เชลยศึก ตอนที่ 17
โหนหลบมานั่งทอดอารมณ์เงียบๆ คนเดียว หวนรำลึกนึกถึงช่วงเวลาดีๆที่ได้ใช้ชีวิตอยู่กับเอื้อย สุดท้ายเงยหน้ามองขึ้นไปบนฟ้า
“ป่านนี้เจ้าจักเป็นเยี่ยงไรบ้างนะ จะยังมองลงมาที่ข้าอยู่รึไม่”
ขณะกำลังเงยหน้ามองฟ้าอยู่นั้น จำปาก็โผล่หน้ามาหลอก
“แฮ่”
“เฮ้ย”
โหนสะดุ้งโหยง จำปาหัวเราะขำก่อนจะนั่งลงข้างๆ มีหม้อยาอยู่ในมือ
“นี่ตกใจเป็นกับเขาด้วยรึ”
“อ้าว นี่คนนะ มิใช่พระอิฐพระปูน ถึงจะไร้ความรู้สึกไปเสียทุกอย่าง แล้วนั่นหม้ออะไรรึ”
“ยาแก้ช้ำในน่ะ” จำปายื่นหม้อยาให้ “กินเสีย จักได้กลับมาแข็งแรงเช่นเดิม”
โหนรับหม้อยาจากจำปา แต่แล้วก็เกือบทำหม้อหล่นเพราะรู้สึกเจ็บที่แขน
“โอ๊ย”
“ยังเจ็บแขนอยู่รึ มา ประเดี๋ยวข้าช่วยจับ”
จำปาขยับเข้าใกล้โหนอีกนิด และจับหม้อยาป้อนให้โหน สองคนใกล้ชิดกันจนต่างรู้สึกหวั่นไหวด้วยกันทั้งคู่
“เจ้าดีกับข้าเหลือเกิน ดีจนข้าแปลกใจว่าเหตุใดถึงดีกับข้าเยี่ยงนี้”
จำปาเขิน ไม่กล้าบอกความในใจ “ข้า...”
โหนกับจำปาสบตากันซึ้งๆ โหนเคลิ้ม ค่อยๆ เอียงหน้าเข้าหาจำปาช้าๆ ทำท่าจะหอมแก้มนวล จำปาเคลิ้มตามก่อนจะเอียงหน้าหลบในท้ายที่สุด
“เจ้ามิใช่พระอิฐพระปูนจริงด้วย”
“ข้ามิได้เจตนาล่วงเกินเจ้า อภัยให้ข้าเถิดนะ”
“ยาหมดแล้ว ข้ากลับบ้านก่อนนะ”
จำปาลุกเดินออกไปด้วยท่าทีขวยเขิน โหนรู้สึกสับสนในใจ ใจหนึ่งยังไม่ลืมเอื้อย แต่อีกใจก็เริ่มหวั่นไหวกับจำปา
ส่วนกล้านั่งครุ่นคิดว้าวุ่นอยู่คนเดียว ภาพมะขามอยู่กับนิลสองต่อสองจนต้องหยุดมอง ผุดขึ้นมาในห้วงคิด
มะขามมองนิล แล้วจับมือนิลอีกครั้งเพื่อจะปลอบ
“อย่าทำให้ข้าต้องเป็นห่วงเจ้ามากไปกว่านี้ได้รึไม่”
นิลหันมองมะขามอย่างอึ้งๆ ระคนรู้สึกดีอยู่ลึกๆ
“เจ้าเป็นห่วงข้ารึ”
“ก็ใช่น่ะสิ เจ้าร้อนรุ่มเยี่ยงนี้ จะคิดการศึกให้ชนะได้เยี่ยงไร”
นิลยิ้มชื่นดีใจ “ข้าจะพยายามใจเย็นให้มากกว่านี้นะ”
“ดีมาก”
กล้าหน้าเจื่อน เริ่มสงสัยว่ามะขามจะชอบนิลจริงๆหรือเปล่า
ยิ่งคิดยิ่งหงุดหงิดตัวเองที่พยายามไม่คิดถึง แต่ก็ทำไม่ได้
“โธ่เว้ย ไม่คิดถึงๆๆๆๆ”
กล้าเขกกบาลตัวเองเบาๆ รัวๆ
คืนพระจันทร์เต็มดวง ส่องแสงสุกสกาวอยู่บนท้องฟ้า มะเมียะนั่งมองจันทร์ฉายเคลิ้มอยู่ในภวังค์ นึกถึงกล้าที่ช่วยตนไว้ตอนเจอกันครั้งแรก และประทับใจมาจนถึงวันนี้
มะเมียะเผลอยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว จนเฟื่องฟ้าเดินเข้ามาเห็น จึงหยุดมองด้วยความสงสัย
“นั่งใจลอยยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เยี่ยงนี้ คิดถึงผู้ใดอยู่นะ”
มะเมียะชะงัก อึกอัก เขินอาย “เปล่าสักหน่อย”
“สาบาน”
มะเมียะอ้ำอึ้งก่อนจะคิดหาประเด็นเฉไฉ เพื่อเบี่ยงเบนประเด็นให้พ้นตัว
“เอ้อ นี่ท่านพี่มังจาเลกลับมารึยัง”
เฟื่องฟ้าถอนหายใจเซ็งๆ เพราะยังโกรธอยู่ คิดว่ามังจาเลกำลังหาทางกำจัดพวกกล้า
“ยังไม่เห็นนะ แล้วก็ไม่อยากเห็นด้วย”
มะเมียะถอนหายใจโล่งอกที่เบี่ยงเบนประเด็นได้ เกลี้ยกล่อมเฟื่องฟ้าให้เข้าใจมังจาเลมากขึ้น
“ใจเย็นนะเฟื่องฟ้า เจ้ากำลังเข้าใจพี่ข้าผิดไปกันใหญ่แล้ว พี่ข้ามิได้ร่วมมือกับทกยอเพื่อจะจับตัวพวกกล้าแต่อย่างใด”
“เจ้าจำมิได้รึ วันก่อนไล่ข้ากับเจ้าออกไปเพื่อจะคุยกับทกยอ ข้าว่าก็เพื่อวางแผนเล่นงานพวกกล้ากันนี่ละ”
“ไม่จริง เรื่องมันเป็นอย่างนี้ ทกยอมาถามข่าวคราวพวกชาวบ้านที่ลอบตีค่ายพม่ากับพี่ข้า ซึ่งพี่ข้าสงสัยอยู่ว่าจักเป็นพวกกล้า แต่ก็มิได้บอกกับทกยอไป”
เฟื่องฟ้าอึ้งไป “มิได้บอกจริงรึ”
“จริงสิ ข้ามิปดเจ้าดอก รึจักให้ข้าไปสาบานก็ได้นะ”
“มิต้องสาบานดอก ที่นี่เจ้าคือคนเดียวที่ข้าเชื่อใจได้”
มะเมียะยิ้มให้เฟื่องฟ้า
หลังมื้อเช้าในวันต่อมา กล้า นิล โหน เที่ยง เดินออกมาถึงบริเวณประตูทางเข้าหมู่บ้าน มีมะขามเดินออกมาส่ง ทุกคนถือดาบที่มั่นตีให้ใหม่ ติดตัวมาด้วย มะขามพยายามอ้อนวอนจะไปด้วย
“ไม่ให้ข้าไปด้วยแน่รึครู”
“เอาไว้ครั้งหน้าถ้าต้องพึ่งพาเจ้า ข้าจักพาเจ้าไปด้วย”
กล้าลอบมองมะขามยังงอนไม่หาย แล้วจึงเดินเข้าไปกอดคอนิลพูดกระแนะกระแหนมะขาม
“มิต้องห่วงนะ ข้าจะดูแลไอ้นิลให้อย่างดี ริ้นจะมิให้ไต่ ไรจะมิให้ตอม เลือดสักหยดจะไม่ให้ตกลงพื้นเลย”
นิลรู้สึกสยิวปรสยอง รีบสะบัดตัวเองออกจากกล้า
“เฮ้ย ไม่ต้องดูแลข้าขนาดนั้น ข้าดูแลตัวเองได้”
มะขามพูดกับนิลหวานหยด “เจ้าดูแลตัวเองดีๆ นะ ข้าจักรอเจ้ากลับมา”
นิลยิ้มย่อง “ข้าจะกลับมาอย่างปลอดภัย ข้าสัญญา”
กล้าเมินหน้าหนีทำเป็นไม่สนใจ
พันแสงเดินมาพร้อมกับมั่น จำปา และ ชายฉกรรจ์บ้านตีดาบที่จัดมาช่วยพวกเที่ยง
“คิดว่าจักมาไม่ทันเสียแล้ว นี่ ข้าให้คนของข้าตามไปช่วย”
“นี่ถ้าข้าเป็นดาบสักนิด ก็จะขอตามไปช่วยด้วยอีกคนเลยล่ะ” จำปาว่า
“อยู่ที่นี่ ทำกับข้าวกับปลาอร่อยๆ รอพวกข้ากลับมาดีกว่าจ้ะ” โหนยิ้มเรี่ยราด
