สาปกระสือ ตอนที่25 อีกศพ! ปัณรีฆ่าฉัตรฉายกินไส้
บทประพันธ์และบทโทรทัศน์โดย อาณาจินต์
ตฤณฤทธิ์ลืมตาขึ้นมาในความมืดสนิทของคุกหลวง เมื่อสายตาคุ้นชินความมืดเขามองไปรอบๆด้วยความแปลกใจ ตฤณฤทธิ์สูดลมหายใจลึกสุด กำลังทรงตัวขึ้น แต่เสียงหนึ่งเรียกดังขึ้นก่อน
“สิงหล...”
ตฤณฤทธิ์นิ่งไป จำเสียงนั้นได้ เขาค่อยๆ เหลียวมองหาเสียงนั้นไป
เบื้องแรก เห็นเป็นภาพเบลอๆ มองไม่ชัดว่าเป็นอะไรแน่
ตฤณฤทธิ์เพ่งมองอย่างตั้งใจอีกครั้ง ภาพนั้นค่อยชัดขึ้นเรื่อยๆ สีหน้าแปรเปลี่ยนเป็นตกตะลึงแทบช็อก
เพราะภาพตรงหน้าคือส่วนหัวของสาวิตราณีที่สวมชฎานางรำชนชั้นสูงและกำลังยิ้มมาให้เขา แต่ช่างเป็นรอยยิ้มที่แฝงไปด้วยวี่แววขมขื่นและเศร้าสร้อยเหลือคณา
อนิจจาด้วยความมืดทำให้ตฤณฤทธิ์มองไม่เห็นแต่แรกว่าสาวิตราณีมีแต่ศีรษะ ไม่มีลำตัว
“ลิน...ทำไมคุณถึง...อยู่ที่นี่”
สาวิตราณีไม่ตอบ น้ำตารื้นขึ้นมา ก่อนจะค่อยๆไหลรินออกมาเป็นเลือด
“ลิน...”
ตฤณฤทธิ์อึ้งนิ่งงันไป สาวิตราณีมองน้ำตานองหน้า ปากขยับราวกับจะพูดอะไรบางอย่างกับเขา
ตฤณฤทธิ์ยื่นมือออกไปหมายสัมผัสใบหน้านั้น แต่ทันทียื่นไปแตะใบหน้าก็สลายเป็นผุยผงจางหายไปต่อหน้าต่อตา ตฤณฤทธิ์ตกใจ ถึงกับลุกพรวดขึ้น ก่อนจะควานหาไฟฉายในกระเป๋าสะพาย
ตฤณฤทธิ์ฉายไฟไปรอบห้อง จนไปสุดที่มุมหนึ่ง แล้วก็ยิ่งตะลึงหนักกว่าเดิม
ตรงมุมห้องนั้นมีซากโครงกระดูกคนผู้หนึ่งกำลังกอดกะโหลกศีรษะที่มีชฎาสวมอยู่ของอีกคนไว้อย่างแสนรัก
ยินเสียงเรียกชื่อตฤณฤทธิ์ดังแว่วมาอย่างต่อเนื่อง
ที่บริเวณข้างกำแพงปราสาท ร่างตฤณฤทธิ์นอนสลบอยู่ตรงนั้น เห็นทุกคนโกลาหลช่วยกันปฐมพยาบาลเขา
“พี่ตฤณ พี่ตฤณ” มธุรสร้องเรียกไม่หยุดปาก
วิศวัตร้องเรียก “อาจารย์”
พลเพิ่มและฌานทำเป็นช่วยปฐมพยาบาลเล็กน้อย ก่อนจะหันไปมองที่กำแพงที่เปิดออกด้วยความสนใจ
ตฤณฤทธิ์ยังคงนอนนิ่งไม่มีท่าทีว่าจะฟื้น วิศวัตหน้าเสีย
“ทำไมจู่ๆ อาจารย์ก็ล้มไปแบบนี้ ไม่ยอมฟื้นสักที หรือว่าอาจารย์จะ...”
“หยุดเลย! พี่ตฤณไม่ได้เป็นอะไร ก็แค่พักผ่อนน้อยเท่านั้นแหละ”
มธุรสคอยดูแลตฤณฤทธิ์ด้วยความห่วงใย บุรัณย์มองมธุรสสีหน้าเศร้า
พลเพิ่มมองกำแพงแล้วคิดอะไรบางอย่าง
ตฤณฤทธิ์ยังคงดำดิ่งอยู่ในอดีตชาติ เขามองภาพตรงหน้าอย่างตกตะลึงพรึงเพริด ไฟยังฉายส่องไปยังโครงกระดูกตรงมุมห้องนั้น
ตฤณฤทธิ์มองสำรวจซากโครงกระดูกนั้น เขาไม่รู้สึกกลัวสักนิด แต่กลับสงบนิ่งอย่างประหลาด
ขณะที่ตฤณฤทธิ์ฉายไฟดูที่โครงกระดูกอยู่นั้น พลันสายตาก็เห็นอะไรบางอย่างที่กำแพงคุก
เขาฉายไฟไปยังบริเวณนั้น ปรากฏว่ามีตัวอักขระโบราณคำหนึ่งสลักอยู่ จึงพยายามอ่าน
“อนันตา...”
ตฤณฤทธิ์ขมวดคิ้ว รู้สึกคุ้นชื่อนี้นัก แต่ยังคิดไม่ออก และไม่รู้ว่ามันคือชื่อทะเลสาบที่อนันตราชสั่งให้โยนหลักประหารสลักคำสาปแช่ง ทิ้งลงไปบนนั้น
ตฤณฤทธิ์ฉายไฟต่อ เห็นข้างตัวอักขระมีลายเส้นคลื่นเป็นรูปสี่เหลี่ยม อันเป็นสัญลักษณ์ทะเลสาบ
ตฤณฤทธิ์มองที่โครงกระดูกอีกครั้ง ก่อนจะใช้โทรศัพท์ถ่ายรูปเก็บไว้
มีเสียงเรียกของมธุรสดังขึ้นอีกในจังหวะนี้
“พี่ตฤณคะ!
ตฤณฤทธิ์หันไปมองตามเสียง แล้วทุกอย่างในหัวก็ดับมืดลง
เสียงเรียกของมธุรสปลุกตฤณฤทธิ์ให้ตื่นขึ้นมาจากอดีตกาล เขาค่อยๆ ลืมตาขึ้น มธุรสเห็นก็ร้องออกมาด้วยความดีใจ
“พี่ตฤณฟื้นแล้วค่ะ”
“พี่ตฤณเป็นไงบ้างครับ”
ตฤณฤทธิ์มองงงๆ ก่อนจะนึกขึ้นได้ รีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดรูปดู พอเห็นรูปอักขระในกำแพงคุกที่ถ่ายไว้ก็ขนลุกซู่ ก่อนจะมองไปที่กำแพงด้านนอกที่เปิดออก เขาเชื่อว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นไม่ใช่ความฝันอย่างแน่นอน
“ทำไมอาจารย์ทำหน้าอย่างกับเห็นผีอย่างงั้นล่ะครับ”
ตฤณฤทธิ์ไม่ตอบวิศวัต สายตายังคงเพ่งมองไปที่กำแพงอย่างใช้ความคิด
“ด็อกเตอร์คงยังเพลียอยู่ ไปพักที่เต็นท์ก่อนดีกว่านะครับ” พลเพิ่มว่า
บุรัณย์พยุงตฤณฤทธิ์ออกไป ทุกคนเดินตามออกไป พลเพิ่มมองตามหลังตฤณฤทธิ์ไปด้วยความสงสัย
ที่บ้านยายเพียร ปัณรียืนคุยอยู่กับนวลและชลันตีที่หน้าบ้าน
“ไม่อยู่แล้วไปไหนคะ ปกติคุณลินอยู่ตลอดไม่ใช่เหรอ”
“คุณหนูไม่ได้บอกไว้ค่ะ แต่ไปทำธุระสำคัญ คงไม่อยู่บ้านสักพักใหญ่”
นวลตอบนิ่งๆ ดูไม่มีพิรุธ แต่ปัณรียังสงสัย
“แปลกนะคะ อยู่บ้านเดียวกันแต่ไปไหนมาไหนกลับไม่บอก”
ปัณรีมองอย่างจับผิด ชลันตียิ้มเยือกเย็นพลางบอก
“ลินเขาโตแล้ว ไม่จำเป็นต้องบอกทุกเรื่อง”
“คงไม่ใช่...แอบไปไหนกับพี่ตฤณหรอกนะคะ”
ชลันตีกับนวลชะงักกันไปนิดหนึ่ง
“แปลกนะคะ คุณอยู่ใกล้คุณตฤณมากกว่าแท้ๆ แต่กลับไม่รู้ว่าเขาไปไหน”
ปัณรีโดนชลันตีย้อนเข้าให้ก็อึ้งไปเลยชั่วขณะหนึ่ง
“ปัณแค่สงสัยเลยถามดู ถ้าไม่มีอะไรก็แล้วไป”
“ค่ะ มีอะไรสงสัยอีกไหมคะ ฉันจะได้ตอบทีเดียว”
ชลันตีมองหน้าปัณรีนิ่งๆ ไม่เป็นมิตรนัก ปัณรีนึกเจ็บใจ แสร้งทำเป็นยกมือไหว้
“ไม่รบกวนล่ะค่ะ ขอตัว”
ปัณรีหันหลังเดินกลับออกไปทางบ้านกำนัน ชลันตีกับนวลมองตาม
ที่ห้องรับแขกบ้านกำนันสิน ปัณรีเดินเข้ามาในนั้นกระแทกตัวลงนั่งด้วยสีหน้าหงุดหงิดไม่หาย ฉัตรฉายเดินตามหลังเข้ามา เห็นอาการก็ทักขึ้น
“เป็นไงคะคุณปัณ เจอไหม”
ปัณรีหันขวับไปทางฉัตรฉายแปลกใจ
“เจอหรือไม่เจอ เกี่ยวอะไรกับเธอด้วย”
“นี่คงไม่เจอทั้งคุณตฤณทั้งนังนลินใช่ไหมคะ ถึงได้อารมณ์เสียอยู่แบบนี้”
