมเต็มไปด้วยรอยเล็บข่วน ผลักมินตาออก
“มึงกลับไปเลยนะ ก่อนที่กูจะทนไม่ไหว”
มินตาหน้าตาเขียวช้ำ แต่ยังไม่ยอมเลิกง่ายๆ เสถียรยกมือตั้งการ์ดตั้งท่าต่อยใส่ มินตายกแขนขึ้นป้องไม่กล้าสู้
“ฝากไว้ก่อนเถอะอีกะเทยเฒ่า”
มินตารีบเดินกลับไปโดยเร็วกลัวโดนซ้ำ เสถียรมองตามอย่างเจ็บใจ
ฝั่ง ปรางทิพย์กับบัวคำหายตัวมาโผล่ตรงมุมลับตา ด้านนอกอาคารผู้ป่วยของโรงพยาบาลในตัวเมือง
ปรางทิพย์มองเข้าไปด้านในโรงพยาบาล “คุณทศน่าจะอยู่ที่นี่”
บัวคำไม่อยากเข้าไป “เราจะเข้าไปรึแม่หญิง”
ปรางทิพย์พยักหน้ายืนยัน แล้วเดินนำเข้าไปในตึกผู้ป่วย บัวคำมองอย่างเป็นกังวล สุดท้ายตัดใจเดินตามไป
ขณะเดียวกัน นิรชาเป็นห่วงมาลีมาก คอยมองเข้าไปในห้องตรวจอย่างใจจดใจจ่อ
ทศนนท์มองเห็นใจ “คุณไปนั่งก่อนเถอะ คุณยายไม่เป็นอะไรแล้ว”
“แต่ ฉันกลัว...”
ทศนนท์จับไหล่เชิงปลอบใจ “ไม่ต้องกลัวนะ คุณยายต้องไม่เป็นอะไร”
นิรชามองมือทศนนท์ แล้วละตัวเดินมานั่งที่เก้าอี้ ทศนนท์เดินมานั่งรอเป็นเพื่อน
“ขอบคุณนะคะที่เป็นธุระ ช่วยพาคุณยายมาโรงพยาบาล”
“ครับ” ทศนนท์นึกได้ “คุณจะโทร.บอกคุณแม่ก่อนไหม”
“ไม่ดีกว่าค่ะ เดี๋ยวท่านจะตกใจ รอให้คุณยายกลับไปเล่าให้ฟังเองดีกว่า” นิรชากังวลระคนสงสัยถามอย่างเกรงใจ “ว่าแต่…คุณคุยอะไรกับคุณยาย ท่านถึงได้เป็นแบบนี้”
“คุณยายพูดถึงเพื่อนเก่า”
“ที่ชื่อปรางทิพย์มณฑาทองหรือเปล่าคะ”
ทศนนท์ชะงัก ประหลาดใจที่นิรชารู้เรื่องนี้ “คุณรู้เรื่องปรางทิพย์มณฑาทองด้วยเหรอครับ”
“ก็รู้สิ ทำไมจะไม่รู้ ฉันเป็นหลานรักคุณยายนี่” นิรชาคุยข่ม ทั้งที่เธอไม่ได้รู้เรื่องราวทั้งหมด
ทศนนท์อำกลับ “แต่ตอนนี้คุณคงไม่ใช่หลานรักคนเดียวแล้วล่ะ เพราะคุณยายเพิ่งจะเจอผมก็เล่าให้ผมฟังแล้ว”
นิรชาลืมตัว ผลักแขนทศนนท์ข้างที่ถูกยิง “อย่ามาขี้ตู่นะ นั่นยายฉันคนเดียว”
ทศนนท์แกล้งร้องโอยโอย “โอ๊ย”
นิรชาหลงกล “ฉันขอโทษ คุณเจ็บมากไหม ไหนดูซิ แผลเป็นยังไงบ้าง”
ทศนนท์ลอบมองนิรชาอย่างเผลอไผล นิรชารับรู้เลยหันไปมองกลับ ทั้งคู่สบตากันจังๆ
นิรชารู้ตัวรีบปล่อยมือออก ยิ้มเก้อๆ เขินๆ