“จ้ะ แต่กลับมาครานี้ ก็อย่าสะบักสะบอมกันนักล่ะ ข้าจักได้ทุ่มฝีมือกับอาหาร มิต้องเผื่อไว้ให้กับการปรุงยา”
ทุกคนยิ้มหัวให้กันในบรรยากาศครื้นเครง
เที่ยงเงยหน้ามองตะวัน “สายมากแล้ว พวกข้าคงต้องรีบไปก่อน”
“คุณพระคุณเจ้าคุ้มครองทุกคนนะ” มั่นอำนวยชัย
มะขามมองเหล่กล้าแว่บหนึ่ง ก่อนจะพูดกับนิล “รักษาเนื้อรักษาตัวด้วยนะนิล”
นิลยิ้มแก้มแทบแตก “จ้ะ”
กล้ามองหมั่นไส้ ขึงตาใส่มะขาม แล้วเดินนำออกไปคนแรก เที่ยง นิลและชายฉกรรจ์เดินตามกล้าไป
โหนยิ้มให้จำปา แล้วต้องสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อหันไปเห็นพันแสงกำลังมองมาด้วยสีหน้าเข้มขรึม โหนยิ้มให้พันแสงแล้วรีบจ้ำเดินออกไป
พันแสงหันมามองลูกสาว เมื่อเริ่มสงสัยในท่าทีระหว่างจำปากับโหน
ช่างตีดาบ 2 คน ช่วยกันตีดาบอยู่ มีมั่นยืนคุมอยู่ใกล้ๆ ช่างตีดาบอีกคนเดินเข้ามาสมทบ สีหน้าค่อนข้างตื่นตระหนก
“พี่มั่น เกิดเรื่องใหญ่แล้วพี่” ช่าง3 บอก
“มีเรื่องกระไรรึ”
“เพลานี้พวกทหารพม่ามันกำลังตามล่าตัวพวกไอ้กล้ากันอย่างหนักเลยพี่”
“หนักเยี่ยงไรวะ พูดให้เข้าใจทีซิ”
“ก็ถ้าใครแจ้งเบาะแสพวกไอ้กล้าได้ จักมีบรรณาการตอบแทนให้อย่างงามเลยน่ะสิพี่”
ช่าง 1 เสริมว่า “ที่ว่างามนี่มันงามขนาดไหนวะ”
“ข้าก็คาดคะเนมิถูกดอกว่าจักงามขนาดไหน แต่พวกพม่าต้องการตัวพวกไอ้กล้ามาก ข้าว่าก็มากโขแน่”
ทุกคนต่างนิ่งงันกันไปชั่วขณะ
“คิดเห็นอย่างไรรึพี่มั่น” ช่าง2 ถาม
มั่นยังนิ่ง ไม่แสดงความเห็นอะไร
ช่าง1 ออกความเห็นอีก “แต่ฉันว่าพวกพม่ามันมิยอมลดราวาศอกง่ายๆ แน่พี่มั่น ลองถ้าถึงขั้นมีเครื่องบรรณาการตอบแทนให้เยี่ยงนี้”
ช่าง2 เสริม “นั่นสิ ถ้าเราปกปิดช่วยเหลือพวกไอ้กล้า แลวันหนึ่งทหารพม่าจับได้ เรามิซวยกันหมดรึ”
ช่าง3 สรุป “ถ้าเยี่ยงนั้นเราแจ้งเบาะแสพวกไอ้กล้ามิดีกว่ารึ มิต้องเสี่ยงโดนทัพพม่ามาถล่ม แลยังได้เครื่องบรรณาการตอบแทนอีก”
ทุกคนนิ่งกันไปอีกครั้ง สีหน้าใคร่ครวญครุ่นคิดหนัก
ยามเย็น พันแสงมีสีหน้ายิ้มแย้ม ชื่นชมในตัวมั่นหลังมาเล่าเรื่องที่พวกช่างคุยให้ฟัง สองคนนั่งกินเหล้าคุยกันอยู่บนเรือน
“ดีแล้วที่เอ็งมิคิดไปร่วมมือกับพวกทหารพม่า หมู่บ้านเรามีที่ซ่อนตัวอยู่หลายจุด มิต้องห่วงดอกว่าพวกทหารพม่าจักรู้ได้”
“หากพี่พันแสงมั่นใจว่าจักปกปิดพวกทหารพม่าได้ ข้าก็เบา ใจมากขึ้น”