ปัณรีนิ่งไป ฉัตรฉายยิ้มมีเลศนัย
“พูดแบบนี้รู้งั้นเหรอว่าฉันหงุดหงิดเรื่องอะไร”
“โถ่ ผู้หญิงด้วยกันร้อยทั้งร้อยก็ดูออกค่ะ แล้วอีกอย่างคนอย่างคุณปัณจะหงุดหงิดได้สักกี่เรื่อง”
“ลองพูดมาสิ”
“คนบ้านยายเพียรไม่เคยมีใครออกไปจากหมู่บ้าน แต่จู่ๆนลินก็มาหายตัวไปพร้อมด็อกเตอร์ตฤณ คุณปัณว่าแปลกไหมล่ะคะ”
ปัณรีโต้ว่า “พี่ตฤณแค่ไปทำงาน”
ฉัตรฉายขำ “โถๆๆ ตาสว่างได้แล้ว คุณน่ะควรจะรู้ได้แล้วว่าลับหลังคุณ ด็อกเตอร์ตฤณกับนังลินมีอะไรกันลึกซึ้งมากกว่าที่ตาเห็น”
“ใครจะเหมือนเธอล่ะที่เสนอตัวให้ผู้ชายถึงในบ้าน”
ฉัตรฉายยัวะ หน้าตึง ปัณรีเองก็เริ่มโกรธกรุ่นๆ
“นี่ช่าเตือนคุณด้วยความหวังดีในฐานะพี่สะใภ้นะ”
“พี่สะใภ้...งั้นเหรอ”
ปัณรีหัวเราะเยาะเสียงดังลั่น ฉัตรฉายหน้าเจื่อน
“คุณปัณหัวเราะอะไรคะ”
ปัณรีหยุดหัวเราะ จิกตามองฉัตรฉาย
“นี่ จะบอกให้นะว่าเธอไม่ใช่คนแรกที่ให้พี่ฉันฟรีๆ ถ้าจะอ้างสิทธิ์เรื่องนี้ ไปนับมาก่อนว่าตัวเองเป็นคนที่เท่าไหร่แล้วค่อยมาเตือนฉัน”
ปัณรีลุกเดินหนีไป ฉัตรฉายกำมือแน่น กรี๊ดออกมาอย่างเจ็บใจ
ที่แคมป์ทีมสำรวจ ทุกคนอยู่ที่เต็นท์ใหญ่ ใกล้ๆ ปราสาทอนันตาปุระ
“ตอนอาจารย์สลบไป ผมใจหายแทบแย่”
“ฉันไม่เป็นไรหรอกน่า กรรมเยอะ ต้องอยู่ชดใช้อีกนาน”
ตฤณฤทธิ์พูดติดตลก แต่แวววตากลับดูเหมือนหมกมุ่นครุ่นคิดบางอย่างอยู่ตลอดเวลา
พลเพิ่มแอบสังเกตท่าทีตฤณฤทธิ์อยู่ ลองถามหยั่งเชิงขึ้น
“ตั้งแต่ฟื้นขึ้นมาด็อกเตอร์ดูแปลกไปนะครับ มีอะไรหรือเปล่า”
ตฤณฤทธิ์นิ่งคิดอยู่นิดหนึ่ง “ตอนที่ผมสลบไป ผมฝันว่าหลังกำแพงนั้นเป็นห้องปิดทึบเหมือนเป็นคุก แล้วก็...มีแค่โครงกระดูกอยู่ในนั้น”
บุรัณย์สนใจ “โครงกระดูก!”
“มันมีโครงกระดูกโครงเดียว แต่มีสองหัวกะโหลก อีกกะโหลกสวมชฎา น่าจะเป็นชนชั้นสูงที่ทำผิดร้ายแรง”
มธุรสก็สนใจ “น่าสนใจนะคะ หรือว่าด้านหลังกำแพงนั้นอาจจะเคยเป็นห้องขังนักโทษสมัยก่อน”
ฌานแทรกขึ้น “ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงๆ อักขระที่เจอข้างหน้าคงเป็นพิธีสาปแช่งหรือสะกดวิญญาณไม่ให้ไปผุดไปเกิด”
“ฟังดูน่ากลัวแฮะ ขังแล้วยังจะสาปแช่งอีกเหรอ” บุรัณย์สยอง
“มันเป็นวิธีลงโทษของคนยุคนั้นน่ะ ทำผิดขึ้นมาก็จะถูกลงโทษสถานหนัก” มธุรสว่า
พลเพิ่มถามขึ้นอีกว่า
“เห็นอะไรนอกจากนั้นอีกไหมครับ”
ตฤณฤทธิ์นิ่งคิดก่อนตอบ
“ก็มีรอยแกะสลักบนกำแพงอีกนิดหน่อยเท่านั้นครับ”
ตฤณฤทธิ์พูดจบก็เงียบไปเลย พลเพิ่มมองหน้ากับฌาน แล้วส่งสัญญาณอะไรบางอย่าง
อีกฟากหนึ่ง นลิน และนรา มานั่งสนทนาเรื่องภาพนิมิตรกับหลวงตาคำ ทั้งสามอยู่ที่ใต้ต้นไม้ใหญ่ในวัดป่า
“หลวงตาคะ สิ่งที่ลินเห็นในนิมิตคราวก่อน มันคืออะไรกันแน่คะ”
หลวงตาตอบด้วยท่าทางสงบนิ่ง
“โยมเห็นอะไรขณะอยู่ในสมาธิ”
“เมืองโบราณ ชายคนหนึ่งที่เหมือนคุณตฤณ แล้วก็ผู้หญิงที่ชื่อสาวิตราณีค่ะ”
“โยมคิดว่ามันเกี่ยวข้องยังไงกับโยม”
“ลินไม่แน่ใจค่ะ แต่อาจจะเป็นอดีตชาติ เป็นกรรมเก่าที่เคยได้ทำไว้”
“แล้วถ้าเป็นกรรมเก่าของโยมจริง โยมจะทำอย่างไร”
นลินนิ่งคิด
“คงต้องยอมรับผลของมัน เพื่อจะแก้ไขให้ถูกต้องในชาติภพนี้”
“ถูกแล้ว กรรมเป็นผลจากการกระทำ เมื่อกรรมเกิดแล้วย่อมไม่สามารถย้อนไปแก้ไขได้ โยมต้องหมั่นทำความดี เพื่อผ่อนหนักเป็นเบาเท่านั้น”
“ถ้าสิ่งที่ลินเห็นเป็นอดีตชาติจริงๆ ตระกูลเราทำผิดอะไรนักหนาเหรอคะ ถึงต้องสาปแช่งให้ทรมานขนาดนี้”
“การไม่ละวางในโกรธทำให้มนุษย์เป็นทุกข์เสมอ ถึงเราจะวางได้ แต่หากผู้อื่นไม่วาง ย่อมวนเวียนก่อเกิดทุกข์ไม่จบสิ้น”
นราสะท้อนใจ “เราไม่มีทางอื่นนอกจากต้องบำเพ็ญเพียรไปเรื่อยๆ เหรอคะ”
“ความดีทำไว้นั้นดีแก่ตัวโยมแล้ว หมั่นเจริญสติภาวนา แผ่เมตตาให้เจ้ากรรมนายเวรเถอะ ทางใดที่จะเบียดเบียนต่อกันหรือทำให้โยมเป็นทุกข์ก็อย่าทำเลย”
สิ้นคำนั้นหลวงตาคำก็หลับตาลงทำสมาธิต่อ นลินกับนรามองหน้ากันอย่างกระจ่างใจมากขึ้น
ตกตอนกลางคืน
พลเพิ่มและฌานเข้ามาหยุดอยู่ที่หน้ากำแพงปราสาทอนันตาปุระ มองซ้ายขวาแล้วสอดตัวหายเข้าไปในนั้น
แสงไฟจากไฟฉายก็สว่างขึ้นในความมืดสนิท ฌานส่องไฟไปทางพลเพิ่มที่ตามมา กลิ่นเหม็นอับและความชื้นในนั้นทำให้พลเพิ่มทำหน้าเหยเก
“ทำไมเหม็นอับอย่างนี้”
เสียงฌานดังขึ้นด้วยความประหลาดใจ
“นาย”
พลเพิ่มและฌานมองไปด้านหนึ่ง เห็นซากกำแพงที่ถล่มลงมา เผยให้เห็นคุกอยู่ด้านใน
“เป็นอย่างที่ไอ้ตฤณมันบอกจริงๆ ไอ้นี่มันไม่ธรรมดาแน่ๆ”
พลเพิ่มมองไปรอบๆ คุก คว้าไฟฉายจากฌานมาส่องเอง เดินสำรวจไปทั่ว
“ไอ้ตฤณมันบอกว่ามีแค่โครงกระดูก ฉันไม่เชื่อหรอกว่ามันจะมีแค่นั้น”
พลันสายตาของฌานก็เห็นสิ่งหนึ่งเข้า ชี้ไป
“นาย ตรงนั้น”
พลเพิ่มสาดแสงไฟฉายตามไป เห็นโครงกระดูกอยู่ตรงมุมห้อง ตามที่ตฤณฤทธิ์บอกไว้ทุกอย่าง
พลเพิ่มมองกระดูกตรงนั้นเหมือนถูกมนต์สะกด ค่อยๆเดินเข้าไปดู แล้วมองนิ่งนาน
“นาย”
พอฌานเรียกพลเพิ่มก็กลับมาได้สติอีกครั้ง
“ดูทั่วรึยัง มันมีแค่นี้จริงเหรอ อาจารย์สัมผัสอะไรได้บ้างไหม”
“ไม่ได้ครับ คงเป็นคุกขังนักโทษจริงๆ”
“ไม่จริง มันจะเป็นแค่คุกได้ยังไง ไอ้ตฤณมันโกหก”
พลเพิ่มโวยวาย เดินเคาะกำแพงไปทั่วห้องทำให้มีเสียงสะท้อนดังก้องไปทั่ว แต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น จนเขาเริ่มโกรธ ทุบกำแพงแรงๆ
“นาย กลับกันเถอะครับ มันคง...”
