xs
xsm
sm
md
lg

หนึ่งด้าวฟ้าเดียว ตอนที่ 17 : แมงเม่าเป็นหม่อมห้ามพระองค์เชษฐ์ !?

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


หนึ่งด้าวฟ้าเดียว ตอนที่ 17

บทประพันธ์ : วรรณวรรธน์
บทโทรทัศน์ : เอกลิขิต

ขันทองเดินหน้านิ่งอย่างพยายามระงับอารมณ์เต็มที่ แมงเม่ารีบเดินปราดมาขวางหน้า พลางฉีกยิ้มหน้าเป็นส่งให้ ทำเอาอีกฝ่ายถึงกับถอนหายใจออกมา

“ฉันดีขึ้นมากแล้ว เจ้ากลับไปเถิด ประเดี๋ยวที่ ตำหนักเรียกหาขึ้นมาจะถูกตำหนิเอาได้”
“เจ้าค่ะ” แมงเม่ารับคำ หากไม่วายเป็นห่วง “เอ่อ แต่คุณพระจะไม่พักสักหน่อยหรือเจ้าคะ งานราชการไม่ได้มีกระไรมาก ให้คนอื่นทำแทนก็ได้กระมังเจ้าคะ”
“อย่าเลย หน้าที่ของฉัน ฉันก็ควรทำเอง ไม่ใช่ผลักให้ผู้อื่น แลทำงานให้หนักเข้าไว้” ขันทองหน้าเศร้า
“ จะได้ไม่ต้องจมอยู่กับทุกข์ด้วย”
แมงเม่ามองอย่างเข้าใจความรู้สึก “หากคุณพระไม่สบายใจ ก็บอกฉันได้นะเจ้าคะ”
“ ทำไมรึ เจ้าจะมาอยู่เป็นเพื่อนฉันหรืออย่างไร” อีกฝ่ายย้อนถาม
“ ฉันก็จะตามออกญาวังมาอยู่เป็นเพื่อนไงเจ้าค่ะ คุณพระเห็นหน้าออกญาแล้ว จะได้มีความสุขขึ้นไงเจ้าคะ” แมงเม่ายิ้มทะเล้น เล่นเอาอีกคนหน้าหงิกทันที
“ฉันเย้าเล่นดอกเจ้าค่ะ อยากเห็นคุณพระยิ้มแย้ม มากกว่าอมทุกข์เท่านั้นเอง”
ขันทองฉีกยิ้มออกมาได้ แต่ครู่เดียวก็หุบยิ้มไป “ฉันยิ้มให้ดูแล้ว พอใจแล้วกระมัง หากพอใจ ก็รีบไปได้แล้ว หากโดนทางตำหนักตำหนิขึ้นมาจะมาโทษ ฉันไม่ได้นะ”
แมงเม่าเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าเถลไถลมานานแล้ว “ไปก็ได้เจ้าค่ะ” พูดพลางไหว้ลาทิ่มพรวดเข้าให้ “ลาล่ะเจ้าค่ะ”
จากนั้นก็รีบเดินเลี่ยงกลับไปอย่างเร็วแทบจะวิ่งก็ว่าได้ เพราะเกรงจะโดนดุ แม้จะพยายามสำรวมกิริยา แต่ก็ยังดูกระโดกกะเดกผิดนางกำนัลในวังหลวงทั่วไป
ขันทองมองตามอย่างเอ็นดู ทั้งยังรู้สึกผูกพันกับแมงเม่ามากขึ้นทุกที

ทางด้านในคุก ขุนรักษ์เทวา ก็กำลังทายาที่หลังให้แน่น ที่โดนเฆี่ยนที่หลังเป็นแผลแตกยับเยินไปหมด
ขณะที่อีกมุมหนึ่งใกล้ๆ กันนั้น ขุนเทพชำนาญ และขุนเทพรักษา ที่ร่างกายเต็มไปด้วยแผลพุพองจากไฟไหม้ทั้งตัว นอนร้องโอดโอยด้วยความเจ็บปวด
พระยากำแหง ยืนมองทั้งสามคนด้วยความสังเวชใจ พลางเอ่ยถามขุนรักษ์เทวา “เป็นอย่างไรบ้างท่านขุน”
“ก็พอประทังไม่ให้ทรมานเท่านั้นล่ะเจ้าค่ะ แต่ก็คงช่วยกระไรมากนักไม่ได้”
พระยากำแหงมองสารรูปของแน่นแล้วก็ได้แต่ถอนใจออกมา ขุนรักษ์เทวาพูดอย่างเคืองๆ
“เพราะคุณพระศรีแท้ๆเทียว ท่านเจ้าคุณสู้อุตส่าห์จะรับหน้าให้แล้ว ก็ยังไม่ยอมลดหย่อนผ่อนโทษลงบ้างน่าจะเห็นว่าเคยคบค้ากันมาเสียหน่อย นี่กระไร เสียแรงที่เคยคิดจะเข้าหา”
พูดพลางทำท่าสะบัดสะบิ้งทิ้งค้อน พระยากำแหงแอบเหล่มอง แน่นที่แม้จะเจ็บหนักมาก แต่ยังพอมีสติ รีบพูดแทรก
“อย่าตำหนิออกพระศรีเลยขอรับ ออกพระทำตามหน้าที่”
“ได้สติก็ปกป้องคุณพระเลยนา” พระยากำแหงแสร้งถามเพื่อจะดูพิรุธ “เค้าทำถึงขนาดนี้ ไม่คิดแค้นบ้างเลยรึ”
“ กระผมใกล้ตายแล้ว แค้นเคืองไป จะมีประโยชน์อันใด แลกระผมก็เป็นฝ่ายผิด ยังควรแค้นอีกหรือขอรับ”
พระยากำแหงขมวดคิ้ว ทำสีหน้าครุ่นคิด ที่จับพิรุธของอีกฝ่ายไม่ได้เลย
ขุนเทพชำนาญที่นอนตัวสั่นเพราะพิษไข้ พูดขึ้นทาบ้าง “เอ็งไม่แค้น แต่ข้าขอจองเวรเอ็ง เอ็งทำให้พวกข้าต้องเป็นเช่นนี้”
ขุนรักษ์เทวามองค้อน “ เออ ดีนัก คนหนึ่งบอกว่าผิดจริงจึงไม่คิดแค้น แต่อีกคนกลับจองเวรไม่เลิก”
ครั้นพอทายาให้แน่นเสร็จ ก็ไปทายาให้ขุนเทพชำนาญต่อ ฝ่ายขุนเทพรักษาฟังอยู่นาน ถึงตรงนี้ก็ปล่อยโฮออกมา พลางกล่าวถามพระยากำแพง
“ดีฉันไม่อยากตาย เมื่อลงโทษพวกดีฉันเสร็จ ก็จะตัดหัวแล้ว ใช่หรือไม่เจ้าคะ”
พระยากำแหงพูดอะไรไม่ออก เพราะเป็นตามที่ขุนเทพรักษาพูดจริงๆ ขณะนั้นเอง ทหารคนหนึ่งก็เดินเข้ามาในคุก ฝ่ายแรกรีบหันไปถาม
“มีกระไรรึ”
“ท่านเจ้าคุณพลเทพให้มาตามท่านเจ้าคุณไปพบขอรับ บอกว่าต้องการปรึกษาเรื่องการสำเร็จโทษวันพรุ่งขอรับ”
ขาดคำของทหาร ขุนเทพรักษาก็ปล่อยโฮหนักกว่าเดิม ด้วยความกลัวถึงที่สุด ส่วนขุนเทพชำนาญก็ตัวสั่นเทามากขึ้น หวาดกลัวไม่แพ้กัน

พระยากำแหง และขุนรักษ์เทวาหน้าตาสลดลง ที่ถึงที่สุดก็ต้องประหารทั้งสามคนแล้ว แน่นรับฟังทุกอย่างด้วยความสงบ ก่อนจะหลับตาลง เหมือนปล่อยวางทุกอย่างได้แล้ว

ค่ำวันเดียวกันนั้นเอง ขณะที่ขันทองเดินซึมๆ กลับมาถึงที่หน้าเรือน ทันใดนั้นเอง หลวงศรีมะโนราชที่ซ่อนตัวอยู่ ก็โผล่ออกมา ก่อนจะใช้ไม้ฟาดใส่ศีรษะอีกฝ่ายเต็มแรง
 