ปรางทิพย์เดินเข้ามาเห็นความชิดใกล้นั้นทั้งหมด เจ็บปวดรวดร้าวจนน้ำตาคลอเต็มตา มองทั้งคู่อึ้งๆ บัวคำตามมาเห็นภาพนี้ก็อึ้งไปเช่นกัน
ส่วนทางด้าน ศรชัย กำลังคุยโทรศัพท์กับสิงห์อย่างมีแผนร้าย ขจฟังอยู่ข้างๆ
“ครั้งนี้มึงต้องจัดการมันให้ได้นะโว้ย ถ้าจัดการมันไม่ได้ นายเอาตายแน่ นั่นสิ ข้าก็สงสัยเหมือนกัน โดนไปตั้งสองนัดทำไมมันไม่ตาย มีของดีอะไรหรือเปล่าวะ”
ขจรแย่งโทรศัพท์ไปคุย “จะยังไงก็ตาม วันนี้เรื่องมันต้องจบ เอาให้แน่ใจว่ามันหมดลมแล้วจริงๆ”
สองชายชั่วมองหน้ากันอย่างมุ่งมั่นมาดหมาย
ปรางทิพย์น้ำตาไหล มองไปที่ทศนนท์และนิรชาด้วยความเจ็บปวด จะเดินเข้าไปหาทศนนท์ บัวคำห้ามไว้
“แม่หญิง…ข้าว่าเรากลับกันก่อนดีกว่า คืนนี้แม่หญิงจักต้อง…” บัวคำค้างคำว่ากลายร่างเป็นพิณทิพย์ไว้เท่านั้น
แต่แล้วบัวคำชะงักเหมือนเห็นใครบางคน ปรางทิพย์มองตามสายตานั้น
สองคน เห็นพยาบาลเข็นรถพามาลีออกมาจากห้องตรวจ และนิรชา ทศนนท์ถลาเข้าไปถามอาการ
ปรางทิพย์และบัวคำพากันอึ้งไป คุ้นตากับมาลียิ่งนัก
“หญิงชราผู้นั้น เหตุใดข้าคุ้นหน้านางยิ่งนัก”
“นั่นสิแม่หญิง ข้าเองก็รู้สึกเหมือนเคยเห็นนางที่ไหน แต่นึกไม่ออก”
เป็นจังหวะเดียวกับที่มาลีมองมายังปรางทิพย์กับบัวคำเหมือนมีคนมองจ้องตน แต่กลับมองไม่เห็นใคร ก่อนจะหันกลับไปคุยกับนิรชาและทศนนท์ต่อ
ปรางทิพย์ปรากฎตัวขึ้นตรงมุมลับตาของถนนทางเข้าหมู่บ้านนางลับแลไม่ห่างจากบ้านนัก แต่ร่างกายของนางกลับขาดๆ หายๆ ไม่เต็มกาย เหมือนสัญญาณทีวีขัดข้องกระนั้น
สุดท้ายปรางทิพย์ทรุดตัวลงอย่างอ่อนแรง บัวคำปรากฏตัวตามมาทันรับตัวนางหญิงไว้ทัน
“เกิดอะไรขึ้นรึแม่หญิง”
“ข้าหมดแรง จิตข้าไม่นิ่ง ข้าไปต่อไม่ไหวแล้วพี่บัวคำ”
บัวคำช่วยพยุงลุกขึ้น “ถ้าเช่นนั้นข้าพาแม่หญิงกลับเอง อีกนิดเดียวก็จักถึงบ้านแล้ว”
ปรางทิพย์หน้าเศร้า “ข้ากำลังจะเสียคุณทศไปแล้วจริงๆ ใช่หรือไม่พี่บัวคำ”
บัวคำอึกอักไม่กล้าตอบ แต่แล้วทั้งสองก็ต้องชะงัก เมื่อเห็นอะไรบางอย่างทางด้านหลัง