“เราทุกคนในหมู่บ้านต้องเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ข้าเชื่อว่าเราจักผ่านสถานการณ์ยากลำบากนี้ไปได้”
“จ้ะพี่”
พันแสงรินเหล้าให้มั่น “มาฉลองล่วงหน้าให้กับชัยชนะของพวกครูเที่ยงกันดีกว่า”
“จ้ะพี่”
ทั้งสองยกจอกเหล้าขึ้นดื่ม พันแสงยิ้มแย้มด้วยความเบาใจ ขณะที่มั่นยิ้มไม่เต็มที่นัก ดูออกว่ายังมีความสับสนอยู่ในใจ
อีกฟาก ร่างของเที่ยงลอยข้ามกำแพงมาเป็นคนแรก และตกลงที่กองฟางอย่างปลอดภัย ควายในคอกใกล้ๆ หันมามองงงๆ คนต่อมาคือกล้าลอยข้ามกำแพงมาคนที่สอง มาตกลงที่กองฟางอย่างปลอดภัยเช่นกัน
นิลก็ลอยข้ามกำแพงมาตกลงที่กองฟางอย่างปลอดภัย คนต่อมาเป็นโหนลอยข้ามกำแพง มาตกลงที่กองขี้ควายโหนเงยหน้ามามีขี้ควายติดเต็มหน้า
“ไอ้กล้า ไหนเอ็งเอาหูแนบที่กำแพงแล้วว่าปลอดภัยไง นี่ข้าลงมากลางขี้ควายเลยเห็นไหม” โหนบ่น
“ข้าพูดว่าปลอดคน มิใช่ปลอดขี้ควายเสียเมื่อไหร่” กล้าว่า
“อย่าบ่นนักเลย ประเดี๋ยวพวกทหารพม่าก็แห่กันมาดอก” นิลบอก
“ซวยแท้ จักซวยอะไรอีกไหมนี่” โหนบ่นไม่เลิก
ชายฉกรรจ์ทั้ง 4 ทยอยกันลอยข้ามกำแพงมาทับที่ตัวโหนจนกลิ้งกันไปไม่เป็นท่าทีละคนๆ ในเวลาไล่เลี่ยกัน ทั้งหมดหล่นมาทับร่างโหนติดๆ กัน โหนจุก อ้าปากจะร้องออกมา นิลเห็นเลยรีบเตะของที่อยู่ใกล้ๆ ลอยไปอุดปากโหนพอดี
โหนหยิบของออกจากปาก พอเห็นเห็นขี้ควายแห้งก็ชี้หน้านิลทำท่าจะตะโกนด่า
“ไอ้”
มีทหารอังวะกลุ่มหนึ่งเดินผ่านมา ชายฉกรรจ์รีบอุดปากโหน ก่อนที่จะพากันไปหาที่ซ่อนตัวรวมกับพวกกล้า
โหนยังโวยวายเบาๆ “ไอ้นิล เอ็งเตะขี้ควายเข้าปากข้าหาหอกอะไรวะ”
นิลโวยกลับเบาๆ เช่นกัน “ก็เอ็งอ้าปากจะโวยวาย ข้าก็หาอะไรอุดปากเอ็งก่อนสิ”
“นี่ เอาไว้เถียงกันเพลาอื่นได้ไหม ประเดี๋ยวก็โดนจับได้กันพอดี” เที่ยงปราม
นิลกับโหนเงียบกริบ กล้า นิล โหน เที่ยงและชายฉกรรจ์รอจนทหารพม่าเดินผ่านไป เที่ยงจึงเดินนำทุกคนเป็นแถวเรียงเดี่ยวไปอย่างเงียบๆ
เที่ยง กล้า นิล โหนและชายฉกรรจ์ทั้ง 4 คน เดินแถวเรียงเดี่ยวลัดเลาะมาตามแนวกระท่อมอย่างเงียบเชียบ โดยที่ทหารพม่าที่เดินผ่านไปผ่านมาไม่ไหวตัว
“เราจะไปกันที่ไหนรึครู” โหนถาม
เที่ยงหยุดเดิน ทั้งหมดหยุดตามเพื่อคุยกัน
“ไปที่กระโจมไอ้มังมหานรธาเลย ถ้าฆ่ามันได้คนเดียวทหารคนอื่นก็ขวัญเสียกันหมด”
“คนนี้ข้าขอนะ” นิลบอก
“เออ คำไหนคำนั้นเพื่อน” กล้าพยักหน้า