แม้ว่าขันทองกลับอาศัยความว่องไว หลบฉากออกมาได้ทัน แต่ก็ยังถูกปลายไม้เฉี่ยวที่หัวคิ้วจนเป็นแผลเล็กน้อย
พอตั้งสติได้ ขันทองก็รีบถามอย่างคาดไม่ถึง “หลวงศรีมะโนราช เหตุใดมาลอบทำร้ายกันเช่นนี้”
หลวงศรีมะโนราชอยู่ในอาการเมา พูดด้วยน้ำเสียงอ้อแอ้ “ใช่แต่แค่นี้โว้ย กูจะฆ่ามึงให้ตาย อ้ายเจ้าเล่ห์ร้อยลิ้น”
พูดจบก็ทำท่าเงื้อไม้จะตีอีก แต่กลับถูกจับข้อมือไว้จากทางด้านหลัง พอหันกลับไป ก็พบว่าเป็นพระยากำแหงที่จับข้อมือตนเองไว้
“ท่านเจ้าคุณ ท่านเจ้าคุณมาห้ามดีฉันทำไม ดีฉันจะฆ่ามันให้ตกตายตามกันไป”
พระยากำแหงบิดข้อมือศรีมะโนราชจนไม้หลุดจากมือ ฝ่ายถูกบิดร้องด้วยความเจ็บปวด ก่อนจะถูกจับแขนไพล่หลัง แล้วผลักไปให้พวกทหารที่รออยู่จับตัวเอาไว้
“เอาตัวหลวงศรีมะโนราชไปคุมขังไว้ก่อน ประเดี๋ยวข้าจะกลับไปตัดสินโทษเอง”
ขันทองรีบร้องห้าม “ออกหลวงมีท่าทางเมามายนัก แสดงว่าทำไปเพราะฤทธิ์สุรา แลเจ็บแค้นเรื่องขุนชำนาญ กับขุนเทพรักษา ขอท่านเจ้าคุณเมตตา แค่คุมตัวไว้ก็พอ อย่าถึงขั้นลงโทษเลยเจ้าค่ะ”
หลวงศรีมะโนราชถ่มน้ำลายใส่ “ถุย อย่าเสแสร้งทำเป็นดีเลยวะ กูไม่หลงกลมึงดอก”
พระยากำแหงทำหน้าหน้าขึงขัง “ข้อนี้ฉันจะตัดสินเอง ไม่ใช่หน้าที่ของคุณพระ” พลาง หันไปสั่งทหาร “เอาตัวไป”
พวกทหารช่วยกันลากหลวงศรีมะโนราชไป ฝ่ายถูกลากโวยวายลั่น
“ปล่อยกู กูจะฆ่ามัน บอกให้ปล่อยกู”
พวกทหารไม่ฟังเสียง ช่วยกันลากพาตัวออกไปจนได้
ทางด้านพระยากำแหงหันมามองหน้าขันทอง พลางมองหัวคิ้วที่มีแผลเลือดไหลซึมอย่างเป็นห่วง

จากนั้นพระยากำแหงก็พาขันทองขึ้นเรือน ก่อนจะใช้ผ้าชุบน้ำสะอาด เช็ดแผลที่หัวคิ้ว และเอายาป้ายแผลให้ขันทองกระพุ่มมือไหว้ “เป็นพระคุณเจ้าค่ะ”
พระยากำแหงรับไหว้ ก่อนจะแหงเอายาวางกลับใส่ถาด แล้วให้แม้น ทาสของขันทองยกเดินเลี่ยงออกไป จากนั้นก็หันมาพูดเตือนขันทอง
“อย่างไรก็ระวังด้วย เรื่องครานี้ มีคนโกรธเคืองคุณพระไม่น้อย อาจมีเหตุอีกก็เป็นได้”
“เจ้าค่ะ ดีฉันจะระวัง เอ่อ ท่านเจ้าคุณมาหาดีฉัน มีกระไรหรือเจ้าคะ”
พระยากำแหงถอนหายใจ หน้าเครียด “ฉันรับคำสั่งออกญาพลเทพให้มาแจ้งคุณพระ เรื่องการสำเร็จโทษท่านขุนทั้งสามในวันพรุ่ง”
ขันทองถึงกับหน้าเสีย แต่รีบปรับสีหน้าเป็นเรียบเฉยทันที
“เรื่องเพียงนี้ ไม่น่ารบกวนให้ท่านเจ้าคุณมาด้วยตนเองเลย สำเร็จโทษเมื่อใด ดีฉันก็จะให้คนไปรับศพมาจัดการตามประเพณีเอง ท่านเจ้าคุณอย่าห่วงเลยเจ้าค่ะ”
อีกฝ่ายถอนหายใจด้วยความเครียด “มันไม่ใช่แค่นั้นน่ะซี”
ขันทองได้ฟัง ก็ยิ่งร้อนใจ “มีกระไร หรือเจ้าคะ”
“ท่านเจ้าคุณพลเทพ ต้องการให้คุณพระคุมการประหารด้วยตนเอง”
ขันทองถึงกับผงะไปเล็กน้อย อีกฝ่ายรีบพูดต่อ
“ฉันไม่เข้าใจเช่นกัน ว่าเหตุใดต้องให้ฝ่ายในทำหน้าที่นี้ด้วย แต่ก็ขัดท่านไม่ได้จริงๆ”
ขันทองหน้าเครียดขึ้นมาทันที นึกรู้ว่าพระยาพลเทพต้องการทดสอบตนว่ากล้า ฆ่าแน่นหรือไม่นั่นเอง คิดพลางขบกรามแน่นด้วยความกดดันภายในใจ
พระยากำแหงแอบลอบมองปฏิกิริยาอย่างพยายามจับสังเกต เพราะยังติดใจสงสัยในตัวขันทองอยู่ไม่น้อย

เช้าวันรุ่งขึ้น เหล่าทหารช่วยกันประคองแน่น ขุนเทพชำนาญ และขุนเทพรักษา ที่อาการปางตายออกมาจากคุก เพื่อเอามาให้ขันทองที่ยืนรออยู่
“ฉันจะค้นตัวขุนจิตเอง พวกเจ้าค้นตัวขุนเทพชำนาญกับขุนเทพรักษาเถิด”
“ขอรับ”
พวกทหารรีบคำ ก่อนจะเข้าไปช่วยกันค้นตัวตามคำสั่ง พร้อมกับที่ขันทองเดินเข้าไปค้นตัวแน่น แล้วอาศัยจังหวะนั้น แอบกระซิบเบาๆ
“ระหว่างพาเอ็งประจานทางน้ำ ข้าจะหาทางช่วยเอ็งเอง แข็งใจหน่อยเถิด”
ขณะนั้นเอง ขุนแผลงฤทธิ์ก็เดินเข้ามาในคุก ก่อนจะถามโพล่งขึ้นมา
“มากันแล้วรึ รวดเร็วจริง”
“ท่านขุนมีกิจอันใดหรือขอรับ” ทหารนายหนึ่งเอ่ยถาม

“ข้าได้รับคำสั่งออกญาพลเทพ” ว่าพลาง หันมามองขันทอง “ให้มาช่วยออกพระศรีคุมตัวนักโทษไปประหาร”
ขันทองได้ยิน ก็หน้าเคร่งเครียดขึ้นมาทันที แน่นรีบกระซิบเบาๆ
“อย่าทำกระไรอีกเลย ลำพังอ้ายขุนแผลงฤทธิ์คนเดียว ก็ยากรับมือแล้ว เอ็งจะพาข้าที่เจ็บปางตายฝ่าวงล้อมทหารออกไปได้อย่างไร มีแต่จะตายเสียทั้งคู่”
ขุนแผลงฤทธิ์พูดเสียงดังขัดขึ้นมา สีหน้ายิ้มเยาะอยู่ในที
“เร่งค้นตัวหน่อยเถิดออกพระศรี ประเดี๋ยวจะไม่ทันฤกษ์ประหาร”

แน่นเอื้อมมือไปจับมือเพื่อน แล้วบีบเป็นทำนองขอให้ตัดใจ ขันทองมองตอบ สีหน้าเรียบนิ่ง รู้สึกเสียใจที่ต้องทำอย่างนี้

ฟากเป้าก็กำลังนั่งซึมกระทืออยู่ตามลำพังที่มุมหนึ่งในตำหนักกรมขุนวิมลภักดี เพราะพอคิดถึงว่าแน่นจะตายแน่แล้ว ก็ไม่มีกะจิตกะใจทำอะไร พลันก็ได้ยินเสียงแมงเม่าดังแทรกขึ้นมา