“ไม่...มันไม่ได้มีแค่นี้ ไม่...”
พลเพิ่มขัดใจ เดินหาไปทั่วห้องอย่างหงุดหงิด แล้วก็ยิ่งหัวเสียหนักขึ้น เพราะมันไม่มีอะไรเลย
“ปัดโธ่โว้ย”
พลเพิ่มสบถเสียงดังเตะดินที่พื้นระบายอารมณ์แล้วเดินไปทางกะโหลกสวมชฏา หยิบขึ้นมาจะทุ่มทิ้งด้วยความโกรธ แต่แล้วก็เกิดแสงสีขาววาบเข้าที่ใบหน้าของพลเพิ่มจังๆ พานักการเมืองหนุ่มดำดิ่งสู่อีกมิติในอดีตอันลี้ลับ
ขบวนแห่เครื่องบรรณาการของเจ้าหญิงสาวิตราณีจากสุวรรณนคร เคลื่อนมาตามทางเดินในอุทยานหลวงบริเวณปราสาทอนันตาปุระ มีนางกำนัลถือพานเดินนำหน้าขบวน 2 คน และท้ายขบวนอีก 2 คน
นางรับใช้ มะปราง เดินข้างหน้าต่างเสลี่ยง ซึ่งมีพลเสลี่ยงชาย 4 คนคอยแบกเสลี่ยงให้สาวิตราณีนั่ง เสลี่ยงขึ้นเสาสี่เสามีหลังคาครอบ และมีม่านสีขาวบางๆ คลุมอยู่โดยรอบ
ด้านหลังเสลี่ยงปิดท้ายขบวน เป็นสิงหล ทหารองครักษ์ คอยเดินอารักขามาด้วย
ระหว่างทาง สาวิตราณีเปิดผ้าม่านยื่นมือออกมานอกหน้าต่าง ทิ้งดอกจำปีหล่นลงมาที่พื้น มะปรางมององค์หญิงอย่างเห็นใจ
ขบวนแห่ค่อยๆ เดินไป สิงหลมองดอกจำปีที่ลอยร่วงลงพื้นช้าๆ และเห็นสาวิตราณีหันมองมาที่เขาด้วยสายตาอาลัยอาวรณ์
สิงหลนั่งลงหยิบจำปีดอกนั้นขึ้นมา มองตามขบวนสายตาเศร้า
ที่ท้องพระโรงเมืองอนันตาปุระ
สาวิตราณีก้มลงกราบแทบเท้าอนันตราช มะปรางส่งของกำนัลที่เตรียมมาบรรณาการให้
อนันตราชรับของ แล้วก้มลงเชยคางของสาวิตราณีขึ้นมามองอย่างพึงพอใจ
“ในที่สุด เราก็ได้พบกันอีก เจ้าหญิงสาวิตราณีแห่งสุวรรณนคร ขอต้อนรับสู่อาณาจักรอนันตาปุระ”
อนันตราชประคองสาวิตราณีขึ้นมา แล้วพาไปแนะนำกับรุจิเทวีและฉายาวตี
“น้องนางมาเถิด มารู้จักกับสนมของเราทั้งสอง รุจิเทวีและฉายาวตี”
สาวิตราณีทำความเคารพทั้งสองเจ้านาง รุจิเทวีกับฉายาวตีก็แสดงความเคารพกลับ เนื่องเพราะสาวิตราณีมีศักดิ์เป็นเจ้าหญิง
ฉายาวตีแสดงออกชัดแจ้ง จ้องสาวิตราณีอย่างไม่เป็นมิตร เมื่อเห็นท้าวอนันตราชมองสาวิตราณีอย่างเสน่หา
ในเวลาต่อมา ท้าวอนันตราชกำลังดื่มเมรัยอย่างสำราญอยู่บนบัลลังก์ทอง มีรุจิเทวี กับฉายาวตีนั่งขนาบข้าง พราหมณ์ ขุนนาง และนางกำนัลมากมาย
สาวิตราณีมองไปยังอนันตราชที่นั่งอยู่บัลลังก์ด้วยสายตาแข็งกร้าว ดูออกว่าไม่เต็มใจ
ต่างจากอนันตราชที่ยิ้มชื่น มองสาวิตราณีอย่างพึงพอใจตลอดเวลา
เสียงดนตรีบรรเลงดังขึ้น สาวิตราณีเริ่มร่ายรำอย่างอ่อนช้อยสวยงาม พร้อมกับนางรำอีก 6 คน
อนันตราชจดสายตามองจ้องเฉพาะสาวิตราณีอย่างหลงใหล
สิงหลยืนมองสาวิตราณีอยู่หลังเสาในท้องพระโรงด้วยดวงตาเศร้าสร้อย สาวิตราณีสบตากับสิงหล น้ำตาคลอ ร่ายรำต่อไปเรื่อยๆ
อนันตราชมองสาวิตราณีราวต้องมนต์ รุจิเทวีเยื้อนยิ้มคล้ายพึงพอใจเช่นกัน
ในขณะที่ฉายาวตีมองสาวิตราณีอย่างริษยา
สาวิตราณีรำจบลงอย่างงดงาม องค์หญิงแสดงความเคารพประมุขอนันตานคร ท้าวอนันตราชถึงกับลุกลงจากบัลลังก์เข้าไปประคองสาวิตราณีขึ้นมา มองจ้องด้วยสายตากรุ้มกริ่ม
“ที่เราเรียกเจ้ามาวันนี้ เพราะมีเรื่องสำคัญอยากบอกด้วยตัวเอง”
สาวิตราณีเบี่ยงตัวออกนิดหนึ่งอย่างหวงตัวด้วยท่าทีสุภาพ
“เพคะ”
“ข้าหวังว่าเจ้าจะชอบอนันตาปุระ และอยากอยู่ที่นี่ตลอดไป...”
“หม่อมฉันชอบที่นี่เพคะ แต่ถ้าให้แจ้งตามตรง หม่อมฉันยังคิดถึงสุวรรณนคร อันเป็นบ้านเกิดอยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะท่านพ่อท่านแม่ จึงอยากกลับไปที่นั่นอีก”
แววตาของอนันตราชวาบขึ้นมาอย่างไม่ค่อยพอใจ แต่ก็คลี่ยิ้มออกมานิดๆ หลังจากนั้น
“ไม่เป็นไร ข้าจะเปลี่ยนใจเจ้าเอง เพราะอีกไม่นาน เจ้าต้องถวายตัวเป็นสนมของข้า”
สาวิตราณีอึ้งไป มองอนันตราชอย่างนึกไม่ถึง
รุจิเทวีและฉายาวตีก็มองอย่างตกใจเช่นกัน
ฉายาวตีท้วงเสียงขุ่น “เจ้าพี่ นางเป็นเพียงเชลยนะเพคะ”
อนันตราชเสียงเข้ม “ฉายาวตี ทุกอย่างขึ้นอยู่กับความพอใจของข้า”
รุจิเทวีรีบเข้าไปแสดงความยินดีกับอนันตราชและสาวิตราณี
“น้องยินดีด้วยเพคะ พี่ดีใจกับน้องด้วย นับเป็นความโชคดีที่เจ้าพี่เลือกน้องมาเป็นครอบครัวเดียวกัน”
สาวิตราณีพูดอะไรไม่ออก ได้แต่กล้ำกลืนความขมขื่นลงไป
ในเวลาต่อมา ผ้าห่มถูกม้วนเป็นเกลียวพาดกับต้นไม้ใหญ่ในอุทยาน
สาวิตราณีในสภาพน้ำตานองหน้า ร่ำไห้ออกมาน้ำตาแทบเป็นสายเลือด หลังจากรู้ว่าต้องถวายตัวเป็นสนมท้าวอนันตราช
“ท่านพ่อท่านแม่ ลูกขออภัยที่ไม่อาจตอบแทนพระคุณของท่านได้ ลูกลาก่อน...”