“ประเดี๋ยวข้าจักนั่งกระดกน้ำจัณฑ์ ดูเอ็งเชือดคอไอ้มังมหานรธาเลย” โหนว่า
“แหม่ พูดถึงน้ำจัณฑ์แล้วมันเปรี้ยวปากขึ้นมาเลย ไปหาน้ำจัณฑ์กลั้วคอสักนิดก่อนปะไร”
“ไว้รอหลังจากข้ากุดหัวไอ้มังมหานรธาก่อนเถิดครู เพลานี้รีบหาตัวมันก่อนเถิด”
ทั้งหมดเดินลัดเลาะไปตามแนวกระท่อมกันต่อ ชายฉกรรจ์ที่อยู่รั้งท้ายทั้ง 4 โดนนักฆ่าลากเข้าไปในกระท่อมอย่างเงียบๆ ทีละคนจนครบทั้งสี่ โดยที่เที่ยง กล้า นิลและโหนไม่ได้ยินเสียง จนมาถึงบ้านพักแม่ทัพใหญ่ จึงรู้ว่าถูกล้อมไว้แล้ว
นิลคำรามลั่นมองไป
“มังมหานรธา”
ทหารอังวะทำท่าจะเข้าไปทำร้ายนิล แต่มังมหานรธายกมือห้ามไว้
นิลกับมังมหานรธาเดินเข้ามาประจันหน้ากัน ทุกคนต่างมองด้วยความรู้สึกประหวั่นพรั่นพรึง คิดว่าจะต้องเป็นการประลองที่ไม่ธรรมดาแน่ๆ
นิลกับมังมหานรธายืนประจันหน้าอยู่ที่กลางสังเวียน กล้า โหน เห็นทหารจะมาช่วยมังมหานรธา เลยออกไปจัดการเที่ยงคอยยืนดูนิล
กล้า โหน จัดการเสร็จกลับมาดูนิลที่ต่อสู้กับมังมหานรธาอย่างถวายชีวิต
ขณะเดียวกันนี้มะขามทำขนมอยู่ในครัว จำปาคอยถามว่า คิดยังไงกับนิลแน่ ชอบนิลจริงๆ หรือ มะขามไม่ยอมตอบ
การต่อสู้ผ่านไปหลายชั่วโมงแล้ว สภาพของนิลสะบักสะบอมหนักมาก ใบหน้าอาบชุ่มไปด้วยเลือด แต่ก็ยังพยายามกัดฟันลุกขึ้น ที่ข้างสังเวียน กล้า โหนและเที่ยงทนเห็นสภาพนิลไม่ไหว ขณะที่ทหารอังวะชูมือเฮลั่น ส่งเสียงให้มังมหานรธาฆ่านิลเสีย
โหนเริ่มทนไม่ไหว “ข้าทนดูต่อไปมิไหวแล้วนะครู”
“ข้าก็เช่นกัน อย่างไรเสียก็ต้องตายกันอยู่แล้ว เข้าไปตายเสียพร้อมกันจักดีกว่า”
พูดจบกล้าก็วิ่งเข้าไปดูอาการนิลในสังเวียนโดยมีโหนวิ่งตามไปติดๆ แต่ก็ถูกมังมหานรธาออกอาวุธใส่ก่อนที่ทั้งคู่จะถึงตัวนิล
ทหารพม่าวิ่งกรูเข้ามา เอามีดจ่อคอกล้าและโหน อีกด้านหนึ่งเที่ยงก็โดนเอามีดจ่อคอไว้เช่นกัน
มังมหานรธายกมือขึ้นห้ามไว้ ว่าอย่าเพิ่งทำอะไร
“ไหนว่าจะตัวต่อตัว นี่จักเข้ามารุมข้าอย่างนั้นรึ”
“ข้าเพียงแต่จักเข้ามาดูอาการเพื่อนข้าก็เท่านั้น” กล้าบอก
นิลพยายามตะเกียกตะกายเพื่อลุกขึ้นยืน แต่ก็ลุกไม่ขึ้นเสียแล้ว
“การประลองนี้เดิมพันด้วยชีวิต ไม่ข้ากับมันจักต้องตายกันไปข้างหนึ่ง”
พร้อมกับว่ามังมหานรธาเดินไปหยิบดาบที่ข้างสังเวียน เตรียมที่จะปิดเกมกับนิล
“หลังจากที่ข้ากุดหัวไอ้นี่แล้ว ต่อไปก็ถึงคราวของพวกเอ็งที่เหลือ”