“ท่านขุนจิตกำลังจะถูกพาตัวไป”
เป้าหันมองไปทางเจ้าของเสียงด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย แมงเม่าพูดต่อ
“หากไปตอนนี้ ยังพอทันเห็นหน้านา”
เป้าได้ฟัง ก็ยิ่งนึกเศร้าเสียใจ “เห็นแล้วจะได้กระไร มีแต่จะทุกข์ใจเพิ่มขึ้นเท่านั้น”
“หรือแม่เป้ายังถือโทษโกรธเคืองที่ขุนจิตพูดเมื่อวันก่อน”
แมงเม่าย้อนถาม เป้าถึงกับน้ำตาคลอเบ้า
“ หากถือโทษจริง ฉันคงทุกข์น้อยกว่านี้ แต่แรก ฉันก็เสียใจที่ได้ยินท่านขุนพูดเช่นนั้น แต่เมื่อพิเคราะห์ดู ท่านขุนคงเห็นว่าไม่รอดแน่แล้ว จึงจงใจพูดให้ฉันทำใจ แลกันให้ฉันไม่ต้องเดือดร้อนเสียมากกว่า”
แมงเม่าพยักหน้าอย่างเห็นด้วย “ฉันเองก็คิดเช่นนั้นเหมือนกัน ขุนจิตไม่น่าพูดจาหักหาญน้ำใจแม่เป้าขนาดนั้นได้”
คราวนี้เป้าถึงกับปล่อยโฮ “เมื่อคิดได้เช่นนี้ ฉันก็ยิ่งเสียใจเป็นเท่าทวีคูณ”
แมงเม่าเข้าไปสวมกอดเป้าที่ร้องไห้สะอึกสะอื้น ด้วยความสงสารเพื่อนจับใจ
“ฉันไม่รู้จะปลอบแม่อย่างไร แต่เคยมีคนพูดกับฉันว่า “ทำงานให้หนักเข้าไว้ จะได้ไม่ต้องจมอยู่กับทุกข์” แม่เป้าร้องไห้ให้พอ แล้วตามฉันไปทำงานเถิดนะ”
เป้าพยักหน้ารับทั้งน้ำตา แมงเม่าลูบผมเพื่อนด้วยความสงสารและเห็นใจสุดกำลัง

อีกด้านหนึ่งที่บริเวณสองฝั่งคลอง เต็มไปด้วยหมู่มวลชาวบ้านยืนออดูการประจานนักโทษ และพากันซุบซิบนินทากันอย่างสนุกปาก
ขันทองที่นั่งอยู่ในเรือลำหนึ่งพร้อมกับขุนแผลงฤทธิ์ ถูกฝ่ายหลังจับตาดูขันทองตลอดเวลาไม่เปิดโอกาสให้ทำอะไรได้เลย
ที่ใกล้ๆ กันนั้น ยังมีเรืออีกสองลำ แน่นนั่งอยู่ลำหนึ่ง ส่วนขุนเทพชำนาญ และขุนเทพรักษานั่งอยู่อีกลำ ทั้งหมดถูกตีตรวนล่ามมือ ล่ามเท้า และล่ามคอ
ขุนเทพชำนาญ กับขุนเทพรักษา ที่ร้องไห้ฟูมฟาย เพราะความรักตัวกลัวตาย ตรงข้ามกับแน่นที่ทำหน้านิ่งเหมือนคนปลงตกกับชีวิต ไม่ต่างอะไรกับขันทอง ที่มีสีหน้าเรียบเฉย ราวกับไม่รู้สึกรู้สา มีเพียงน้ำตาที่ตกใน หัวใจแทบสลายที่ต้องเห็นเพื่อนรักตายโดยที่ช่วยอะไรไม่ได้เลย
ทางด้านแมงเม่า และเป้า กำลังจัดสำรับอาหารเช้าให้กรมขุนวิมลภักดี ครู่หนึ่งเจ้าของตำหนัก ก็เดินออกมาจากข้างใน ด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม พลางเอ่ยถามอย่างอารมณ์ดี
“วันนี้ไม่ใช่เวรเจ้าไม่ใช่รึ เจ้าตัวดี”
แมงเม่ายิ้มรับ “หม่อมฉันอยากถวายการปรนนิบัติ ก็เลยขอแลกเวรเพคะ”
เจ้าของตำหนักยิ้มขำๆ อย่างรู้ทัน “หากฉันเชื่อเจ้า เห็นทีต้องลดอายุไปเป็นเด็กไร้เดียงสาแล้วกระมัง”
พูดพลางเดินมานั่งประจำที่ แมงเม่าเหลือบเห็นเพื่อนนั่งเหม่อลอย เลยเอื้อมมือไปสะกิด เป้าสะดุ้งตกใจ หันไปมองเห็นกรมขุนวิมลภักดีนั่งเรียบร้อย ก็รีบหยิบขันน้ำยกขึ้น เพื่อให้ล้างมือก่อนเปิบข้าวเข้าปาก
แมงเม่าได้แต่มองท่าทางของเป้าด้วยความเป็นห่วง แต่ก็ช่วยอะไรไม่ได้มากไปกว่าหางานให้เพื่อนทำเท่านั้น

อีกฟากหนึ่ง ขันทอง และขุนแผลงฤทธิ์ เดินนำขบวนนักโทษ โดยมีทหารคุมตัวแน่น ขุนเทพชำนาญ และขุนเทพรักษา ที่ถูกตีตรวนเดินมาตามย่านร้านค้า สองข้างทางเต็มไปด้วยชาวบ้านที่จับกลุ่มมุงดู และจับกลุ่มนินทากันอย่างออกรส
แน่นที่เจ็บหนักอยู่แล้ว โดนจับให้เดินประจานก็ถึงกับอ่อนแรง ก่อนจะสะดุดล้มลงกับพื้น ขันทองหันไปมองเพื่อนด้วยความเป็นห่วง แต่พอเหลือบไปมองขุนแผลงฤทธิ์ก็ต้องชะงักไว้ ไม่กล้าเข้าไปช่วย ปล่อยให้ทหารเข้าไปจับตัวแน่นลุกขึ้น แล้วให้เดินต่อไป ส่วนตนเองนั้นได้เพียงปั้นหน้านิ่ง แล้วเดินต่อไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

แมงเม่า เป้า และข้าหลวงอีก 1-2 คน กำลังช่วยกันทำความสะอาดตำหนักห้องๆ หนึ่งในกรมขุนวิมลภักดี
ขณะนั้นเอง เจ้าจอมอำพันกับคุณท้าวโสภาก็เดินคุยผ่านหน้าห้องมา ครั้นพอเหลือบเห็นเป้า คุณท้าวโสภา ก็พูดกึ่งประชด
“ อยู่ที่นี่เองรึแม่เป้า ดี ฉันนึกว่าจะแห่แหนไปกับขบวนประจานนักโทษเสียแล้ว”
เป้าถึงกับจ๋อยลงไปอีก “ขอประทานโทษเจ้าค่ะ”
เจ้าจอมอำพันชักสงสารเป้า “คุณท้าวนี่ก็จริงๆเทียว ติเตียนกันคราสองคราก็พอแล้ว กระทบกระเทียบกันทุกทีที่เจอหน้า จะไม่ขวัญเสียหมดรึ”
คุณท้าวโสภาเบ้ปาก “วุ้ย ไม่ได้ดอกเจ้าค่ะ ของอย่างนี้ไม่ปรามไว้ก่อน ประเดี๋ยวก็เป็นวัวหายแล้วล้อมคอกกันพอดี”
พูดพลางทิ้งค้อนให้วงใหญ่ ก่อนจะเดินเลี่ยงไปกับเจ้าจอมอำพัน
เป้าหน้าเจื่อน แต่ก็พยายามข่มใจทำงานต่อ เพื่อไม่ให้คิดมาก แมงเม่าชำเลืองมองด้วยความสงสารเพื่อน

แน่น ขุนเทพชำนาญ และขุนเทพรักษา ถูกจับมัดกับหลักประหาร ผูกตา ในมือถือดอกไม้ธูปเทียนเตรียมประหาร เพชฌฆาต 2 คนกำลังรำดาบ คลอไปกับเสียงปี่กลอง รอบข้างมีกลุ่มชาวบ้านยืนมุงดูเต็มไปหมด จนพวกทหารต้องล้อมวงคอยกั้นเอาไว้
แน่นมีท่าทางสงบนิ่ง ต่างจากอีก 2 ขุนที่ร้องไห้สะอึกสะอื้นตลอดเวลา
ขันทองนั่งอยู่ห่างออกไปเล็กน้อย คอยควบคุมการประหาร กับขุนแผลงฤทธิ์ มีสีหน้านิ่งขรึม ไม่บ่งบอกความรู้สึก ทว่าในใจนั้นร้อนรุ่มทุรนทุรายถึงที่สุด มือสองข้างที่วางอยู่บนตักกำเข้าหากันแน่น บ่งบอกความกดดันในใจถึงที่สุด
ขุนแผลงฤทธิ์เงยหน้ามองพระอาทิตย์ ก่อนชำเลืองมองขันทอง “ได้ฤกษ์แล้วออกพระ”
ขันทองยังคงทำหน้านิ่ง มือสองข้างกำแน่นกว่าเดิมจนเล็บจิกเข้าไปในเนื้อ ต้องใช้ความอดทนถึงที่สุดที่จะไม่เล่นงานขุนแผลงฤทธิ์และช่วยแน่นออกไป
“ช้าอยู่ไยเล่าออกพระ”
ขุนแผลงฤทธิ์พูดเร่ง ขันทองขบกรามแน่น หันไปสบตาเพชฌฆาต ก่อนจะพยักหน้าช้าๆ เป็นเชิงให้สัญญาณ
ขุนแผลฤทธิ์ยิ้มร้ายๆมุมปาก ดูการประหารอย่างไม่ละสายตา
เพชฌฆาตเงื้อดาบขึ้นสูง ขันทองตาแดงกล่ำ มองหน้าแน่น ราวกับจะสั่งลาเป็นครั้งสุดท้าย พยายามสะกดน้ำตาไม่ให้ไหลออกมาให้ผิดสังเกต
เพชฌฆาต เงื้อมือเต็มกำลัง หมายจะสับดาบจะลงคอแน่นให้ขาดในฟันเดียว ขันทองไม่เบือนหน้าหนี เพียงแต่เบี่ยงสายตามองไปทางอื่นเพื่อไม่ให้เห็นเพื่อนตายถนัดตานัก
ขุนเทพรักษาและขุนเทพชำนาญ ร้องไห้โฮด้วยความหวาดกลัว เสียงร่ำไห้ระงมไปทั่วบริเวณ จนขันทองต้องเบนสายตากลับมา
 