เป็นรถทรงกลดแล่นเข้ามาจอดเทียบข้างๆ เขากุลีกุจอลงมาจากรถมาหามองอย่างเป็นห่วง
“คุณปรางเป็นอะไร ไม่สบายหรือเปล่าครับ”
“ไม่มีอะไรค่ะ ฉันกับพี่บัวคำแค่กำลังจะเดินกลับบ้าน”
“งั้นขึ้นรถเลยครับ ตรงนี้อากาศมันร้อน เดี๋ยวผมไปส่ง”
ทรงกลดจะเข้าประคอง แต่ปรางทิพย์เบี่ยงตัวออกอย่างมีมารยาท จังหวะนี้สายตาปรางทิพย์สะดุดกับใครลางคนที่มุมหนึ่ง เมื่อเขม้นมองชัดๆ จึงเห็นบุษบาลาวัณย์ยืนจ้องมองมาอย่างเคียดแค้น บัวคำมองตาม เห็นเช่นกัน
ทรงกลดมองตามสายตาปรางทิพย์ แปลกใจที่ไม่เจออะไร
“มีอะไรหรือเปล่าครับ”
ปรางทิพย์ยิ้มลางๆ โดยไม่ตอบ บัวคำรีบประคองปรางทิพย์ขึ้นรถ ทรงกลดรีบขึ้นรถขับแล่นออกไป
บุษบาลาวัณย์มองตามทั้งหึงหวง และเคียดแค้นปรางทิพย์สุดจะประมาณ
ไม่นานนัก รถทรงกลดแล่นเข้ามาจอดที่ลานข้างตัวบ้าน บัวคำประคองปรางทิพย์เดินมานั่งที่ศาลาหน้าบ้าน ปรางทิพย์อาการเหมือนคนอกหักและกำลังจะสิ้นหวัง
“เดี๋ยวพี่เข้าไปเอาน้ำมาให้นะคะ”
“ผมดูแลคุณปรางเองครับ ไม่ต้องห่วง”
บัวคำเดินออกไปทางหลังเรือน ทรงกลดหันมาทางปรางทิพย์
“คุณปรางดูเหมือนจะไม่สบายเลยนะครับ ไปให้หมอตรวจดูหน่อยไหม”
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ฉันแค่เหนื่อยเท่านั้นเอง แล้วคุณทรงกลดกำลังจะไปไหนเหรอคะ”
“ก็ว่าจะมาหาคุณปรางนี่ล่ะครับ โชคดีที่เจอคุณปรางเข้าพอดี”
มีบางอย่างเรียกให้ปรางทิพย์เหลือบมองไปทางด้านหนึ่ง และเห็นบุษบาลาวัณย์ยืนขึงตามองมาอย่างไม่พอใจ โดยที่ทรงกลดมองไม่เห็น
บัวคำถือถาดน้ำเข้ามา เห็นบุษบาลาวัณย์ก็ขึงสายตาไล่ แต่ฝ่ายนั้นจ้องกลับมาด้วยสายตาไม่ยอมแพ้
บัวคำยื่นน้ำให้ทรงกลด แล้วยื่นอีกแก้วให้กับบปรางทิพย์พร้อมผ้าเช็ดหน้า
“น้ำค่ะ ดื่มน้ำหน่อยนะคะคุณปราง เช็ดหน้าหน่อยนะคะ จะได้สดชื่นขึ้น”
ปรางทิพย์จิบน้ำ แล้วรับผ้ามาเช็ดหน้า พลางหันไปถามทรงกลด
“คุณบอกจะมาหาฉันมีธุระอะไรเหรอคะ”
“ผมจะมาบอกเรื่องปู่เทศกับลูกชายของท่านครับ”
ปรางทิพย์ดีใจจนเผลอทำผ้าหลุดมือและต้องรีบตั้งสติเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายสงสัย
“ลูก…ลูกเขาอยู่ที่ไหนเหรอคะ”
“พ่อผมเล่าให้ฟังว่า ตอนห้าหกขวบ ปู่เทศเคยพาลูกชายที่ชื่อทัศมาฝากไว้ที่บ้านปู่ผมพักนึง หลังจากนั้นก็หายไป”
“เขาหายไปไหนรู้ไหมคะ”
“พ่อผมก็ไม่รู้ครับ เพราะตอนนั้นยังเด็กมากด้วย ยิ่งปู่เทศเข้าป่าแล้วหายตัวไปก็ไม่มีใครรู้เรื่องของลูกชายปู่เทศอีกเลย”
เห็นสีหน้าปรางทิพย์เศร้าสร้อยไปชัดแจ้ง ทรงกลดจึงพยายามพูดปลอบ
“แต่ผมว่าทุกอย่างมันเริ่มเห็นหนทางแล้วนะครับ แค่เราตามหาลูกปู่เทศให้เจอ”
“เขาอาจจะยังมีชีวิตอยู่ เราต้องตามหาเขาให้เจอ เพราะเขาคือกุญแจสำคัญ”
“คุณปรางพูดเหมือนเคยรู้จักคุณทัศเลยนะครับ”
ปรางทิพย์ไม่ตอบ แล้วเหลือบมองบัวคำอย่างมีความหวังขึ้นมาอีกครา บัวคำยิ้มให้กำลังใจ
บุษบาลาวัณย์มองมายังปรางทิพย์ ทั้งหมั่นไส้และไม่พอใจ
ตกตอนเย็นที่ร้านกาแฟบ้านศักดิ์
แก้วกาแฟเปล่าๆ กินหมดแล้ว วางอยู่บนโต๊ะเต็มไปหมดตรงหน้าขจร ซึ่งเวลานี้นั่งสอดตามองไปรอบๆ เหมือนรอคอยอะไรบางอย่าง กฤตณีเอากาแฟมาเสิร์ฟให้ขจรเพิ่มอีก
“กินขนาดนี้ไม่ต้องหลับต้องนอนกันเลยมั้งพี่”
กฤตณีเอาแก้วกาแฟเปล่าใส่ถาดแล้วยกออกไป ศักดิ์ร้องทักขำๆ
“ร้านผมไม่มีสะสมแลกแก้วฟรีหรอกนะครับ ไม่ต้องกินเยอะขนาดนี้ก็ได้”
“ใช่ ถึงฉันจะขาย แต่ฉันก็ห่วงสุขภาพคนกินด้วยนะจ๊ะ” ตาลบอก
“พูดชะผมรู้สึกผิดกับร่างกายเลย งั้นเปลี่ยนเป็นนมเย็นก็แล้วกันนะน้า”
“จ้า ว่าแต่มารอใครเหรอ เห็นนั่งมาตั้งนานแล้ว”
“รอคุณทรงกลด ตอนนี้กำลังไปจีบสาวอยู่แถวๆ นี้แหละ”
ตาลหูผึ่ง สนใจ “คุณปรางเหรอ”
ขจรยิ้มแทนคำตอบ แต่แล้วก็ชะงัก มองเบื้องหน้าอย่างตื่นตัวขึ้นมาทันควัน ตาลเห็นสายตาจึงมองตาม พบว่าเป็นนิรชากับทศนนท์ช่วยกันพยุงมาลีลงรถ เดินเข้ามาที่ร้าน
ขจรมองนิรชาแล้วก้มพิมพ์ส่งไลน์ไปให้ศรชัย นิรชาชะงักมองขจรอย่างเคลือบแคลงสงสัย
“อ้าว…กลับมาแล้วเหรอลูก เป็นไงบ้างคะคุณยาย” ตาลถามอย่างห่วงใย
“ก็ดีขึ้นแล้วจ้ะ”
“งั้นเนียร์ขอพาคุณยายเข้าบ้านก่อนนะคะ คุณแม่ก็ยังไม่รู้เรื่องด้วย คงต้องอธิบายกันยาวเลยค่ะ” เธอหันไปขอบคุณเขา “ขอบคุณนะคะที่มาส่ง คุณกลับไปพักเถอะค่ะ ยุ่งมาทั้งวันแล้ว เดี๋ยวฉันพาคุณยายขึ้นไปเอง”