สาวิตราณีเอาเกลียวผ้านั้นมาคล้องเข้าที่คอ เพื่อจะแขวนคอตาย
แต่แล้วกลับมีใครบางคนเข้ามาดึงตัวสาวิตราณีไว้
“หยุดนะ ทำไมจึงทำเช่นนี้” รุจิเทวีเข้ามาปลดเชือกอออก ช่วยสาวิตราณีไว้
“ปล่อยข้า ข้าไม่อยากอยู่อย่างอัปยศอีกต่อไปแล้ว”
“โง่จริง เจ้ารู้หรือไม่ว่าหากเจ้าตาย ก็เท่ากับหนีไปอย่างคนขลาด บ้านเมืองเจ้าจะต้องพินาศย่อยยับ เพราะเจ้าพี่อนันตราชจะคิดว่าพ่อกับแม่ของเจ้าเป็นผู้ยุยงและไม่ภักดีกับอนันตาปุระ”
สาวิตราณีชะงัก กัดฟันแน่นอย่างนึกน้อยใจในชะตากรรมของตัวเอง
“ข้าไม่มีทางเลือกแม้แต่จะตายหรือ”
รุจิเทวีจับมือสาวิตราณี เหมือนเข้าใจและเห็นใจ
“การตายมันง่ายนิดเดียว ข้าก็เคยคิดจะตายเหมือนเจ้ามาก่อนแล้ว ตอนที่เจ้าพี่มีฉายาวตี แต่ข้าเลือกที่จะมีชีวิตอยู่เพื่อสู้ต่อไป ข้าจึงมีวันนี้ได้ แล้วเจ้าจะไม่ลองสู้ดูสักตั้งหรือ”
สาวิตราณีมองหน้ารุจิเทวีเริ่มคิดทบทวนตาม
วันต่อมา รุจิเทวีเดินมาตามทางในอุทยาน โดยมีนางกำนัลเดินตามคอยรับใช้ จนมาเจอฉายาวตีที่ส่งยิ้มมาให้เหมือนเป็นมิตร แต่พอเดินสวนกันก็กระซิบกับรุจิเทวีพอให้ได้ยินกันสองคน
“อย่านึกว่าข้าไม่รู้ทันเจ้า”
รุจิเทวีประชด “รู้อะไรรึแม่คนฉลาด”
“เจ้าตีสนิทกับสาวิตราณี เพื่อหาพวกมาร่วมต่อกรกับข้า”
“เจ้ากลัวว่าเจ้าพี่จะสนใจเจ้าหญิงพลัดเมืองนั่นมากกว่าใช่หรือไม่”
“เจ้านั่นแหละต้องกลัว ระวังเถอะจะเสียใจ หากเจ้าพี่โปรดนังนั่นมากกว่าเจ้า”
“ข้าไม่กลัว ข้ารู้ว่าต้องทำเช่นใด เจ้าเองระวังตัวไว้ให้ดีเถอะ หากกำแหงนักก็จักอยู่อย่างไม่เป็นสุข”
รุจิเทวีมองฉายาวตีสำทับด้วยแววตาเหี้ยมเกรียมดุดัน ก่อนจะเดินลอยหน้าลอยตาออกไป ฉายาวตีได้แต่มองตามอย่างเจ็บใจ
“นังเจ้าเล่ห์”
คืนนั้น สาวิตราณีนอนนิ่งอยู่บนเตียงที่โรยด้วยดอกจำปีและดอกมะลิกลิ่นคลุ้งไปทั่วห้องหอ สีหน้าเจ้าหญิงเศร้าสร้อยระทมทุกข์ พอได้ยินเสียงเคาะประตู นางก็พลิกตัวหันหลังให้ประตูแล้วแกล้งหลับไป อนันตราชเปิดประตูเดินเข้ามา มองสาวิตราณีด้วยสีหน้ายิ้มกริ่ม ลงนั่งบนเตียง ลูบแขนสาวิตราณีอย่างรักใคร่ หลงใหล
“สาวิตราณี ตื่นขึ้นมาคุยกันหน่อยปะไร”
สาวิตราณียังไม่ยอมตื่น อนันตราชเริ่มหงุดหงิด จึงดึงตัวให้หันมาหาอย่างแรง
“รู้หรือไม่ หากขัดคำสั่งจะมีชะตากรรมเช่นไร”
สาวิตราณีลืมตาขึ้น จ้องมองอนันตราชด้วยสายตาชิงชัง
“ท่านบังคับตัวข้าได้ แต่มิอาจบังคับใจข้า”
อนันตราชจับไหล่สาวิตราณีกดลงอย่างแรง
“อย่านึกว่าข้าเมตตาแล้วจะขัดคำสั่งของข้าได้ ถึงเคยสูงศักดิ์ปานใดแต่บัดนี้เจ้าเป็นเพียงเชลยเท่านั้น สตรีนับร้อยนับพันร่ำร้องความรักจากข้า หวังจะครองใจเป็นเจ้านางแห่งอนันตาปุระ อยากรู้นักว่าใจของเจ้าจะแข็งได้สักปานใด”
อนันตราชเจ็บใจ ก้มลงจะจูบ ทว่าสาวิตราณีเบือนหน้าหลับตาลงอย่างจำยอม
เย็นวันหนึ่ง ขณะที่ท้าวอนันตราชพักผ่อนอยู่ในอุทยาน ท่ามกลางนางกำนัลมากมายที่คอยดูแลรับใช้
มีใครบางคนเดินเข้ามา นางกำนัลคนหนึ่งมองไปเห็นก็ค้อมหัวให้แล้วหันไปบอกคนที่เหลือให้ถอยออกไป
อนันตราชสงสัยว่าเกิดอะไร แต่แล้วก็มีมือของหญิงสาวค่อยๆเลื่อนมานวดที่แผ่นหลังของอนันตราช
“เจ้ามาที่นี่ด้วยเหตุอันใด”
“น้องอยากปรนนิบัติเจ้าพี่”
อนันตราชตอบด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“ไม่ใช่เวลานี้”
รุจิเทวีไม่สนใจ เดินไปด้านหน้าอนันตราชแล้วเลื่อนมือไปโอบเอวอนันตราชไว้
“แต่น้องเต็มใจทำเพื่อเจ้าพี่...เจ้าพี่จำได้หรือไม่ เมื่อครั้งน้องถวายตัวใหม่ๆ เจ้าพี่โปรดให้น้องทำเช่นนี้”
“นางกำนัลมีตั้งมาก เจ้าไม่จำเป็นต้องเหนื่อย”
“ขอให้น้องได้อยู่กับเจ้าพี่ น้องไม่เคยรู้สึกเหนื่อยเลย”
“เจ้าจะเสียเวลาเปล่า”
“เพราะเหตุใดเพคะ เจ้าพี่มีสิ่งใดต้องทำหรือสำคัญกว่าน้องอย่างนั้นหรือ”
รุจิเทวีส่งสายตาตัดพ้อไปยังอนันตราชที่ดูไม่แยแสนางเลยสักนิด
“ไม่ใช่เรื่องที่เจ้าต้องรู้”
อนันตราชผลักรุจิเทวีออกแล้วจะเดินออก รุจิเทวีขึ้นเสียงไม่พอใจ
“สาวิตราณีใช่ไหมเพคะ...นางใช่ไหมที่ทำให้เจ้าพี่หมางเมินข้าเช่นนี้”
อนันตราชหันมาตะคอก “เจ้าไม่มีสิทธิ์ขึ้นเสียงใส่ข้า”
“เหตุใดข้าจึงไม่มีสิทธิ์ การที่สตรีผู้หนึ่งต้องการความเห็นอกเห็นใจจากชายที่ตนรักมันผิดมากนักหรือ”
รุจิเทวีน้ำตาคลอ อนันตราชเริ่มโกรธ ชี้หน้าคาดโทษ
“เจ้าจะได้รับความเห็นใจ เมื่ออยู่ในที่...ที่ถูกที่ควร”
รุจิเทวีน้อยใจเหลือแสน “ไม่มีที่ของข้าอีกต่อไปแล้วตั้งแต่สาวิตราณีมาที่นี่ เจ้าพี่หลงมัน รักมัน ให้ทุกอย่างแก่มันโดยที่ไม่รู้เลยว่ามันคืองูพิษที่คอยลอบกัดเจ้าพี่ตลอดเวลา!”
“เหลวไหล”
“ข้าพูดความจริง เจ้าพี่รู้หรือไม่ว่าสุวรรณนครวางแผนชั่ว ให้สาวิตราณีใช้เสน่ห์มารยาทำให้เจ้าพี่หลงใหลจนไม่สนใจบ้านเมือง เพื่อที่พวกมันจะได้ยึดเมืองกลับไปเป็นของตน สาวิตราณีไม่เคยมีใจให้เจ้าพี่แม้สักนิด”
“อย่าพูดพล่อยกล่าวหาผู้อื่นโดยไร้หลักฐาน รุจิเทวี”
“แล้วหากข้ามีล่ะ”
รุจิเทวีจ้องหน้าอนันตราช แววตาจริงจัง ไม่มีความกลัว อนันตราชอึ้ง
ค่ำคืนนั้นท้าวอนันตราชกับรุจิเทวีออกมายืนรอใครบางคนในอุทยาน สักพักทหารองครักษ์ก็พาขุนนางฝ่ายกลาโหมมาเข้าเฝ้าสองพระองค์ ขุนนางนั่งลงถวายบังคม อนันตราชถามขุนนางผู้นั้นเสียงดัง
“บอกสิ่งที่เจ้ารู้มาให้หมด หาไม่แล้วข้าจักกุดหัวพวกเจ้า”
ขุนนางค้อมหัวพยักหน้าด้วยด้วยความหวาดกลัว แล้วหยิบกระดาษม้วนหนึ่งส่งให้อันตราช
“จ...จดหมายที่เจ้าหญิงสาวิตราณีลอบส่งให้สุวรรณนครพระเจ้าค่ะ สายของข้าพุทธเจ้านำมันมาได้ขณะที่พระนางให้คนส่งออกนอกเมือง”
รุจิเทวีลอบมอง ขณะที่อนันตราชอ่านจดหมายนั้น ยิ้มเจ้าเล่ห์ตรงมุมปาก
เมื่ออ่านจบ อนันตราชก็ขว้างจดหมายลงพื้นอย่างโกรธแค้น สบถอย่างกราดเกรี้ยว
“บัดซบ”
อนันตราชแววตาแข็งกร้าว กำมือแน่นด้วยความโกรธอย่างถึงที่สุด
“เป็นจริงดังที่น้องว่าไว้หรือไม่เพคะ นางไม่เคยภักดีต่อเจ้าพี่ ไม่ว่าเมื่อใดก็ตาม”
“สาวิตราณี...นังคนทรยศ”
“เมื่อเจ้าพี่รู้เช่นนี้แล้ว จะทำอย่างไรล่ะเพคะ”
อนันตราชหันไปบอกขุนนางกลาโหมผู้นั้น
“กำจัดเสี้ยนหนามที่เป็นภัยต่อเมืองข้าเสีย สุวรรณจักรกับเมืองของมันจักต้องได้รับการตอบแทนอย่างสาสม”
อนันตราชใช้เท้าเหยียบจดหมายที่เข้าใจว่าเป็นของสาวิตราณีอย่างเจ็บแค้น
รุจิเทวียิ้มเหี้ยมสะใจสมใจในสีหน้า
เช้าวันนี้ ดอกไม้นานาพรรณออกดอกเบ่งบาน ไปทั่วอุทยานหลวงเมืองอนันตาปุระ สาวิตราณี พร้อมด้วยมะปราง และนางกำนัลรับใช้ 2 คน ช่วยกันเก็บดอกไม้อยู่ในสวนสวย
สาวิตราณีเก็บดอกไม้อยู่มุมหนึ่งคนเดียว แต่สีหน้าดูเหม่อลอยไม่มีความสุขนัก