ทันพอดีกับขุนแผลงฤทธิ์ชำเลืองมองมาอย่างจับพิรุธ หากไม่มีอะไรผิดสังเกต นับว่าแน่นไม่ได้เสียสละชีวิตตายเปล่า

เป้านั่งอยู่ข้างหน้าต่างในห้องนอน พลางซบหน้าลงร้องไห้เสียใจอย่างถึงที่สุดกับการตายของแน่น
 
สิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างตนกับแน่น ไม่สามารถบอกได้ว่าคือความรักหรือไม่ เพราะตนไม่เคยคิดว่าแน่นคือผู้ชายมาก่อน กระนั้นนั้นสิ่งที่แน่นทำให้กับตน และความตายของเขา ก็ทำให้เป้าเสียใจอย่างที่สุด
แมงเม่าซึ่งยืนแอบดูอยู่หน้าประตู ค่อยๆ ปิดประตูลงอย่างเบาๆ รู้สึกสงสารเพื่อนจับใจ
“พอหมดงาน อยู่คนเดียวก็เป็นอีก แม่เป้าเอ๊ย” ส่วนอีกใจก็เป็นห่วงขันทอง “เหลืออีกหนึ่งคน”

พลบค่ำวันเดียวกัน หลังจากประหารแน่นก็จัดการงานศพจนเรียบร้อย ขันทองเดินหมดอาลัยตายอยากขึ้นเรือนมาแม้นออกมาจากข้างใน พลางคุกเข่าลงต่อหน้า
“สำรับเย็นเสร็จเรียบร้อยแล้ว คุณพระจะรับเลยหรือไม่เจ้าคะ”
ขันทองส่ายหน้าช้าๆ “ฉันกินกระไรไม่ลง เจ้าเก็บสำรับแล้วก็ไปหลับนอนเสียเถิด”
พลันเสียงแมงเม่าก็ดังแทรกขึ้นมา “แต่มื้อนี้ฉันลงครัวทำเองเลยนะเจ้าคะ”
ราวกับเสียงสวรรค์ ขันทองรู้สึกสดชื่นขึ้นทันที รีบหันมองไป เห็นแมงเม่ายิ้มหวานรอรับ
“หากไม่กิน ฉันคงเสียใจแย่”
ขันทองมองด้วยความแปลกใจ ด้วยไม่คิดว่าแมงเม่าจะมาอยู่ที่นี่

สำรับกับข้าวเรียงรายอยู่เต็มโต๊ะ มีอาหารหลายอย่าง รวมทั้งแกงจืดฟักเขียวโรยปลาป่นด้วย
ขันทองนั่งมองด้วยสีหน้าเครียดขรึม โดยมีแมงเม่านั่งฉีกยิ้มอยู่ใกล้ๆ พลางพยายามพูดเพื่อสร้างบรรยากาศ
“อาหารทั้งหมดนี่ฉันทำเอง ออกพระต้องกินให้หมดเลยนะเจ้าคะ”
ขันทองหน้าเศร้า “เมื่อกลางวัน ฉันต้องไปคุมการประหาร จากนั้นก็ต้องจัดแจงงานศพตามประเพณีอีก เจ้าคิดว่าฉันยังจะกลืนข้าวลงคออีกรึ”
แมงเม่ามองอย่างเข้าใจความรู้สึก “ฉันรู้ ว่าออกพระคงเศร้าใจ แต่คิดบ้างหรือไม่เจ้าคะว่าท่านขุนจิต คงไม่อยากให้ออกพระเป็นเช่นนี้”
“ยังมีเรื่องอีกมากนักที่เจ้าไม่เข้าใจ แลฉันก็ไม่อาจเล่าให้เจ้าฟังได้” ขันทองพูดพลางชำเลืองมองตาแมงเม่า
“แต่อย่างไร ก็ต้องขอบน้ำใจเจ้ามากนักที่ห่วงใยฉัน”
แมงเม่าชะงักไปเล็กน้อย มองเข้าไปในตาของขันทอง ก่อนจะรีบหลบสายตา เพราะกลัวกับความรู้สึกตัวเอง รีบปั้นยิ้มเปลี่ยนเรื่องคุย
“ไม่กินข้าวก็ได้เจ้าค่ะ แต่กินกับข้าวสักหน่อยนะเจ้าคะ หากไม่กินกระไรเลย จะล้มป่วยเอาได้”
จากนั้นก็กุลีกุจอยกจานใส่แกงจืดฟักโรยปลาป่นมาวางตรงหน้า ขันทองมองอาหารตรงหน้า พลางย้อนนึกกลับไปถึงคุณท้าวสาลิกา
“เออ คุณท้าวสาลิกาชอบกินฟักเขียวต้มโรยปลาแห้งป่นนัก กินได้ไม่มีเบื่อ”
นึกถึงตรงนี้ รอยยิ้มบางๆ ก็ผุดขึ้นมา รู้สึกดีที่แมงเม่าจำสิ่งเหล่านี้ได้
แมงเม่ายิ้มดีใจ “ออกพระยิ้มแล้ว”
“เจ้าตัวดี ฉันไม่ได้อยากกินดอกนะ แต่กลัวเจ้าจะเสียน้ำใจต่างหาก แลฉันกินเสร็จเมื่อใด เจ้าก็รีบกลับไปเถิด ประเดี๋ยว จะถูกเอ็ดเอาอีก”
“เจ้าค่ะ รู้เช่นนี้แล้วก็ต้องกินจนหมดนะเจ้าคะ เพราะฉันขี้น้อยใจเก่ง เสียน้ำใจง่ายมากเสียด้วย”
แมงเม่าทำหน้าทะเล้น ขันทองถอนใจออกมาก่อนจะตักฟักต้มค่อยๆ ฝืนกินไป

ผ่านมื้ออาหารนั้นไป ขันทองก็เดินมาส่งแมงเม่าตามทางเดินในวัง
“บอกให้พักผ่อนก็ไม่เชื่อ ไม่ได้ห่างกันเท่าใดเลย ไม่รู้คุณพระจะตามมาส่งทำกระไร”
ขันทองมองอีกฝ่ายอย่างเอ็นดู “ก็ใครใช้ให้เจ้ามารอฉันจนมืดค่ำเล่า ถ้าฉันไม่ไปส่ง แล้วเจ้าถูกเอ็ดขึ้นมา ฉันก็ได้ชื่อว่าเป็นต้นเหตุน่ะซี”
“ผู้ใดจะกล้าโทษคุณพระกันเจ้าคะ แค่คุณพระยอมกินฝีมือฉัน ก็เป็นพระคุณมากแล้วล่ะเจ้าค่ะ”
ขันทองยิ้มรับเล็กน้อย แล้วก็พากันเดินเคียงกันต่อไป ครู่หนึ่งฝ่ายแรกก็พูดลอยๆ ขึ้นม
“เจ้าเป็นสิ่งดีงามสิ่งเดียวที่ฉันได้พบเจอ ในช่วงหลายวันนี้เลยนะ”
แมงเม่าถึงกับชะงักไป ชำเลืองมองไปที่ขันทองที่เดินอยู่ข้างๆ โดยอีกฝ่ายไม่ทันสังเกต หากยังคงพูดต่อ
“ขอบน้ำใจเจ้านัก”
จบประโยคก็หันมองมาทางแมงเม่า ทั้งคู่มองสบตากันนิ่งนาน จนแมงเม่ารู้สึกเขินอายขึ้นมาอย่างประหลาดต้องรีบหลบสายตาแล้วเดินเลี่ยงนำไปก่อน ขันทองเองก็ยิ้มเขินๆ แล้วรีบเดินตามไป

ทั้งคู่ไม่ทันสังเกตเห็นว่าพระยากำแหงแอบมองดูทั้งคู่อยู่ที่มุมกำแพง ด้วยสายตาระแวง ปนหึงหวง เริ่มไม่ไว้ใจขันทองหนักขึ้นทุกที

จวบเวลาผ่านไป 2-3 วัน ที่ค่ายของพระยาตาก เยื้อนที่ถูกโซ่ตรวนล่ามไว้กำลังยกอาหารมาให้พวกทหาร