“ครับ งั้นผมขอตัวนะครับ”
“ขอบใจจ้ะคุณทศ”
“มาเหนื่อยๆ จะกินน้ำอะไรไหมครับนายช่าง”
“ขอบคุณครับ แต่ผมขอตัวก่อนดีกว่า”
ทศนนท์ยิ้มให้นิรชา แล้วเดินออกไป
อีกฟาก มินตาสวมแว่นตาดำ ขับรถมอเตอร์ไซค์เข้ามาจอดหน้าบ้านพักช่าง ตะโกนเรียกอนุชิต
“คุณนุ…คุณนุ อยู่ไหมคะ”
อนุชิตเดินออกมาหา มองไปรอบๆ กลัวคนเห็น ก่อนจะกระซิบถาม
“มีอะไรเหรอครับ”
“ฉันเอาต้มยำปลาช่อนมาให้ค่ะ”
อนุชิตยื่นมือรับปิ่นโต มินตารีบเอามือลูบมืออนุชิตอย่างยั่วยวน
“เดี๋ยวใครก็เห็นเข้าหรอก”
“ฉันรู้หรอกน่ะ นี่พี่ถนอมเขาให้เอามาให้ เพราะอยากขอบคุณที่พี่ช่วยเขาไว้วันนั้นน่ะ”
ส่งปิ่นโตให้เสร็จ มินตาก็ถอดแว่นออกให้อนุชิตเห็นสภาพใบหน้าที่เขียวช้ำเพื่อเรียกร้องความสนใจ
อนุชิตตกใจ “ไปโดนอะไรมา”
มินตาส่งสายตายั่วยวน “คืนนี้ฉันจะไปรอพี่ที่บ้านเก่าป้าบานเย็น ถ้าพี่อยากรู้และเป็นห่วงว่าฉันเป็นอะไรเดี๋ยวฉันจะเล่าให้ฟังที่นั่น หวังว่าพี่จะไม่ทิ้งให้ฉันรอเก้อเอานะ”
อนุชิตยิ้มตาหวานซึ้ง “จะทิ้งให้รอเก้อได้ไง พี่ไม่เจอมิ้นมาตั้งหลายวัน คิดถึงใจจะขาดอยู่แล้ว
“งั้นฉันกลับก่อนนะพี่”
มินตาส่งจูบให้อนุชิตยิ้มหวานตอบเอามือรับรอยจูบแล้ววางที่หัวใจ
อนุชิตมองตามมินตาขับรถออกไปจนลับตา เอามือลูบปากเบาๆ
ที่หน้าบ้านผู้ใหญ่ บรรยากาศโพล้เพล้ ใกล้มืดลงทุกขณะ
จาริณีกับปรัชญาเดินขึ้นมาบนเรือนบ้านผู้ใหญ่จรัล ซึ่งยังไม่เปิดไฟ มีเพียงแสงสลัวๆ ดูน่ากลัว
เสียงร้องไห้โหยหวนดังขึ้นจากมุมหนึ่งของชานเรือน จาริณีและปรัชญามองไปที่มุมห้องเห็นคนนั่งหันหลังอยู่ในเงามืด ชวนให้คิดว่าเป็นผี จาริณีชะงักตกใจ
ปรัชญารีบเดินนำหน้าบังจาริณีไว้ ค่อยๆ เดินเข้าไปใกล้ใครคนนั้น แล้วยื่นมือเอื้อมไปจะแตะเรียก แต่เสถียรหันขวับกลับมา สภาพหน้าบวมตุ่ยเต็มไปด้วยรอยเล็บข่วน สองคนต่างตกใจ
“พี่เถียรไปโดนอะไรมา แล้วทำไมมานั่งมืดๆอยู่แบบนี้”
เสถียรร้องโอยโอย แต่ยังมีสติเรื่องชื่อใหม่ “เจ๊น้ำหวานค่ะหมอ ไม่ใช่เสถียร... อูย...”