เสียงหัวเราะ พูดคุยหยอกล้อของนางกำนัลดังแว่วมา สาวิตราณีเหลือบมองโดยไม่ได้สนใจ เดินแยกตัวตั้งใจจะเข้าไปด้านในปราสาทที่ปราศจากผู้คน
สาวิตราณีหลับตาสูดลมหายใจเข้าไปเพื่อให้ใจสงบนิ่ง พลันสายตาก็เห็นบางสิ่งวางอยู่บนพื้น เธอนั่งลงหยิบขึ้นมา มันเป็นดอกจำปีดอกหนึ่ง
สาวิตราณีเบิกตาโพลงด้วยความตกใจระคนประหลาดใจ เธอเหลียวมองไปรอบๆ เหมือนหาใครบางคน สักพักหนึ่งก็มีเสียงฝีเท้ามาหยุดที่ด้านหลัง
สาวิตราณีลุกขึ้นหันไปมอง พอเห็นสิงหลปลอมตัวอยู่ในชุดทหารองครักษ์เมืองอนันตาปุระจ้องมองมาแววตาแห่งความรักความคิดถึง สาวิตราณีถึงกับน้ำตาตลอ
สิงหลยิ้มให้อย่างอ่อนโยน ก่อนจะเดินเข้ามาจับมือที่ถือดอกจำปีไว้
“หากท่านเห็นดอกจำปีเมื่อใด ให้รู้ว่าข้าอยู่ใกล้ๆเสมอ จำได้หรือไม่”
“ข้าจำได้...ข้าคิดถึงท่านเหลือเกิน”
“ข้าก็เช่นกัน”
สาวิตราณี มองหน้าสิงหล สองคนสวมกอดกันเต็มรัก ก่อนจะนึกได้ว่าอาจมีคนเห็นจึงดึงเข้าไปหลังต้นไม้ใหญ่ ถามอย่างเป็นห่วง
“ท่านมาที่นี่ได้อย่างไร ทหารเฝ้าอยู่เต็มไปหมด”
“มะปรางพาข้าเข้ามา ชุดพวกนี้ก็จัดหามาให้”
“ระวังตัวด้วยนะ หากเจ้าเมืองรู้เข้า ท่านจะเป็นอันตราย”
“ข้ารู้ว่าอนันตราชร้ายกาจเพียงใด เพราะเขาข้าจึงต้องรีบมา”
“มีเหตุอันใด”
สาวิตราณีสะดุดหู เหลือบมองที่แขนถึงเห็นว่าสิงหลมีแผลถูกฟัน
“ท่านบาดเจ็บ! เกิดสิ่งใดขึ้น”
“สาวิตราณี...ข้าพยายามที่สุดแล้วที่จะปกป้องเมืองของเรา” สิงหลสะท้อนใจ
“ท่านพูดอะไร เกิดอะไรกับเมืองข้า พ่อข้าแม่ข้าล่ะ เป็นอย่างไรบ้าง”
สิงหลก้มหน้าหลบตา กำมือแน่นพยายามกลั้นสะอื้น ก่อนจะเล่าอย่างยากลำบาก
“อนันตราชส่งทหารไปบุกโจมตีสุวรรณนคร พวกมันใส่ร้ายว่าเราแข็งข้อคิดกบฏต่ออนันตาปุระ พวกมันจึงปล้น ฆ่า เผาทำลายเมืองเราจนไม่มีชิ้นดี ท่านเจ้าเมืองและเจ้านางทรงพยายามต่อสู้เพื่อปกป้องเมืองไว้ แต่ไม่อาจต้านทานได้ จึง...”
สิงหลเงียบไปพูดไม่ออก สาวิตราณีอึ้งไป เข้าใจทันทีว่าหมายถึงอะไร
“ไม่...”
“ข้าขอโทษ...สาวิตราณี ข้าขอโทษ”
พร้อมกับว่า สิงหลนั่งคุกเข่าลง ก้มหน้าแล้วปล่อยให้น้ำตาไหลหยดลงพื้น
“ไม่จริง!”
สาวิตราณีอึ้งช็อกหนักกว่าเก่า เข่าอ่อนทรุดลงอย่างหมดแรง ร้องไห้ออกมาปานจะขาดใจตาย
“ข้าจะไม่ทนอีกแล้ว ข้าไม่สามารถอยู่กับคนใจโฉดโหดเหี้ยมเช่นนี้ได้อีก ข้าทนมามากเกินพอแล้ว สิงหล...พาข้าไปจากที่นี่เถิด ได้โปรด”
สิงหลกอดปลอบสาวิตราณีทั้งน้ำตา
เวลานั้นสีหน้าสาวิตราณีเต็มไปด้วยความเคียดแค้น
“หากยินยอมรักข้าโดยสมัครใจ ข้าอาจจะแต่งตั้งเจ้าเป็นเจ้านางของข้า”
“ไม่มีวัน ข้าไม่มีวันรักคนที่ทำลายบ้านเมืองของข้า ข้าไม่อยากเป็นเจ้านางหรือเกี่ยวข้องอันใดกับท่านทั้งนั้น
อนันตราชจับไหล่สาวิตราณีจะปลุกปล้ำ แต่สาวิตราณีขัดขืน
“ปล่อยนะ ปล่อยข้า”
“ในเมื่อเจ้ารังเกียจข้านัก ก็จงอยู่อย่างอดสูต่อไป ในฐานะเพียงนางบำเรอของข้า”
อนันตราชผลักสาวิตราณีลงบนเตียงแล้วขืนใจ สาวิตราณีดิ้นหนีเท่าที่เรี่ยวแรงจะพอมีปล่อยให้น้ำตาร่วงรินออกมาเป็นสาย
เรื่องราวในอดีตหยุดลงเพียงเท่านี้ พร้อมๆ กับที่พลเพิ่มหลุดออกจากนิมิต ปล่อยชฏาในมือให้ร่วงลงพื้นเสียงดังเปรื่องปร่าง
พลเพิ่มถึงกับเข่าอ่อนทรุดลงกับพื้น เหงื่อผุดเต็มหน้า สีหน้ายังตะลึงงัน ไม่รู้ว่าเพียงแค่นิมิตหรือเป็นความจริงกันแน่ ฌานเข้ามาดูพลเพิ่มอย่างแปลกใจ
“นาย เป็นอะไรหรือเปล่า”
พลเพิ่มหายใจหอบถี่ มองไปที่ชฏาแล้วมองที่หน้าฌาน
“ฉันจะกลับ...”
“แล้วข้าวของพวกนี้ล่ะนาย”
“ช่างมัน เราต้องออกไปจากที่นี่ เดี๋ยวนี้”
พลเพิ่มบอกเสียงเข้มแล้วผลักฌานให้พ้นทางเดินออกไป ฌานรีบตามไปอย่างงุนงง
เช้าวันใหม่ โฉมศรีเพิ่งกลับมาจากตลาด เดินเข้ามาในบ้าน ส่งเสียงแจ้วๆ นำมาก่อนตัว
“โอ๊ย อากาศวันนี้มันร้อนจริงจริ๊ง”
ฉัตรฉายนั่งอยู่ที่ห้องรับแขก เห็นโฉมศรีก็ตอบไปแบบเซ็งๆ
“ร้อนแล้วจะไปตลาดทำไมล่ะแม่ นอนอยู่บ้านไม่ดีกว่าเหรอ”
“ไม่ได้ อยู่บ้านก็ไม่มีเรื่องอัพเดทน่ะสินังฉาย”
“พวกที่ตลาดมันเม้าท์มอยอะไรให้แม่ฟังอีกล่ะ”
โฉมศรีเอนตัวเข้าไปหาฉัตรฉาย ทำเป็นกระซิบ
“จะเรื่องอะไร ก็เรื่องบ้านยายเพียรนั่นไง”
ฉัตรฉายได้ยินก็หูผึ่ง อยากรู้ขึ้นมาทันที
“เรื่องอะไรแม่”
“เห็นนังพวกนั้นพูดกันว่า พักนี้นังชลันตีกับนังนวลมันออกจากบ้านบ่อยผิดปกติ นี่เมื่อเช้าก็มีคนเห็นว่าไปซื้อของทำกับข้าวใหญ่โต ไม่รู้จะไปไหน”
ฉัตรฉายฟังจบก็ทำหน้าเหม็นเบื่อ เอนหลังพิงโซฟา ไม่อยากสนใจ
“นึกว่าเรื่องอะไร”
โฉมศรีงง “แกไม่คิดว่าแปลกเหรอ ปกติแม่พูดทีไรก็เออออด้วยตลอดนี่”
“หนูไม่สนใจนังนลินแล้วล่ะแม่ มันจะทำอะไรก็ทำไป โนสนโนแคร์”
โฉฒศรีหมั่นไส้นิดๆ “ต๊าย ไปเอาความมั่นหน้ามั่นโหนกมาจากไหนยะ”
“หนูเป็นเมียคุณพลเพิ่มแล้ว อีกหน่อยหนูก็เป็นคุณนาย พวกเหลือบไรหนูไม่สนหรอก”
ฉัตรฉายทำเป็นหยิบโทรศัพท์มาเล่น ลอยหน้าลอยหน้า โฉมศรีเบะปาก
“ให้มันได้เป็นคุณนายจริงๆก่อนเถอะค่อยพูด กลัววาสนาหมดก่อนจะได้ไปนั่งชูคอในคฤหาสน์นะซี้”
“ทำไมแม่พูดอย่างนี้ล่ะ ไม่คุยด้วยละ ออกไปช็อปปิ้งในเมืองแก้เซ็งดีกว่า”
ฉัตรฉายเชิดใส่โฉมศรี ลุกเดินออกไปเลย โฉมศรีถอนหายใจกลุ้มๆ
สองแม่ลูกไม่รู้ว่าปัณรีแอบฟังอยู่ที่มุมหนึ่งในบ้าน
ในเวลาต่อมาปัณรีเดินออกมาที่ถนนหน้าบ้านกำนันสิน มองไปที่บ้านยายเพียรด้วยท่าทางร้อนใจ
จนคนงานบ้านกำนันวิ่งเข้ามาส่งข่าวอะไรบางอย่าง
ปัณรีหันไปมองในบ้านเห็นฉัตรฉายกำลังเดินไปที่รถพอดี
ฉัตรฉายกำลังสตาร์ตรถ ปัณรีก็เปิดประตูอีกฝั่งแล้วกระโดดพรวดเข้ามานั่งด้วย
ทำเอาฉัตรฉายตกใจ “คุณปัณ! เข้ามาทำไมเนี่ย”
“ออกรถ แล้วทำตามที่ฉันบอก”
ฉัตรฉายงง “ทำอะไร แล้ว...จะไปไหน”
“ตามพวกบ้านนลินไป เร็วเข้า แล้วฉันจะช่วยเธอเรื่องพี่พล”
ฉัตรฉายรีบสตาร์ตรถแล้วขับออกไป
ตรงลานกว้างหน้าปราสาทที่เคยเป็นลานประหาร ตฤณฤทธิ์ยืนอยู่หน้าแท่นศิลาที่ลานนั้น
เขาคิดถึงเหตุการณ์เมื่อวานนี้ ตอนยื่นมือออกไป ทันที่ที่มือสำผัสกำแพงก็เกิดสิ่งไม่คาดฝันขึ้น
เขาเห็นเหตุการณ์มากมายจากอดีตราวสายน้ำไหล
ทั้งสิงหลกับสาวิตราณีวิ่งหนีการไล่ล่าในป่า สุดท้ายสิงหลถูกทหารคุมตัวไว้ได้ และสาวิตราณีถูกคุมตัวแยกออกไป
สาวิตราณีกำลังรำฟ้อนอยู่ที่ลานหน้าปราสาทด้วยสีหน้าโศกศัลย์
นลินสวมชฏามองหน้าตฤณฤทธิ์น้ำตาไหลออกมาเป็นสายเลือด
โครงกระดูกในคุกหลวง
รวมทั้งตัวอักษร “อนันตา” ในคุก และภาพเส้นคลื่นเป็นรูปสี่เหลี่ยมสัญญลักษณ์บางอย่าง
ตฤณฤทธิ์นิ่งนึกตรึกตรอง ขณะเดินเข้าไปดูที่ลานประหารใกล้ๆ เห็นรอยที่แท่นประหารเหมือนเคยมีหลักประหารตั้งอยู่แต่หายไป
“น่าจะเคยมีหลักประหารอยู่ตรงนี้ แต่หายไป หรือว่าจะเกี่ยวกับชื่อ “อนันตา” มันหมายความว่าอะไรกันแน่...”