พระยาตาก หลวงพิชัยอาสา ม่วง และพันหาญ กำลังล้อมวงกินข้าวกันอยู่ ห่างจากเยื้อนไม่ไกลนัก
พันหาญโพล่งขึ้นมาด้วยความรู้สึกเสียใจ “กระผมเลี้ยงดูอ้ายแน่นมาแต่เล็กแต่น้อย พอได้ข่าวจากพ่อขันทองว่ามันตาย ก็ให้เสียใจนัก อยากจะไปจุด ธูปไหว้ศพมัน ก็เกรงอ้ายพระยาพลเทพมันจะส่งคนมาทำร้ายอีก”
พระยาตากมองอย่างเห็นใจ “อย่ากังวลไปเลยหัวพัน วันใดฉันมีราชการต้องเข้าไปในอโยธยา หัวพันก็ตามฉันไปเถิด พวกเราไปไหว้ศพพ่อแน่นด้วยกัน จะได้ไม่มีใครคิดร้ายกับหัวพันได้”
พันหาญพนมมือไหว้อย่างซาบซึ้งใจ “เป็นพระคุณเหลือเกินขอรับท่านเจ้าคุณ”
หลวงพิชัยอาสาเริ่มรู้สึกเป็นห่วงขันทองขึ้นมาบ้าง “พ่อแน่นตายแล้วเช่นนี้ แล้วพ่อขันทองจะไม่มีภัยไปด้วยรึ”
เยื้อนได้ยินพูดเรื่องขันทองก็หูฝึ่งทันที พันหาญพูดต่อ
“จากความในหนังสือของพ่อขันทอง อ้ายแน่นยอมตายก็เพื่อช่วยพ่อขันทองรักษาความลับไว้ คาดว่าเพลานี้คงไม่เป็นกระไรขอรับ”
หลวงพิชัยอาสาพยักหน้ารับ ขณะนั้นเองก็เหลือบไปเห็นเยื้อนกำลังเมียงๆ มองๆ เงี่ยหูฟังอยู่ พระยาตากรีบบอก
“แต่ฉันไม่อยากให้วางใจนัก หากเห็นท่าไม่ดี ก็ให้พ่อขันทองหนีมาหาฉันเถิด อีกไม่นาน คงเกิดศึกใหญ่กับอังวะ ถ้าเรา ชำนะศึก พ่อขันทองก็ได้ความชอบ ผิดที่เป็นจารบุรุษก็หักกลบลบล้างได้ อย่ากังวลไปเลย”
พันหาญยิ้มออก เริ่มสบายใจขึ้นมาบ้าง “ ขอรับท่านเจ้าคุณ กระผมจะบอกพ่อขันทองตามนี้ขอรับ”
เยื้อนจับความพอได้ว่าขันทองกำลังมีอันตราย อาจจะหนีมาที่นี่ ก็เริ่มสับสน ใจหนึ่งก็อยากเจอ อีกใจก็นึกห่วงหลวงพิชัยมองแล้วก็ยิ้มขำ
“จะเงี่ยหูฟังให้ลำบากทำกระไรวะนังเยื้อน มานั่งฟังด้วยกันเสียที่นี่เลยเถิดวะ”
เยื้อนหน้าเสียที่โดนจับได้ ก่อนจะแกล้งทำโกรธกลบเกลื่อน “ ผู้ใดจะอยากฟังเรื่องของอ้ายคนไม่ชายไม่หญิงกันเล่า อยากให้ตายเร็วๆ เสียมากกว่า”
พูดจบก็สะบัดหน้าเดินจากไป ม่วงมองตามแล้วส่ายหน้าช้าๆ
“ปากมันเหลือกำลังรับนัก นี่ถ้าพี่พันหาญไม่บอกฉันก่อน ว่านังเยื้อนเป็นลูกพระยา ฉันไม่มีทางเชื่อเป็นอันขาด”
พันหาญ กับหลวงพิชัยอาสายิ้มขำ เพราะเริ่มจะชินกับนิสัยเยื้อนแล้ว ขณะเดียวกัน พระยาตากก็ลอบมองม่วงด้วยสีหน้าใช้ความคิดบางอย่าง

ทางด้านเยื้อนที่เดินหนีมาด้วยสีหน้าหงุดหงิด ไม่พอใจที่ถูกจับผิดได้ ก็พึมพำออกมา ด้วยสีหน้าเจ็บแค้นฝังใจ
“ออกพระศรี หากท่านจะตาย ก็ต้องตายด้วยน้ำมือของอีเยื้อนเท่านั้น”

พระยาตากกำลังอ่านตัวหนังสือภาษาพม่าที่ม่วงเขียนให้ดู ขณะที่หลวงพิชัยอาสากับพันหาญนั่งอยู่ใกล้ๆ
“พอใช้ได้หรือไม่ขอรับท่านเจ้าคุณ กระผมเองก็อาศัยว่าอยู่กับกระดาษ แลหนังสือมาทั้งชีวิต พอจะรู้ภาษา อังวะอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ถือว่าชำนาญกระไร”
พระยาตากยิ้มรับ “ ได้แค่นี้ ก็ดีมากแล้วพ่อม่วง ต่อไป ฉันขอให้พ่อม่วงสอนหนังสืออังวะให้แก่ทหารทุกคน รวมถึงคำพูดภาษาอังวะง่ายๆ ด้วย”
พันหาญเลิกคิ้วอย่างนึกแปลกใจ “ท่านเจ้าคุณจะให้พวกทหารเรียนภาษาของอ้ายข้าศึกไปเพื่อกระไรขอรับ”
พระยาตากตอบด้วยเสียงจริงจัง “พิชัยสงครามจีนกล่าวไว้ว่า “รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งก็ชำนะร้อยครั้ง” ฉันจึงอยากให้ทหารของเรา เรียนรู้เรื่องของอังวะไว้บ้าง แม้จะเพียงเล็กน้อยก็ยังดี”
หลวงพิชัยอาสาขานรับ “ที่แท้ ท่านเจ้าคุณต้องการให้เราได้เปรียบพวกอังวะนี่เอง”
“ไม่ใช่ได้เปรียบ เพียงหวังแค่ให้คู่คี่ขึ้นมาบ้างเท่านั้น เพราะฉันมั่นใจ ว่าอังวะรู้เรื่องเรามากกว่าที่เรารู้เรื่องของอังวะมากนัก”
สีหน้าของพระยาตาก เต็มไปด้วยความวิตกกังวลแลหนักใจ

ทางด้าน มังมหานรธากำลังฟังรายงานจากทหารอยู่ภายในกระโจมในบริเวค่าย ทหารคนหนึ่ง
ยื่นเอกสารปึกหนึ่งให้
“นี่เป็นรายละเอียดต่างๆที่กระผมสอบถามจากพวกคนไทที่เข้ามาสวามิภักดิ์ ทั้งจำนวนคน ที่ตั้งเมือง ค่ายคูประตูหอรบ ชุมนุมต่างๆ ตั้งแต่ที่ทวายไปจนถึงอโยธยาขอรับ”
มังมหานรธารับมาเปิดอ่านคร่าวๆ พลางพูดเสียงเข้ม “ ยังไม่พอ เอ็งต้องไปสอบถามเพิ่มอีก ว่าทำเลที่ตั้งใน แต่ละแห่งเป็นอย่างไร ที่ใดตั้งค่ายได้ ที่ใดมีน้ำหลากในหน้าฝน หากสงสัยข้อใด เอ็งจงไปดูให้เห็นกับตา”
ทหารคนหนึ่งรับคำ ส่วนอีกคนพูดเสริม
“กระผมให้พวกทหารเรียนภาษาไท แลขนบธรรมเนียมประเพณีของคนไท ตามที่ท่านแม่ทัพสั่ง เพลานี้ คืบหน้าไปพอสมควรขอรับ”
มังมหานรธาพยักหน้ารับ “ดี ยิ่งรู้เกี่ยวกับคนไทมากเท่าใด เราก็มีโอกาสชำนะมากเท่านั้น แล้วทัพทางเหนือเล่า เนเมียวสีหบดีมีการเคลื่อนไหวอย่างไรบ้าง”
“ท่านแม่ทัพเนเมียวสีหบดี กำลังเสาะหาคนไทมาช่วยทำศึก โดยมีรางวัลให้อย่างงาม กับผู้ที่ทำงานได้ถูกใจขอรับ”
 
มังมหานรธายิ้มร้าย “ใช้ไทพิฆาตไท อ้ายคนเจ้าเล่ห์”

ฟากเนเมียวสีหบดีที่ถูกพูดถึง ก็เดินออกมาจากข้างในเรือนที่อยู่ที่เมืองลำปาง พลางตรงมาหาทองสุกที่นั่งคุกเข่ารออยู่ โดยมีทหารคุ้มกันเต็มที่