ทหารอังวะเอามีดจ่อคอกล้ากับโหนไว้ สองคนไม่ได้รู้สึกกลัวตายแม้แต่น้อย
นิลตาปรือ ใกล้หมดเรี่ยวแรงเต็มที ในสายตาอันพร่ามัว มังมหานรธาเดินกวัดแกว่งดาบเข้ามาหาอย่างเลือดเย็น
ภาพของนิลช่วงที่มีความสุขขณะอยู่ที่หมู่บ้านตัวเองกับการตายของชาวบ้านทุกคน เสมือนเป็นกำลังใจและแรงผลักดันให้นิลลุกขึ้นสู้กับมังมหานรธาอีกครั้ง
ที่หมู่บ้านช่างตีดาบเวลาเดียวกัน มะขามนั่งอยู่หน้าหิ้งพระพุทธรูป ก้มกราบสามครั้ง นั่งพนมมือค้างไว้หลับตานิ่งตั้งใจส่งแรงอธิษฐานไปให้ทุกคนปลอดภัย
กล้า โหนและเที่ยงโดนทหารพม่าเอาดาบจ่อคออยู่ ทุกคนมองไปที่นิลด้วยความเป็นห่วง
“พร้อมจะไปอยู่กับญาติพี่น้องเจ้ารึยัง” มังมหานรธาประกาศก้อง
นิลบ้วนเลือดทิ้ง “จะทำอะไรก็ทำ”
นิลเงยหน้ามองมังมหานรธาด้วยพลังชีวิตที่เหลือน้อยเต็มที มีเพียงแววตาที่ยังเคียดแค้นและแข็งกร้าว
“ข้าจะไปรอเจ้าที่ยมโลก”
“ได้กุดหัวคนใจเด็ดเยี่ยงเจ้า นับว่าเป็นเกียรติของข้ายิ่งนัก”
“ไอ้กล้า ไอ้นิล ครูเที่ยง เราคงหมดบุญหมดกรรมกันแต่เพียงเท่านี้แล้ว” นิลกระอักเลือดออกมาอีก
“แม้ความตายจะพรากพวกเราจากกัน แต่ความเป็นเพื่อนของเราจักคงอยู่เป็นนิรันดร์ ไอ้นิลเอ้ย” กล้าบอก
โหนน้ำตาซึม “ใช่ ความตายพรากชีวิตเราให้ต้องจากกันแต่มิอาจพรากความเป็นเพื่อนของเราได้แน่นอน”
เที่ยงมองไปที่กลางสังเวียน น้ำตาลูกผู้ชายไหลลงมาอาบแก้ม
“เป็นเกียรติยิ่งนัก ที่ได้ร่วมสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับพวกเจ้า”
นิลหันไปยิ้มบางๆ ให้กล้า โหนและครูเที่ยง ทั้งที่ร่างกายบอบช้ำเลือดโทรมกาย และพลังชีวิตที่เหลือน้อยเต็มที
“ร่ำลากันพอสมควรแล้วกระมัง มีอะไรเอาไว้ไปคุยกันต่อที่ยมโลกเถิด”
มังมหานรธากวัดแกว่งดาบอย่างเหี้ยมโหดเลือดเย็น นิลหลับตาอย่างยอมรับสภาพ
ภาพมะขามและนิลในช่วงเวลาที่ได้อยู่ด้วยกัน กลายเป็นแรงผลักดันให้นิลจะต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป แรงฮึดพลังสุดท้ายในชีวิตนี้เอง ทำให้นิลส่งมังมหานรธาไปพบยมบาล แก้แค้นให้บรรดาพี่น้องในหมู่บ้านของเขาได้สำเร็จ ทุกคนโล่งใจ ประคองกันออกจากค่ายโดยไว
ฝ่ายมะเมียะนั่งร้อยมาลัยอยู่คนเดียว กระทั่งมังจาเลจะเดินเข้ามาด้วยสีหน้าครุ่นคิดหนัก
“ดูทำหน้าเข้า พี่ข้าเป็นอะไรมาอีกรึ”
“ข้ากำลังคิดหาทางออกให้กับตัวเองอยู่น่ะ”