“เจ๊! ทำไมสภาพเป็นแบบนี้”
“ก็นังมิ้นน่ะสิ”
“อย่าเพิ่งพูดอะไรเลย เดี๋ยวจ๋าไปเอายามาทำแผลให้ก่อน”
จาริณีเดินออกไป ปรัชญาเดินไปเปิดสวิทช์ไฟแล้วถามเสถียรอย่างแปลกใจ
“แล้วทำไมพี่” หมอนึกขึ้นได้เปลี่ยนสรรพนามใหม่ “เอ้อ...เจ๊ถึงไม่เปิดไฟ”
“ตอนแรกก็เปิด แต่พอเห็นตัวเองในกระจก เจ๊ก็รับตัวเองไม่ได้ อีมิ้น แกทำให้ความสวยของฉันต้องหมดแพชชั่น” เสถียรยิ่งพูดยิ่งแค้น
จาริณีถือกล่องปฐมพยาบาลเข้ามา แล้วช่วยพยุงเสถียรไปนั่งที่เก้าอี้
“นั่งก่อนเดี๋ยวจ๋าทำแผลให้”
“เจ๊จะกลับมาสวยเหมือนเดิมไหมน้องจ๋า”
จาริณียิ้มให้กำลังใจ “แผลแค่นี้ทำอะไรความสวยเจ๊ไม่ได้หรอก เดี๋ยวก็หาย”
“พูดมาแล้วเจ็บใจนังมิ้น แม่มันเป็นแมวหรือยังไงไม่รู้ ข่วนเอาข่วนเอา”
“ดูจากแผลแล้วเดี๋ยวก็หายครับ ไม่ต้องกังวลนะเจ๊” หมอว่า
เสถียรยิ้มออก จาริณีกับปรัชญาหันมองหน้ากันแล้วยิ้มขำๆ
ในห้องนอนนิรชาชั้นบนของบ้านศักดิ์ นิรชาเล่าเรื่องให้มารดาฟังจบแล้ว มัทนาหน้าเครียดไม่จาง
“แม่ไม่เป็นอะไรแล้วลูก อย่าทำหน้าอย่างนั้นสิ”
มัทนาค่อยๆ ยิ้มออกมา
“คุณยายนอนพักก่อนนะคะ เดี๋ยวเนียร์จะลงไปเอาน้ำมาให้”
กฤตณียกถาดน้ำขึ้นมาให้
“น้ำมาแล้วค่ะคุณยาย น้ำค่ะป้ามัท”
“ขอบใจนะลูก” / “ขอบใจจ้ะคิตตี้” สองท่านรับไปจิบดื่ม
นิรชาหยิบน้ำมาดื่มเอง “น่ารักมากคิตตี้เพื่อนรัก”
“แน่นอน หิวหรือยังคะคุณยาย เดี๋ยวคิตตี้ทำกับข้าวขึ้นมาให้”
“ยังไม่หิวหรอกลูก ยายขอเอนหลังสักพัก เดี๋ยวจะลงไปนะ”
“ป้ามัทล่ะคะ จะเอาอะไรไหม”
“ยังลูก ป้าขอไปอาบน้ำก่อน เดี๋ยวลงไปช่วยทำกับข้าว”
“ค่ะ” คิตตี้หันมาหาเนียร์ “งั้นฉันไปเก็บร้านก่อน จะได้รีบออกไปเอาเอกสารกับเจ๊น้ำหวานด้วย”
“เอกสารครบแล้วเหรอ”
“ครบแล้ว แต่นางมาไม่ได้ ตบกับยัยมิ้นนัวไปหน่อย”