“เอ็งรึ อ้ายทองสุก”
ทองสุกยกมือไหว้ “ ขอรับ”
“เอ็งจะสวามิภักดิ์ข้า มีดีกระไร ที่ข้าจะต้องรับเอ็งไว้”
สิ้นประโยคคำถามนั้น ทองสุกก็หยิบแผนที่แผ่นใหญ่แผ่นหนึ่งออกมา ยื่นให้
“นี่เป็นแผนที่ ที่กระผมเขียนขึ้นระหว่างเร่ร่อนไปตามที่ต่างๆ ในขอบขัณฑสีมาของอโยธยาขอรับ”
เนเมียวสีหบดีรับแผนที่มาเปิดออกดู แม้ เพียงแค่ดูผ่านๆ ก็รู้สึกตื่นเต้นกับความละเอียดของแผนที่ ที่
ดีกว่าแผนที่ของตนมาก
ทองสุกพูดต่อด้วยความเคียดแค้น “กระผมเป็นลูกครึ่งไทมอญ เติบโตในอโยธยาแต่เล็ก โดนพวกขุนนางเอาเปรียบมามาก จึงมีใจเจ็บแค้น ท่านแม่ทัพบุกตีอโยธยาครานี้ ขอให้กระผมได้ทำงานรับใช้ เพื่อเป็นบำเหน็จแก่ตัวแลชำระความคับแค้นใจด้วยเถิดขอรับ”
เนเมียวสีหบดีหัวเราะชอบใจ “ ดี เมื่อเอ็งมีใจอยากรับใช้ข้าเช่นนี้ ข้าก็จะตั้งให้เอ็งเป็นตำแหน่งสุกี้พระนายกอง ทำราชการกับข้าสืบไป”
ทองสุกพนมมือไหว้ด้วยความดีใจเป็นล้นพ้น “เป็นพระคุณขอรับ”
เนเมียวสีหบดีลอบยิ้ม กับแผนให้คนไทมาช่วยรบคนไทด้วยกันเองอย่างได้ผล

ขณะที่กรมขุนวิมลภักดีกำลังเดินชื่นชมบรรยากาศสวนยามเช้า พลางพูดคุยกับเจ้าจอมอำพันไปด้วย ครั้นก็รู้สึกว่ามีคนกางร่มให้ตน เลยหันกลับไปมอง เห็นแมงเม่าเป็นคนกางร่มให้ด้วย ท่าทางสงบเสงี่ยมเรียบร้อยมาก ก็นึกแปลกใจ แต่ไม่กล่าวว่ากระไร
จนเมื่อขณะที่เด็ดดอกไม้ออกมา เพื่อจะเอาไปร้อยมาลัย ก็มีขันยื่นมารอ พอหันไป ก็เห็นแมงเม่าคุกเข่ายื่นขันมาให้ตนใส่ดอกไม้ แมงเม่าฉีกยิ้มให้เช่นเคย
ครั้นพอจะเดินมานั่งที่ม้านั่งใต้ต้นไม้ แมงเม่ารีบเดินแซงมา คุกเข่า ใช้ผ้าปัดเศษดอกไม้ ใบไม้บนม้านั่งให้อย่างเอาใจ
กรมขุนวิมลภักดีเหล่มองเล็กน้อย ก่อนหันไปพูดกับเจ้าจอมอำพันเบาๆ
“เจ้าตัวดีของฉัน ต้องไปก่อเรื่องกระไรไว้เป็นแน่ วานเจ้าจอมช่วยสอบถามดูทีเถิด”
เจ้าจอมอำพันกระซิบถามกลับ “เหตุใดทรงคิดเช่นนั้นเล่าเพคะ”
“หลายวันมานี้ เจ้าตัวดีตามฉันราวกับเงาตามตัว ชิงเอาอกเอาใจสารพัด หากไม่ก่อเรื่องเอาไว้แล้วจะมีกระไร”
พูดพลางยิ้มอย่างเอ็นดู
“เช่นนี้นี่เอง หม่อมฉันจะจัดการให้เพคะ”
แมงเม่าปัดเช็ดเรียบร้อย ก็รีบคุกเข่าลง ทำหน้าตาแป้นแล้น
“เชิญประทับเพคะ“

ขณะเดียวกันนั้นเอง ที่โถงตำหนักของกรมขุนวิมลภักดี พระองค์เจ้าเชษฐ์กำลังพาลใส่เป้าที่นั่งคุกเข่าอยู่บนพื้น
“ไม่อยู่อีกแล้วรึ นี่มันกระไร ฉันมาหาทีไรก็ไม่อยู่ อย่างนี้มันหลบหน้ากันชัดๆ”
เป้าหน้าซีด ตัวสั่นด้วยความกลัว “มิได้เพคะ แม่แมงเม่าต้องตามเสด็จพระองค์หญิงจริงๆ ไม่ได้ตั้งใจหลบหน้าเลยเพคะ”
พระองค์เจ้าเชษฐ์ตะคอกกลับอย่างมีโมโห “ฉันไม่เชื่อ” พลางชี้หน้าเป้า “อย่าลืม ว่าฉันช่วยกระไรเอาไว้ เมื่อได้ตามประสงค์แล้ว ก็ต้องตามใจฉันบ้าง ถ้าคิดคดโกงกันล่ะก็ฉันจะเอาคืนให้ถึงตาย”
เป้ากลัวลนลาน จนต้องรีบหลบสายตา “เพคะ ทราบแล้วเพคะ”
-ภาพแคบมาที่พระองค์เจ้าเชษฐ์ สีหน้าดุดันดูน่ากลัว

“ตายแล้ว คุณพระคุณเจ้า ทำเข้าไปได้อย่างไร”
เจ้าจอมอำพันยกมือทาบอก ด้วยความตกใจ เมื่อได้รับฟังความจากแมงเม่า โดยมีข้าหลวงจำนวนหนึ่งตามหลังมาห่างๆ
แมงเม่าหน้าจ๋อย “ฉันรู้ว่าผิดนักเจ้าค่ะ แต่เพลานั้น ฉันสงสารแม่เป้าเหลือเกิน แลไม่คิดว่าพระองค์เชษฐ์ เอ่อเอ่อ จะทรง...”
เจ้าจอมอำพันต่อความให้อย่างหมั่นไส้ “ปากว่ามือถึง”
แมงเม่ายิ่งจ๋อยหนัก “เจ้าค่ะ”
“ถ้าไม่ทรงเป็นเช่นนั้น เสด็จพระองค์หญิงจะเพียรปกป้องเจ้ารึ “ เจ้าจอมอำพันถอนหายใจ พร้อมกับส่ายหน้าช้าๆ “ช่วยเขาเช่นนั้นแล้ว ทีเราเดือดร้อนบ้าง แม่เป้าช่วยเจ้ากลับได้หรือไม่เล่า”
แมงเม่ารีบพูดช่วยเพื่อน “อย่าตำหนิแม่เป้าเลยเจ้าค่ะ แม่เป้าเองก็รู้สึกผิดมากอยู่แล้ว เอ่อ เจ้าจอมพอจะเมตตาช่วยแนะวิธีเอาตัวรอดให้สัตว์ผู้ยากได้หรือไม่เจ้าคะ”
ว่าพลางทำสีหน้าออดอ้อนขอความเมตตา จนอีกฝ่ายนึกหมั่นไส้ แต่ก็ช่วยคิด
“เจ้าก็คงต้องคอยหลบหน้าไปก่อน นานวันไปพระองค์เชษฐ์ก็คงหมายปองหญิงอื่นแทนเองนั่นล่ะ แต่ระหว่างนี้ เจ้าอย่าไปก่อเรื่องกระไรเข้าอีกเล่า ไม่เช่นนั้น ถูกบังคับให้เป็นห้ามขึ้นมา ก็เหมือนตกนรกทั้งเป็น”
แมงเม่าหน้าซีดเผือดขึ้นมาทันที “การเป็นห้ามของพระองค์เชษฐ์ น่ากลัวถึงขั้นนั้นเลยหรือเจ้าคะ”
เจ้าจอมอำพันสีหน้าเคร่งเครียด
“หากทรงถูกพระทัย ก็ไม่น่ากลัวดอก มีแต่จะสุขสบาย มั่งมีศรีสุขในพริบตา แต่หากทรงเบื่อหน่ายขึ้นมาล่ะก็...”
แมงเม่ารีบซักต่ออย่างอยากรู้

“อย่างไรเจ้าคะ”

เสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บและตกใจกลัวของหม่อมห้ามดังลั่นตำหนัก เมื่อเจ้าของเสียงร้องนั้น ถูกพระองค์เจ้าเชษฐ์ผลักจนล้มไปนอนกับพื้นด้วยความโมโห