“เรื่องพวกกล้าใช่รึไม่”
มังจาเลพยักหน้าเครียดๆ “บางทีข้าก็อยากไปใช้ชีวิตเยี่ยงสามัญชนธรรมดานะ จักได้มิต้องมีความรับผิดชอบมากมายใหญ่โตเยี่ยงนี้”
เฟื่องฟ้าเดินถือพานดอกไม้เข้ามา ได้ยินมังจาเลคุยอยู่กับมะเมียะ จึงหยุดฟัง
“เรื่องนี้ข้าก็รู้สึกมิต่างจากท่านพี่ คนกลางอย่างเราจะหันไปทางไหน ก็มีแต่ลำบากใจ”
“นับวันเส้นทางของพวกกล้ากับทกยอก็ยิ่งจะมาบรรจบพบกันเต็มที ข้ามิรู้ว่าถึงวันนั้นแล้วข้าจะวางตัวเช่นไร”
“รึมันอาจถึงเวลาแล้ว ที่ท่านพี่จักต้องเลือกระหว่างหน้าที่กับหัวใจ”
เฟื่องฟ้าอึ้งนิ่งงันไป ลุ้นว่ามังจาเลจะตอบอย่างไร
“ถ้าเป็นไปได้ ข้าก็อยากใช้ชีวิตอย่างคนธรรมดากับคนที่ข้ารัก”
“เฟื่องฟ้ารึ” มะเมียะถาม
“ใช่”
เฟื่องฟ้าได้ยินดังนั้นก็ยิ้มบางๆ ออกมา เริ่มคิดจะเปิดใจให้กับมังจาเลมากขึ้น
กล้ากับโหนประคองร่างนิลที่บอบช้ำหนักเข้ามาในหมู่บ้าน ชาวบ้านพากันเดินมารับ ก่อนที่จำปา มะขามและพันแสงพากันวิ่งเข้ามา หลังจากรู้ว่าพวกกล้ามาถึงแล้ว
“นิล เหตุใดเจ้าจึงบอบช้ำเยี่ยงนี้” มะขามตกใจกับสภาพของนิล
“ข้ามิเป็นอะไรมากดอก” นิลถาม
“ขนาดนี้แล้วยังจะว่าไม่เป็นไรอีกรึ” มะขามเอ็ด
“มะขาม ช่วยพานิลไปรักษาตัวก่อนเถิด ประเดี๋ยวพวกข้าตามไป” เที่ยงบอก
“มา ข้าช่วยอีกแรง”
มะขามกับจำปาช่วยกันประคองนิลไปรักษาตัว สวนกับมั่นที่เดินเข้ามาพอดี
พันแสงมองหาชายฉกรรจ์ทั้ง4คนที่ส่งไปช่วย
พันแสงแล้วคนของข้าล่ะ
กล้ากับโหนมองหน้ากัน ไม่รู้จะบอกกับพันแสงอย่างไรดี
“ข้าเสียใจด้วยจริงๆ” เที่ยงเป็นคนบอก
ชาวบ้านที่ร่วมฟังอยู่ด้วยก็พากันอึ้ง บ้างก็ร้องไห้เพราะเป็นคนในครอบครัว
พันแสงปลอบลูกบ้าน “เอาเถิด อย่างน้อยพวกมันก็ได้ตายเพื่อปกป้องแผ่นดินเกิดนะ”
“อภัยให้พวกข้าด้วย พวกข้าทำกันดีที่สุดแล้วจริงๆ” กล้าว่า
“ใช่ ถ้าจักให้ข้าทำการใดเป็นการไถ่โทษ พวกข้าก็ยินดี” โหนบอก
หญิง1 ร้องไห้โฮ “ช่างเถิด ผัวข้ามันชายชาตินักรบ ได้สละชีวิตเพื่อแผ่นดินเยี่ยงนี้ นับว่าเป็นเกียรติของมันแล้วล่ะ”
ชาวบ้านยังคงร้องไห้เสียใจ กล้า โหนและเที่ยงรู้สึกผิดและเสียใจด้วย มั่นมองภาพตรงหน้า ชักเริ่มลังเลว่าจะช่วยพวกกล้าต่อไปดีหรือไม่
เรื่องรู้ไปถึงค่ายทกยอในเวลาไม่นาน มังคยอจินพูดด้วยน้ำเสียงกราดเกรี้ยว
“แค่ชาวบ้านกลุ่มเล็กๆ เหตุใดจึงยังจับตัวมันมิได้วะ”
ทกยอกับอาละแมนั่งอยู่ด้วย หน้าเครียดพอๆ กับมังคยอจิน