นิรชาตกใจ “ถึงขนาดตบกันเลยเหรอแก แล้วเจ๊เป็นอะไรมากหรือเปล่า”
“ฉันก็ว่าจะรีบเก็บร้านแล้วจะไปดูอาการนางหน่อย จะได้เอาเอกสารมาให้แกด้วย”
“งั้นเดี๋ยวฉันไปดูแกเอง แกเก็บร้านช่วยน้าศักดิ์น้าตาลเถอะ”
มัทนาทักท้วง “มันมืดแล้วนะลูกจะออกไปไหน”
“บ้านผู้ใหญ่อยู่แค่นี้เองแม่ เดี๋ยวเนียร์จะรีบกลับ”
“ไปเถอะลูก ดูแลตัวเองดีๆ นะ”
นิรชาสวมกอดมาลี “ค่ะคุณยาย”
จู่ๆ กฤตณีมีอาการปวดท้อง “ทำไมอยู่ๆก็ปวดท้องขึ้นมา ฉันไปห้องน้ำก่อนนะเจอกันข้างล่างนะแก”
นิรชาพยักหน้าให้ กฤตณีวิ่งตุ๊ต๊ะลงไป
มาลีมองหลานสาวเหมือนรับรู้บางอย่าง แต่กลับไม่พูดอะไรออกมา
เย็นจวนค่ำแล้ว ขณะนิรชาเดินออกมาหน้าร้าน ตาลร้องทักถามอย่างเป็นห่วง
“คุณยายพักอยู่เหรอลูก จะกินอะไรก็บอกนะ เดี๋ยวน้าทำให้”
“ขอบคุณค่ะน้าตาล”
กฤตณีเดินเข้ามาทักท้วง “แกจะไปตอนนี้เลยเหรอ ฉันว่าพรุ่งนี้ค่อยออกไปเอาก็ได้นะ”
“ไม่เป็นไรหรอก ฉันอยากทำให้มันเรียบร้อย เผื่อทนายปีใหม่เข้ามาจะได้เตรียมให้เขาเลย อีกอย่างจะได้ไปดูเจ๊เขาด้วย อุตส่าห์ช่วยงานจนมาเจ็บตัว”
“ถ้าจะไปจริงๆ ก็รอฉันแป๊บนึงนะ ขอไปเข้าห้องน้ำอีกรอบก่อน”
“แกก็ห่วงอย่างกับฉันเป็นเด็กสองขวบไปได้ บ้านผู้ใหญ่อยู่แค่นี้เอง”
กฤตณีเกิดปวดท้องขึ้นมาอีก “ไม่ไหวแล้วไปก่อนนะ”
ขจรแอบดูอยู่ กดพิมพ์ข้อความในมือถือ
ศักดิ์สังเกตเห็นขจรมีท่าทีแปลกๆ ก็ทักท้วงขึ้นอีกคน
“น้าว่าไปพรุ่งนี้ดีกว่านะลูก”
“ไม่เป็นไรค่ะน้าศักดิ์ เดี๋ยวเนียร์จะรีบไปรีบมา”
ศักดิ์พยักหน้ารับ
“งั้นก็รีบกลับนะลูก”
“ค่ะ เนียร์ไปก่อนนะคะ”
ศักดิ์กะตาลมองหน้ากันอย่างเป็นห่วง แต่ยับยั้งอะไรไม่ได้
ขจรยิ้มชั่วมุมปาก ขณะกดส่งข้อความไลน์ไปให้สิงห์ว่า
“ไปบ้านผู้ใหญ่จรัล”
อ่านต่อตอนที่ 24