ตฤณฤทธิ์ครุ่นคิดหนัก
บนถนนสายหนึ่ง รถชลันตีกำลังแล่นมาตามทาง มุ่งหน้าออกจากหมู่บ้านดอนป่าหวาย
โดยที่ด้านหลังมีรถฉัตรฉายที่ปัณรีนั่งมาด้วย ขับสะกดรอยตามมาห่างๆ ปัณรีมองสงสัยว่าชลันตีจะไปไหนแน่
ในขณะที่ชลันตีกำลังเลี้ยวรถเข้าถนนเส้นที่ไปยังวัดป่า สายตานวลเหลือบมองกระจกหลังแล้วสังเกตเห็นรถของฉัตรฉายเข้าพอดี
“คุณคะ นั่นรถบ้านกำนันสินนี่คะ”
ชลันตีมองกระจก ก็เห็นรถฉัตรฉายตามมาไกลๆ
“ทำยังไงดีคะคุณ”
ชลันตีเงียบเหมือนคิดแผน เหลือบมองกระจกหลังเห็นรถของฉัตรฉายยังตามมาไม่ลดละ
แถมรถของฉัตรฉายยังเร่งจังหวะขึ้น เหมือนไม่ให้คลาดสายตา ชลันตีขับไปนิ่งๆ เพื่อไม่ให้พวกปัณรีรู้ตัว
จนกระทั่งขับมาถึงทางแยกหนึ่ง พอสบช่อง ชลันตีก็หักเลี้ยวเบี่ยงไปยังทางที่ไม่ใช่ทางไปวัดป่า แล้วเหยียบคันเร่งเพิ่มความความเร็วหนีไปทันที
ปัณรีเห็นรถชลันตีขับเร็วขึ้นก็รู้ทันทีว่าชลันตีรู้ตัวแล้ว เร่งฉัตรฉายเป็นการใหญ่
“มันรู้ตัวแล้วแน่ๆ เร่งตามไปเร็วๆ เร็วสิ”
“ก็เร็วอยู่แล้วเนี้ย ฉันเพิ่งขับรถเป็น เดี๋ยวก็ได้ตายกันทั้งคู่หรอก รีบนักก็มาขับเองเลย”
ปัณรีโมโหฉัตรฉายที่ไม่ได้อย่างใจ พุ่งไปจะคว้าพวกมาลัยมาขับเอง ฉัตรฉายร้องกรี๊ด
“ว้าย จะขับเองจริงๆ เหรอเนี่ย”
ฉัตรฉายพยายามผลักปัณรีออกจนรถเริ่มส่าย ปัณรีดึงดันจะขับรถให้ได้ ฉัตรฉายเลยใช้แรงเท่าที่มีฮึดผลักปัณรีออกไปกระแทกประตูอีกฝั่ง แต่รถก็ทรงตัวไว้ไม่อยู่ จึงเสียหลักพุ่งชนต้นไม้ข้างทาง
ที่วัดป่า ในเวลาโพล้เพล้เย็นย่ำ พระอาทิตย์ใกล้ตกดิน
นลินนั่งวิปัสนาทำสมาธิอยู่ที่ใต้ต้นไม้ใหญ่ด้านหลังวัด สีหน้าดูสงบนิ่งมากขึ้น
นลินหลับตาเพ่งสมาธิ ผ่อนลมหายใจเข้าออกต่อเนื่อง
สักพักดวงตานลินที่หลับอยู่ เปลือกตาของเธอก็เริ่มขยับไปมา จนกระทั่งเกิดแสงสีขาววาบขึ้นตรงที่นลินนั่งอยู่พาเธอด่ำดิ่งสู่นิมิตอันลึกล้ำ
ในนิมิตนั้นนลินเห็นสิงหลกับสาวิตราณีในชุดชาวบ้านถูกจับมัดมือไพล่หลัง และถูกโยนเข้ามาคุกเข่าตรงหน้าอนันตราช
“ในที่สุด ข้าก็พบตัวไอ้อีทรยศ”
อนันตราชจับคางสาวิตราณีขึ้นมาบีบอย่างแรง
สาวิตราณีมองจ้องหน้าอนันตราชกับรุจิเทวีอย่างคับแค้นใจ น้ำตาคลอหน่วย
รุจิเทวีมองตอบอย่างสะใจ ฉายาวตีลอบมองรุจิเทวีอย่างหวั่นกลัวในความโหดเหี้ยม
“คนทรยศคือท่านต่างหาก ท่านฆ่าท่านพ่อท่านแม่ของข้า คนตระบัดสัตย์” สาวิตราณีโพล่งออกมาอย่างคับแค้น
“พ่อกับแม่ของเจ้าคิดจะกบฏต่อข้า ข้ายังปรานีที่ไว้ชีวิตเจ้า แต่เจ้ากลับคบชู้สู่ชาย ทั้งที่เป็นสนมของข้า แล้วยังขโมยดาบอาญาสิทธิ์ของข้าไป รู้หรือไม่ว่าจะมีจุดจบเช่นไร”
“ข้าไม่เคยรักตัวกลัวตาย”
สิงหลเอ่ยขึ้นกับอนันตราช “ท่านจักฆ่าข้าก็ได้ แต่ขอให้ไว้ชีวิตสาวิตราณี”
อนันตราชยิ่งเจ็บแค้น ฟาดฝ่ามือใส่หน้าสิงหลอย่างแรงจนล้ม สาวิตราณีขยับจะเข้าไปดู
“สิงหล...”
แต่ทหารเข้ามาจับตัวสาวิตราณีตรึงไว้
“ข้าจะไม่ขอมีชีวิตอยู่หากไม่มีสิงหล ถ้าตายก็ตายด้วยกัน”
“รักกันมากนักหรือ อยากตายนักใช่หรือไม่”
“ข้ายอมตาย แต่ไม่มีวันกลับมาเป็นสนมของคนใจทมิฬอย่างท่าน”
อนันตราชมองสาวิตราณีอย่างเจ็บแค้น หันไปสั่งน้ำเสียงเฉียบขาด
“แยกมันทั้งสองไปขังไว้คนละที่ รอคำสั่งประหาร”
สิงหลตกใจสุดขีด “สาวิตราณี”
“สิงหล”
สิงหลกับสาวิตราณีถูกจับตัวแยกออกไปคนละทาง ทั้งสองร่ำไห้มองหน้ากันอย่างอาวรณ์
ณ ลานประหาร หลายวันต่อมา
ท้าวอนันตราชนั่งนิ่งอยู่บนแท่นประทับ รุจิเทวีกับฉายาวตีขนาบข้าง พราหมณ์หลวงคอยรับใช้องค์เหนือหัว
ไม่นานนัก สาวิตราณีถูกทหารคุมตัวออกมา มือเท้าของนางถูกล่ามไว้ด้วยโซ่ตรวน สีหน้าอิดโรย
ร่างสาวิตราณีถูกนำพามาหยุดตรงหน้าอนันตราช ทหารจับกดตัวให้นั่งคุกเข่าลง
อนันตราชเดินลงจากแท่นประทับหน้าปราสาทมาหาสาวิตราณี นั่งลงตรงหน้าเชยคางนางขึ้นมอง
“ชะตากรรมของเจ้าไม่ควรเป็นเช่นนี้...สาวิตราณี”
สาวิตราณีมองอนันตราชด้วยแววตาอันว่างเปล่า
“ท่านอยากทำสิ่งใดก็จงทำเถิด ชีวิตข้าอยู่ในมือท่านแล้ว”
อนันราชปล่อยมือออกใบหน้าสาวิตราณี ลุกขึ้นยืนพูดอย่างเจ็บปวดเคียดแค้น
“หากเจ้าร้องขอให้ข้าเมตตา ข้าคงยินดีกว่านี้”
“คงไม่มีประโยชน์ที่จะขอความเมตตาจากคนเช่นท่าน”
อนันตราชกัดฟันกรอด แต่ก็ยังอาลัยสาวิตราณีอยู่ลึกๆ
“หึ...คนเช่นข้ายังมีจิตเมตตาเจ้าอยู่ หากขอสิ่งใดก่อนตายข้าจะให้”
“หากข้าขอ ท่านสาบานได้หรือไม่ ว่าจักไม่คิดกลับคำดังเช่นที่ฆ่าพ่อแม่ข้า”
อนันตราชกำมือแน่นด้วยความโกรธ แต่ยังข่มอารมณ์ไว้
“พูดมา”
“ได้โปรด...ไว้ชีวิตสิงหล”
อนันตราชเบิกตาโต ไม่คิดว่าสาวิตราณีจะขอสิ่งนี้
“เจ้า...”