พระองค์เจ้าเชษฐ์อยู่ในอาการเมา แก้วเหล้ายังถือติดมือ
“ โง่เง่านัก ทำแต่เรื่องให้ข้ารำคาญใจ อยากจะโดนดีนักใช่หรือไม่”
ตะคอกพลางทำท่า ยกเท้าจะกระทืบซ้ำ หม่อมห้ามกลัวจนตัวสั่น รีบเข้าไปจับเท้า พร้อมกับร้องห้าม
“อย่าเพคะ หม่อมฉันกลัวแล้วเพคะ”
พระองค์เจ้าเชษฐ์ชักเท้ากลับ “ไป ไปให้พ้นหน้าข้าประเดี๋ยวนี้ หากชักช้า ข้าจะยกเอ็งให้คนอื่นเสียเลย จะได้ไม่ต้องเห็นหน้าเอ็งให้รกหูรกตาอีก ไป”
“ เพคะ ๆ”
หม่อมห้ามกลัวจนลนลาม รีบลุกขึ้นออกจากตำหนักไป สวนกับเจ้าจอมเพ็ญ และเลื่อน ที่เข้ามาพอดี
จึงก็รีบยกมือไหว้ทั้งน้ำตา
เจ้าจอมเพ็ญพยักหน้ารับแต่ไม่รับไหว้ หากเดินตรงเข้ามาถามพระองค์เช่าเชษฐ์
“ทรงกริ้วเรื่องกระไรหรือเพคะ”
“ก็เรื่องนังแมงเม่าน่ะซี จะกระไรเสียอีก” พูดพลางดื่มเหล้าจนหมดแก้ว ด้วยความแค้นเคือง “คอยดูเถิด ข้าจะให้มันชดใช้จนสาสม”
เลื่อนรีบพูดประจบ “ พุทโธ่ คนมันเกิดมาต่ำช้า ก็เป็นเช่นนี้ล่ะเพคะ พยายามจะยกให้สูงก็ไม่รู้ค่า แต่ว่าก็ว่า
เถิดนะเพคะ หากนังคนนี้เป็นข้าหลวงตำหนักหม่อมแม่ ก็คงขัดเกลาให้ถูกพระทัยได้ แต่นี่... “
พระองค์เจ้าเชษฐ์ยิ่งคิดยิ่งแค้น เลยปาแก้วเหล้าลงพื้นด้วยความโกรธ ก่อนจะโวยวายเสียงดังลั่น
“เอาน้ำจัณฑ์มาอีก น้ำจัณฑ์ข้าหมดแล้ว ไม่เห็นรึ”
บรรดาข้าหลวงรีบกุลีกุจอไปเอาเหล้ามาเพิ่มทันที เจ้าจอมเพ็ญยิ้มเล็กน้อย
“อย่าทรงเสวยน้ำจัณฑ์อีกเลยเพคะ”
อีกฝ่ายตะคอกกลับ “ทำไม”
“เพราะหากทรงเสวยอีก ก็จะได้ตัวนังแมงเม่ามารับใช้ช้าลงไปอีกน่ะสิเพคะ”
พระองค์เจ้าเชษฐ์ได้ฟัง ก็อึ้งไปครู่หนึ่ง “เจ้าจอมพูดเช่นนี้ หมายความว่าอย่างไร”
เจ้าจอมเพ็ญยิ้มเจ้าเล่ห์ “หม่อมฉันเฝ้าคิดวิธี ที่จะได้นังแมงเม่ามารับใช้พระองค์อยู่ทุกวี่วัน จนเมื่อเร็วๆนี้ เพิ่งคิดได้วิธีหนึ่งเพคะ”
พระองค์เจ้าเชษฐ์ยิ้มดีใจ “ วิธีใด รีบบอกมาเถิดเจ้าจอม หากสำเร็จ เจ้าจอมอยากได้กระไร ฉันจะหามาให้ทุกอย่าง”
“หม่อมฉันไม่บังอาจถึงเพียงนั้นดอกเพคะ”
เลื่อนรีบยิ้มประจบ แล้วชิงพูดต่อ “ หม่อมแม่ ให้คนสืบจนรู้ที่อยู่ของบ้านนังแมงเม่า เพลานี้ที่เรือนมีเพียงพ่อ แม่เลี้ยง พี่สะใภ้ กับบ่าวอีกสองคนเท่านั้นเพคะ”
พระองค์เจ้าเชษฐ์ขมวดคิ้ว ด้วยความงุนงง “แล้วมันมีกระไรรึ”
เจ้าจอมเพ็ญยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมาอย่างมีแผนการ

ติ่น กับผล กำลังช่วยกันตำข้าวอยู่หน้าเรือนใหม่ของมิ่ง ส่วนชื่น กับอิน ก็กำลังช่วยกันเอาปลา เอาเนื้อมาตากเพื่อถนอมอาหาร
พักใหญ่มิ่งก็เดินลงมาจากเรือน ชื่นหันไปเห็นก็เอ่ยถาม
“อ้าว มีกระไรรึพี่มิ่ง”
“ไม่มี ข้าจะมาช่วยพวกเอ็งทำงานเท่านั้นเอง”
มิ่งตอบพลางขยับตัวจะเดินเข้าไปช่วย อินรีบห้าม
“อุ๊ย อย่าจ้ะพ่อ งานพวกนี้ ฉันกับน้าชื่นทำเองได้ พ่ออย่าทำเลย”
ชื่นรีบพูดเสริม “จริงจ้ะพี่มิ่ง พี่มิ่งขึ้นไปนอนพักบนเรือนเถิด”
มิ่งถอนใจเซ็งๆ “ข้านอน จนไม่รู้จะนอนอย่างไรแล้ว ให้ข้าทำเถิด กระดาษก็ไม่ได้ทำ งานอื่นก็ไม่มี นี่ถ้าไม่ขนสมบัติติดตัวมาได้บ้าง ข้าคงกลุ้มใจกว่านี้มากนัก”
ชื่น และอินเห็นท่าทางมิ่งก็อดสงสารไม่ได้
“ถ้าเช่นนั้น พี่มิ่งไปช่วยอ้ายติ่น อ้ายผลมันเถิดจ้ะ งานพวกนี้มันงานผู้หญิง พี่ไม่ถนัดดอก”
มิ่งพยักหน้ารับ แล้วเดินเข้าไปหาติ่น และผล ขณะเดียวกันนั้นเอง ก็มีผู้ชายกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามาถึงหน้าเรือน“มาหาผู้ใดรึพ่อ”
ขาดคำ นักเลงคนหนึ่งก็ต่อยผลจนล้มคว่ำทันที ท่ามกลางความตกใจของทุกคน ส่วนพวกนักเลงก็กระจายกำลังเข้าพังข้าวของ แล้วก็รุมทำร้ายทุกคน
ชื่น และอิน ตกใจร้องลั่น พยายามห้ามแต่ก็ถูกทำร้ายผลักไสจนล้มไป
ติ่นตะโกนลั่น “กูสู้ตายล่ะโว้ย”
จากนั้นก็คว้าไม้ตำข้าวไล่ตี แต่กลับถูกพวกนักเลงช่วยกันจับติ่นแล้วรุมซ้อม มิ่งจะเข้าไปช่วยก็โดนต่อยจนเลือดกบปากไปอีกคน
พลัน ทหารกลุ่มหนึ่งก็กรูกันเข้ามาล้อมทุกคนเอาไว้ พวกมิ่งตกใจหันไปมองตาม เห็นพระองค์เจ้าเชษฐ์เดินถือดาบเข้ามา ท่าทางองอาจ ก่อนจะชักดาบออกมา แล้วประกาศเสียงดัง
“หยุดประเดี๋ยวนี้ ผู้ใดกล้าก่อความวุ่นวาย กูจะถือว่ามันผู้นั้นคิดกบฏ”
พวกนักเลงรีบหยุดทันที แกล้งทำเป็นกลัวๆ ตามที่เตี๊ยมกันเอาไว้ พวกมิ่งรีบมารวมตัวกัน มองด้วยความแปลกใจ เพราะไม่รู้จักว่าใคร
พระองค์เจ้าเชษฐ์แอบยิ้มเจ้าเล่ห์ ที่ทุกอย่างเป็นไปตามแผน

แมงเม่ายืนกระสับกระส่ายอยู่ภายในบริเวณวัง เพื่อดักรอเจอขันทอง ครู่ใหญ่นั่นเอง กว่าที่ฝ่ายหลังจะเดินหน้าเครียดผ่านมา คนที่ดักรอรีบปราดเข้าไปหา ด้วยอารามดีใจ “ออกพระศรีเจ้าคะ”
ขันทองหยุดมอง แล้วรีบพูดสวนขึ้นมา ก่อนที่แมงเม่าจะพูดอะไรต่อ
“มีเรื่องสำคัญหรือไม่ ถ้าไม่ เอาไว้คุยกันวันหลังเถิด”
แมงเม่าทำหน้างง “อ้าว ทำไมเล่าเจ้าคะ”
ขันทองหน้าเครียด “มีนางข้าหลวงป่วยเป็นโรคปัจจุบันตาย ฉันต้องรีบเอาศพออกจากพระบรมมหาราชวัง เพื่อไม่ให้มีความอัปมงคลเกิดขึ้น”
“เอ่อ แล้วออกพระจะเสร็จงานเมื่อใดเจ้าคะ ฉันมีเรื่องอยากขอคำแนะนำ”
“ถ้าสำคัญ ก็พูดมาประเดี๋ยวนี้เถิด”
ยังไม่ทันที่ใครจะพูดอะไรต่อ เป้าก็เดินเข้ามาหาแมงเม่าด้วยความร้อนใจ
แม่แมงเม่า”
ทั้งคู่หันไปมองตามเสียง ขันทองเห็นท่าจะนาน เลยรีบตัดบท
“ถ้ากระนั้น ฉันไปก่อน”
จากนั้นก็รีบเดินเลี่ยงไปทันทีด้วยความรีบร้อน แมงเม่ามองตามอย่างขัดใจ
“อ้าว พุทโธ่เอ๊ย ไปเสียแล้ว”
พร้อมกับที่เป้าเดินปราดเข้ามาถึงตัวพอดี “แม่แมงเม่า แย่แล้ว”
“มีกระไรรึ” แมงเม่าถามอย่างสงสัย
“พ่อของแม่แมงเม่าถูกทำร้าย แต่พระองค์เชษฐ์ทรงช่วยไว้ เพลานี้อยู่ที่วังของพระองค์เชษฐ์”