“ข้ายอมแลกทุกอย่างแม้กระทั่งชีวิต ขอให้ท่านรักษาคำสัตย์ด้วย มิเช่นนั้นท่านก็ไม่สมควรได้ชื่อว่าเป็นเจ้าเมืองอีกต่อไป”
สาวิตราณีพูดด้วยแววตามุ่งมั่นไม่หวั่นไหว อนันตราชนิ่งไปอย่างชั่งใจ
“ได้ แต่เจ้าต้องทำสิ่งหนึ่งเพื่อข้าด้วย”
“ท่านจะให้ข้าทำสิ่งใด”
“รำให้ข้าดู เหมือนเมื่อครั้งถวายตัววันนั้น แต่ไม่ใช่ที่แห่งนี้เหมือนเดิม”
สาวิตราณีอึ้งนิ่งงันไป
ในดวงตาที่เต็มไปด้วยความโศกศัลย์เศร้าแสนของสาวิตราณี นางอยู่ในอาภรณ์ชุดสไบสีน้ำเงิน สวมชฎาลงบนเรือนผมสลวยปล่อยตรง สง่างามสมกับเป็นเจ้าหญิงแห่งสุวรรณนคร
อนันตราชนั่งอยู่บนที่ประทับพร้อมด้วยรุจิเทวีและฉายาวตีขนาบข้าง
สาวิตราณีเดินมาหยุดในลานกว้างหน้าที่ประทับ ตั้งท่าเตรียมรำ แต่แล้วอนันตราชก็ลุกขึ้น
“หยุดก่อน...ข้ามีของกำนัลอยากมอบให้เจ้าเพื่อตอบแทนความภักดีนี้”
สาวิตราณีชะงักไป สักพักทหารอีกกลุ่มหนึ่งก็เดินคุมตัวใครบางคนออกมา
ทหารกลุ่มนั้นแยกตัวออกไป เผยให้เห็นร่างสิงหลที่ถูกจองจำด้วยโซ่ตรวน เนื้อตัวเต็มไปด้วยแผลจากการถูกทรมาน
“สิงหล”
สาวิตราณีมองไปที่อนันตราชอย่างฉงนสนเท่ห์ อนันตราชยิ้มร้ายเย้ยหยัน
“ข้าให้โอกาสเจ้าได้พบผู้เป็นที่รัก อยากบอกสิ่งใดก็จงบอกเสีย”
สิงหลมองสาวิตราณีที อนันตราชที อย่างงุนงง
สาวิตราณีเข้าไปหาสิงหลจับหน้าเขาไว้ พยายามอดกลั้นแต่สุดท้ายน้ำตาก็ไหลออกมา
“เหตุใดเจ้าจึงสวมชุดนี้”
“ข้าอยากให้ทุกคนจดจำข้า ในฐานะเจ้าหญิงแห่งสุวรรณนครตลอดไป”
สิงหลประหลาดใจ “ตลอดไป เจ้าหมายความว่าอย่างไร”
“ข้าเสียใจเหลือเกินสิงหล วาสนาข้าน้อยนักที่อยู่ร่วมกับท่านได้เพียงเท่านี้...หากชาติหน้ามีจริง ข้าขอให้มีโอกาสได้อยู่เคียงคู่ท่านอีกสักครั้ง...”
“อย่าพูดเช่นนี้ สาวิตราณี”
สาวิตราณีร้องไห้มองสิงหลทั้งน้ำตา กระซิบกับสิงหลให้ได้ยินเพียงสองคน
“ดูแลลูกแทนข้าด้วย ท่านต้องมีชีวิตอยู่เพื่อลูกของเรา”
สิงหลเริ่มแคลงใจในคำพูดของสาวิตราณี รู้ว่าเธอต้องยอมทำอะไรบางอย่าง
“ไม่นะ…สาวิตราณี…”
อนันตราชมองทั้งสองอย่างไม่พอใจ ตะโกนสั่งขึ้น
“จับมันออกไป”
ทหารเข้ามาจับตัวสิงหลไว้ สิงหลดิ้นรนไม่ยอมแต่กลับติดโซ่ที่ล่ามไว้จนล้มลงไปกองกับพื้น
“ปล่อยข้า”
ทหารเข้าไปรุมจับสิงหลออกมา สาวิตราณีถอยกลับไปที่ลานกว้าง
ดนตรีบรรเลงขึ้น สาวิตราณีเริ่มรำไปตามทำนองเพลง อนันตราชยิ้มพอใจ รุจิเทวียิ้มสะใจ
สาวิตราณีร่ายรำไปอย่างสวยงาม น้ำตาไหลรินออกมาไม่หยุด จดสายตามองสิงหลอย่างอาลัยอาวรณ์
สิงหลสะท้อนในอก ร้องไห้เงียบๆ มองภาพสาวิตราณีร่ายรำโดยช่วยอะไรไม่ได้เลย
ดนตรีบรรเลงถึงท่อนสุดท้าย สาวิตราณีจบการรำด้วยท่านั่งไหว้
จังหวะนี้มีใครคนหนึ่งเดินมาหยุดที่ด้านหลังสาวิตราณี ดาบในมือใครคนนั้นถูกเงื้อขึ้นสุดแขน แล้วเชือดลงมาที่ลำคอสาวิตราณีเต็มแรง เลือดพุ่งกระจาย สิงหลร้องลั่น
“สาวิตราณี!”
ร่างสาวิตราณีร่วงลงบนพื้น เลือดไหลซึมออกจากคอ หายใจรวยริน
ใบหน้าของเพชฌฌาตผู้ปลิดชีพสาวิตราณีช่างเหมือนกับพนิชไม่ผิดเพี้ยน เพชฌฌาตยิ้มเหี้ยมเกรียมมองผลงานอย่างพึงพอใจ
อนันตราชมองอย่างสมใจ รุจิเทวีเอ่ยขึ้นว่า
“น้องขอไปดูสาวิตราณีครั้งสุดท้ายได้หรือไม่เพคะ”
อนันตราชพยักหน้าอนุญาต รุจิเทวีเดินออกมาดูร่างสาวิตราณี ก้มลงไปกระซิบใกล้ๆอย่างเลือดเย็น
“เจ้าทำให้ข้าต้องเลือกทางนี้เอง...หากเจ้าไม่แย่งความรักจากเจ้าพี่ไป ข้าคงไม่ต้องวางแผนว่าสุวรรณนครคิดแข็งเมือง” พอถึงตอนนี้นางพูดดังขึ้นให้คนอื่นได้ยิน “ข้าเคยรักเจ้าดุจดั่งน้องสาว ไม่นึกว่าจะต้องมาเห็นเจ้าเป็นนักโทษประหารเช่นวันนี้...อโหสิให้ข้าเถิดนะ สาวิตราณี”
รุจิเทวีถอยออกไปแสร้งเป็นตีหน้าเศร้า สาวิตราณีอึ้งที่รู้ว่าทั้งหมดเป็นแผนชั่วของรุจิเทวีผู้แสนดี น้ำตาไหลรินออกมาด้วยความผิดหวัง
สาวิตราณีมองจ้องรุจิเทวีด้วยแววตาอันแข็งกร้าว กัดฟันพูดสาปแช่งออกมาด้วยน้ำเสียงแหบโหยแต่เด็ดเดี่ยว เลือดไหลออกมาจากคอไม่หยุด
“คนทรยศ กูขอสาปแช่งให้มึงต้องทรมานเช่นที่กูเป็น กูเจ็บมากเท่าใดมึงจักต้องเจ็บมากเท่านั้น”
รุจิเทวีเหยียดยิ้มเดินออกไปอย่างไม่ยี่หระ เพชฌฆาตเงื้อดาบขึ้นอีกครั้งแทงซ้ำไปที่อกสาวิตราณี ร่างของสาวิตราณีกระตุกอย่างแรงอีกครั้ง ก่อนจะขาดใจตายในที่สุด
“สาวิตราณี”
สิงหลกรีดเสียงร้องร่ำไห้ออกมาปิ่มว่าจะขาดใจ
ดวงตาของนลินเบิกกว้างด้วยความตกใจ เธอหายใจหอบอย่างรุนแรงแรง พยายามฝืนตัวเองแล้วตั้งสติ ก่อนจะค่อยๆ หลับตาลงอีกครั้ง
ณ ลานประหาร เมืองอนันตาปุระ คบไฟถูกจุดขึ้นทั่วลาน เห็นแสงเรื่อเรืองท่ามกลางความมืดสลัว
ร่างของสาวิตราณีที่ไร้ลมหายใจถูกมัดตรึงกับหลักประหารนั่งอยู่บนแท่นประหาร
สิงหลถูกพาตัวมาตรงหน้าหลักจารึกนั้น อนันตราชเดินเข้าไปหาสิงหล
“นี่คือโทษของมึง ที่บังอาจเล่นชู้กับเมียกู กูจักให้มึงดูร่างของนังคนชั่วมอดไหม้ไปต่อหน้า ให้สมกับความเจ็บปวดที่มึงทำไว้กับกู”
สิงหลเงยหน้ามองอนันตราชอย่างเจ็บแค้น
“เราไม่ได้ทำอะไรผิด เรารักกันก่อนที่ท่านจะพรากนางจากข้าไป”
“นี่มึงยังไม่สำนึกอีกรึ สาวิตราณีเป็นสมบัติของกู มึงไม่มีสิทธิ์ใดๆ ทั้งสิ้น กูจักให้มึงเห็นว่า...มึงไม่มีวันปกป้องแม้แต่ชีวิตชู้รักของมึงได้ กูเท่านั้นที่เป็นเจ้าของสาวิตราณี”
อนันตราชยิ้มเย้ยหยาม พราหมณ์เดินออกมายืนคู่กับอนันตราช
“สะกดวิญญาณมันไว้ อย่าให้ได้ไปผุดไปเกิดในชาติภพใดอีก”
“พระเจ้าข้า”
พราหมณ์รับเอาคำ ทหารเดินเข้ามาพร้อมคบไฟยื่นให้อนันตราช
พราหมณ์เริ่มสวดทำพิธี อนันตราชรับคบไฟไปแล้วลงมือจุดไฟเผาร่างของสาวิตราณีทันที
สิงหลได้แต่มองอย่างเจ็บปวดเกินจะทน
“หยุดเถิด... นางตายไปแล้ว ข้าขอร้อง เอาชีวิตข้าไปแทนเถิด”
ไฟอาคมลุกโชนขึ้น อนันตราชมองสาวิตราณีอย่างเคียดแค้นชิงชัง ไฟค่อยๆ โหมแรงขึ้น สิงหลมองร่างของสาวิตราณีที่กำลังมอดไหม้อย่างเจ็บปวด ใจจะขาดรอนๆ
ใบหน้าสิงหลน้ำตาเต็มตาไหลรินออกมาไม่ขาดสาย เขาแหงนมองไปบนท้องฟ้า พนมมือขึ้นกล่าววิงวอน
“เบื้องบน โปรดฟังข้า...ข้ากับสาวิตราณีไม่ได้ทำสิ่งใดผิด เรารักกันด้วยใจอันบริสุทธิ์ หากท่านรับรู้ได้โปรดเห็นใจข้า โปรดอย่าให้ร่างของสาวิตราณีต้องมอดไหม้เช่นนี้เลย...”
ฉับพลันทันใดนั้นเองท้องฟ้าก็เปลี่ยนเป็นสีแดงฉาน เมฆลอยไปบดบังพระจันทร์บนท้องฟ้า เกิดเสียงฟ้าร้องสนั่น ทันใดนั้นลมก็พัดกรรโชกแรงขึ้น
อนันตราชกับพราหมณ์เอามือขึ้นมาบังกันจ้าละหวั่น อึดใจเดียวลมที่พัดมาก็หายไปราวกับไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น อนันตราชมองไปยังร่างสาวิตราณีด้วยสีหน้าตกตะลึง
ร่างของสาวิตราณีบนแท่นส่วนอื่นถูกเผาไปจนหมดเหลือแต่หัวกับไส้เท่านั้น เรียกเสียงฮือฮาขึ้นโดยรอบ สิงหลก็อึ้งไม่แพ้ใคร
“ท่านพราหมณ์ เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ได้”
“ไม่ทราบได้พระเจ้าข้า ไม่เคยเกิดเหตุเช่นนี้มาก่อน”
อนันตราชโกรธแค้นสุดจะประมาณ ตะโกนก้องไปทั่วบริเวณ
“ได้...หากไฟไม่สามารถทำอะไรมึงได้ เช่นนั้นกูจักให้มึงทรมานอยู่ในร่างเช่นนี้ไปตลอดกาล” อนันตราชสาปแช่งเสียงเหี้ยม “กูขอสาปแช่งมึงและไอ้อีที่ผูกเวรผูกกรรมกับมึง ให้ทนทุกข์ทรมานไปทุกภพชาติ ชั่วลูกชั่วหลาน ชั่วกัปชั่วกัลป์”
พราหมณ์สวดมนต์ตอบรับคำสาปนั้นของอนันตราช
เสียงฟ้าร้องดังเปรี้ยงเหมือนคำสาปแช่งเป็นอาญาศิตนับแต่บัดนั้น
เกิดแสงวาบขึ้นบริเวณหน้าอกของนลินที่กำลังนั่งสมาธิอยู่ ร่างของนลินกระตุกอย่างรุนแรงแล้วทรุดลงไปกองกับพื้นจนตัวงอ
นลินยกมือกุมอกรู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมา แสงที่อกวาบขึ้นมาอีกครั้งคล้ายกับกระสือจะหลุดจากร่าง
นลินน้ำตาซึม ข่มความเจ็บปวดไว้
ชลันตีกับนวลมาถึงพอดีอุทานลั่น
“ลิน” / “คุณหนู”
ชลันตีกับนวลวิ่งเข้ามาดู ช่วยกันประคองนลินไว้
สักพักนราก็ตามมาถึงอีกคน เธอรีบบอกชลันตีกับนวล
“วันนี้เป็นวันโกน เรารีบพาลินไปหาหลวงพ่อเถอะค่ะ”
ชลันตีกับนวลพยักหน้าช่วยประคองนลินลุกขึ้น
นราจะเดินนำไปที่โบสถ์ พอหันไปก็พบว่าหลวงตาคำยืนรออยู่แล้ว
ชลันตีกับนวลช่วยกันพานลินเข้าไปด้านใน
ริมถนนเปลี่ยวสายหนึ่ง รถฉัตรฉายชนต้นไม้ข้างทางจอดแน่นิ่งอยู่ ปัณรีกับฉัตรฉายสลบอยู่ในรถคันนั้น สักพักฉัตรฉายก็เริ่มขยับตัวได้สติขึ้นมาก่อน
ฉัตรฉายเอามือจับหัวตัวเอง พอนึกได้ว่าเกิดอะไรขึ้นก็เอื้อมไปปลดเข็มขัด แต่ไม่ทันจะได้ปลดมือปัณรีก็จับหมับเข้ามาที่มือฉัตรฉาย
“จะไปไหน”
ฉัตรฉายสะดุ้ง “ฉันจะไปตามคนมาช่วย”
ปัณรีมองฉัตรฉายอย่างหวาดระแวง แล้วมองไปด้านนอกเห็นมืดสนิทไม่มีใคร
“ทางเปลี่ยวขนาดนี้ใครจะมาช่วย”
“จะไปรู้เหรอ ก็ต้องลองก่อน หรือจะตายอยู่นี่ล่ะ”
“ถ้าเธอทิ้งฉันไว้ที่นี่ ฉันฆ่าเธอแน่”
“ฉันไม่ทำแบบนั้นหรอกย่ะ ถึงฉันจะแรดแต่ฉันมีจรรยาบรรณนะ ปล่อย”
ฉัตรฉายสะบัดมือปัณรีทิ้งแล้วลงไปดูนอกรถ เปิดประตูทิ้งไว้
ปัณรีรู้สึกปวดแปลบที่ตัว เลยเอนหลังพิงเบาะอีกฝั่ง สายตามองไปนอกรถอีกรอบ
บนท้องฟ้ายามนี้พระจันทร์เกือบเต็มดวงแล้ว ปัณรีเบิกตาโตขึ้นมา
ส่วนฉัตรฉายคอยมองทางหาคนมาช่วยไม่สนใจปัณรี แต่ไม่เห็นมีวี่แววเลย
ปัณรีใกล้ถอดหัวรอมร่อ ร่างกายเริ่มสั่นจนแทบควบคุมตัวเองไม่ได้อีกแล้ว
ฉัตรฉายมองแต่ทางไม่ได้มองในรถ บ่นเชิงถาม
“ไม่มีใครผ่านมาเลย ทำไงดีเนี่ย”
ปัณรีไม่ตอบ เอามือจับคอไว้ พยายามฝืนตัวเอง แต่ตาเริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดง
ฉัตรฉายถอนหายใจเซ็งๆ หันกลับมามองในรถเห็นประตูรถอีกฝั่งเปิดอยู่ และร่างปัณรีล้มพับไปอีกด้านไม่เห็นหัวก็ตกใจ คิดว่าปัณรีเป็นลม
“คุณปัณ...คุณปัณ เป็นอะไรไป อย่ามาเป็นลมอะไรแถวนี้นะ”
ฉัตรฉายเห็นปัณรีเงียบ เลยเดินอ้อมไปดูอีกฝั่ง และพอเห็นร่างปัณรีนอนอยู่โดยไม่มีหัว ก็รู้ทันที ฉัตรฉายผงะถอยออกไป
“แอร๊ยยยยย”
ฉัตรฉายกรี๊ดร้องสุดเสียงแล้ววิ่งหนีทันที
ในบรรยากาศของป่าอันมืดสลัววังเวงและดูน่ากลัวของป่าแห่งนั้น ฉัตรฉายวิ่งหนีตายเข้ามาในป่านั้นโดยไม่คิดชีวิต
“ช่วยด้วยค่ะ ช่วยด้วย...”
รอบตัวมีแต่ต้นไม้ขึ้นหนาทึบไปหมดแทบไม่เห็นทางไป ฉัตรฉายวิ่งสะเปะสะปะ เพราะมองไม่เห็นทางสุดท้ายเลยสะดุดล้มลง นอนจุกอยู่กับพื้นผวากลัวจนน้ำตาไหลริน และพยายามจะยันกายลุกขึ้น
แต่แล้วมีแสงวาบขึ้นทางด้านบน ฉัตรฉายหันหน้ามองตามแสง เห็นกระสือปัณรีลอยอยู่เหนือหัวตัวเอง ฉัตรฉายช็อก ตกตะลึงพรึงเพริด อ้าปากจะร้อง แต่ไม่ทันกระสือปัณรีแยกเขี้ยว พุ่งเข้ากัดที่คอฉัตรฉายอย่างเร็วและแรง
ฉัตรฉายกรีดร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด เอากระเป๋าในมือฟาดใส่หน้ากระสือโดยอัตโนมัติ ก่อนจะล้มลงกับพื้นดวงตาเหลือกลาน
กระสือปัณรีลอยตัวลงต่ำ แล้วพุ่งเข้าไปกัดกินตับไตไส้พุงจากร่างฉัตรฉายอย่างเอร็ดแอร่ม
อ่านต่อตอนที่ 26