แมงเม่าตกใจจนหน้าซีดเผือดที่เกิดเรื่องกับพ่อ นึกรู้ว่าการที่พระองค์เจ้าเชษฐ์ช่วยไว้ ก็คงต้องมีปัญหาตามมาแน่นอน

แมงเม่าก้มลงกราบพระองค์เจ้าเชษฐ์ที่นั่งอยู่ในตำหนัก โดยมีมิ่ง ชื่น อิน ติ่น และผล นั่งพับเพียบอยู่ใกล้ๆ

เจ้าของตำหนัก ยิ้มร้าย “ยอมมาหาฉันได้แล้วรึ แม่แมงเม่า”
แมงเม่าทำหูทวนลม พยายามตั้งสติ “เป็นพระกรุณาอย่างหาที่สุดมิได้เพคะ ที่ทรงช่วยพ่อแลคนในครอบครัวหม่อมฉันไว้”
“ฉันเพียงแต่บังเอิญผ่านไปเท่านั้น ไม่เป็นกระไรดอก แต่แม่แมงเม่าอย่าลืมก็แล้วกัน ว่าติดหนี้ฉันอีกคราหนึ่งแล้ว”
ฝ่ายถูกทวงบุญคุณหน้าเสีย “เพคะ”
ติ่นกับผล ได้ยิน ก็เอียงหน้ากระซิบกระซาบกัน
“อีกครา ? หมายความว่า แม่หญิงเคยติดหนี้มาก่อนรึ”
ผลพูดเบาๆ กลับไป “ ข้าก็อยู่กับเอ็ง จะไปรู้ได้อย่างไรวะ”
พระองค์เจ้าเชษฐ์ทำสีหน้ากรุ้มกริ่ม “แล้วแม่แมงเม่าจะตอบแทนฉันอย่างไรเล่า”
แมงเม่าทำสีหน้าหนักใจ เสตอบเลี่ยงไปกลางๆ “ สิ่งใดที่หม่อมฉันทำได้โดยไม่เป็นการทำร้ายตัวเองแลผู้อื่น
หม่อมฉันจะทำเพื่อทดแทนพระคุณเพคะ”
พระองค์เจ้าเชษฐ์ทำตาเจ้าชู้ พลางชะโงกหน้ามาใกล้ๆ “ฉันก็ไม่เคยต้องการให้แม่แมงเม่าทำร้ายตัวเอง แลแม่แมงเม่าก็รู้ดีอยู่แล้วไม่ใช่รึ ว่าฉันต้องการกระไร”
มิ่ง ชื่น และอิน หันไปมองหน้ากัน นึกรู้ชัดแจ้งแล้วว่าพระองค์เจ้าเชษฐ์คิดอะไร ขณะที่แมงเม่าก้มหน้านิ่ง ก่อนจะตอบกลับไป
“แต่สิ่งที่ทรงต้องการ หม่อมฉันเกรงว่าไม่อาจทำตามพระประสงค์ได้เพคะ ขอทรงให้หม่อมฉันทำอย่างอื่นเถิดเพคะ”
พระองค์เชษฐ์ยิ้มมุมปากอย่างเอาแต่ใจ หันไปสั่งพวกข้าหลวง
“ รีบจัดห้องหับให้ครอบครัวของแม่แมงเม่าเร็ว เพราะเห็นที ต้องพำนักอยู่ที่นี่อีกนานเทียว”
พวกแมงเม่าตกใจ ไม่คิดว่าพระองค์เจ้าเชษฐ์จะมัดมือชกเอาดื้อๆ อย่างงี้
อินถึงกับหน้าเสีย “พวกหม่อมฉันไม่กล้าอาจเอื้อมดอกเพคะ ขอให้พวกหม่อมฉันกลับไปที่เรือนดีกว่าเพคะ”
มิ่งเองก็หน้าเครียด รีบยกมือไหว้ “จริงกระหม่อม พวกกระหม่อมบุญไม่ถึง อย่าให้ต้องอยู่ในรั้วในวังจนเป็นอัปมงคลแก่ตัวเองเลยกระหม่อม”
พระองค์เจ้าเชษฐ์ทำหน้าตาย “ไม่ได้ ฉันไม่รู้ว่าอ้ายพวกนั้นจะมารังควานหาเรื่องพวกเจ้าอีกหรือไม่ พวกเจ้าทุกคนต้องอยู่ที่นี่ จนกว่าฉันจะวางใจ”
ชื่นรีบบอก “ทรงเมตตาเหลือเกินเพคะ แต่พวกหม่อมฉัน...”
แต่กลับถูกอีกฝ่ายตวาดกลับ “ฉันสั่งอย่างไรก็ทำอย่างนั้น”
พวกข้าหลวงพากันเข้ามาช่วยกันประคองพวกมิ่ง ทุกคนแม้จะไม่เต็มใจ แต่ก็จำต้องลุกขึ้น แล้วตามพวกข้าหลวงเข้าไปข้างใน
แมงเม่ามองทุกคนด้วยความเป็นห่วง ก่อนจะรีบหันกลับมามองด้วยความไม่พอใจ พระองค์เจ้าเชษฐ์จ้องหน้ากลับ พลางยิ้มร้ายๆ ใส่อย่างต้องการเอาชนะ ในที่สุด ก็หาทางเอาตัวแมงเม่ามาเป็นหม่อมห้ามได้จนได้

ทางด้านขันทองขณะกำลังจะเดินกลับขึ้นเรือนพลัน ก็ได้ยินเสียงพระยากำแหงดังขึ้น
“คุณพระศรี”
ครั้นหันไปมองตามเสียง ก็เห็นอีกฝ่ายเดินหน้ากลุ้มใจเข้ามาหา
“ท่านเจ้าคุณ เชิญบนเรือนก่อนเจ้าค่ะ”
“ไม่ต้องดอก ฉันเพียงแต่มาบอกเรื่องที่วันพรุ่งต้องส่งห้ามคนใหม่ไปที่ตำหนักของพระองค์เชษฐ์ ฉันจะให้
คนมารอรับเหมือนเดิมนะ”
“ห้ามคนใหม่อีกแล้วหรือเจ้าคะ” ขันทองทวนคำ “ดีฉันเพิ่งส่งห้ามไปให้พระองค์เชษฐ์เมื่อเดือนที่แล้วนี่เอง แล้วนี่เป็นคนของตำหนักใดกันเจ้าคะ”
พระยากำแหงหน้าเศร้า “ตำหนักกรมขุนวิมลภักดี”
ขันทองนึกแปลกใจ “แปลกนัก ไม่เคยมีข้าหลวงจากตำหนักกรมขุนท่านไปเป็นห้ามของพระองค์เชษฐ์เลย เป็นผู้ใดกันหรือเจ้าคะ”
พระยากำแหงเศร้าหนัก อาการไม่ต่างจากคนอกหัก “ แม่แมงเม่า”
ขันทองเบิกตาโพลงด้วยความตกใจ และคาดไม่ถึง “ว่าอย่างไรนะเจ้าคะ แม่แมงเม่าน่ะหรือ ดีฉันไม่ได้หูฝาดนะเจ้าคะ”
“ออกพระได้ยินไม่ผิดดอก ฉันเองตอนรู้เรื่อง ก็ไม่อยากเชื่อหูตัวเองเหมือนกัน ไม่รู้ว่ากระไรดลใจให้แม่แมงเม่าทำเช่นนี้” พูดพลางถอนใจเฮือกใหญ่ “แต่มันก็เป็นไปแล้ว แลเราก็ต้องทำตามหน้าที่ ไม่อาจบิดพลิ้วได้ แม้ฉันจะเสียใจเพียงใดก็ตาม”

ขันทองยิ่งฟัง ก็ยิ่งตกใจ เพราะไม่คาดคิดว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นกับแมงเม่าได้
 
อ่านต่อตอนที่ 18


กำลังโหลดความคิดเห็น