“เพลานี้กรุงศรีก็แตกแล้ว แลจักยังมาขุ่นข้องหมองใจกับชาวบ้านกลุ่มเล็กๆ กลุ่มนี้ไปเพื่อกระไรเล่าท่านพี่”
“แลถ้าเกิดภายภาคหน้ามันรวมตัวกันเป็นกลุ่มใหญ่ได้เล่า วันพรุ่งข้าจักกลับหงสา หวังว่าจักข่าวดีทูลท่านพ่อนะ”
“ไอ้พวกชาวบ้านกลุ่มนี้มันจักต้องมีคนคอยช่วยเหลือ แลให้ที่หลบซ่อน เราต้องง้างปากไอ้พวกนี้ให้เปิดเผยเบาะแสของชาวบ้านกลุ่มนี้ให้ได้” อาละแมเสนอความคิด
“เจ้าจักทำเยี่ยงไร” ทกยอสงสัย
“แมงเม่าบินเข้ากองไฟ”
อาละแมยิ้มร้ายกาจ ทกยอยิ้มตาม สองผัวเมียมองหน้า รู้ใจกันว่าต่อไปจะจัดการมังคยอจิน
อีกด้านหนึ่ง มะขามประคองให้นิลเอนตัวลงนอน หลังจากทำแผลให้เสร็จ มีผ้าพันแผลหลายจุดบนตัวนิล
“นอนนิ่งๆ ก่อนนะ แผลจักได้มิระบม”
“ข้าดีขึ้นมากแล้ว ให้วิ่งตอนนี้ก็ยังไหว”
“ยังจะมาปากเก่งอีก หนักขนาดนี้รอดมาได้ก็บุญโขแล้ว”
นิลจ้องหน้ามองมะขามซึ้งๆ
“เอ็งรู้ไหม ว่าข้ารอดกลับมาได้เยี่ยงไร”
กล้ากำลังจะเดินเข้าที่ห้องพักพอดี ได้ยินทั้งสองคุยกันจึงหยุดฟัง
“ก็ฝีมือเอ็งดีอย่างไรล่ะ”
“เปล่าเลย จริงๆ แล้วข้าเกือบตายไปแล้วเสียด้วยซ้ำ แต่เพราะภาพญาติพี่น้องผู้ล่วงลับของข้า แลภาพช่วงเวลาที่ข้าได้อยู่กับเอ็ง ข้าจึงมีแรงลุกขึ้นสู้อีกครา”
มะขามอึ้งไป รู้สึกว่านิลถลำลึกมาไกลมากแล้ว กล้าก็อึ้งไปอีกคน
“เอ็งทำให้ข้ารู้ว่า ข้าจักต้องมีชีวิตอยู่เพื่อใครนะมะขาม”
มะขามอึกอัก อ้ำอึ้ง “เอ่อ”
กล้ายังคงอึ้งอยู่ จนจำปาเดินถือหม้อยานิลเข้ามาเห็นจึงร้องทัก
“มายืนทำกระไรอยู่รึพี่กล้า”
มะขามกับนิลหันมองมาที่กล้าพร้อมกัน กล้ารีบทำทีเหมือนเพิ่งเดินเข้ามา
“เปล่านี่ ข้าก็เพิ่งจะเดินเข้ามาเหมือนกัน”
จำปามองเห็นแผลกล้า “นี่พี่กล้ายังมิได้ทำแผลอีกรึ”
มะขามหันมองด้วยความเป็นห่วง ขณะที่กล้าก็อ้ำอึ้ง อารมณ์ยังงอนมะขาม
“มา ประเดี๋ยวข้าทำแผลให้”
กล้าน้อยใจอยู่รีบปฏิเสธ “มิต้องดอก แผลแค่นี้ข้าดูแลตัวเองได้”
“ก็ตามใจ เก่งนักก็ดูแลตัวเองไป”
มะขามหมั่นไส้เดินสะบัดออกไปอย่างมีอารมณ์ ชนกับโหนที่เดินสวนเข้ามา
“เฮ้ย อะไรของเอ็งวะเนี่ยมะขาม คนยิ่งช้ำในอยู่ ชนโครมเข้ามาได้”
จำปาบอกกับนิลว่า “ประเดี๋ยวข้าป้อนยาให้นะ”
“จ้ะ ช่วยไปดูเพื่อนข้าก่อนเถิด ประเดี๋ยวมันจะตายเสีย” นิลหมายถึงโหน
“อ้าว ปากเสียแล้วไอ้นี่ ข้ามิตายง่ายๆ ดอกโว้ย” โหนด่า
จำปาวางหม้อยาลงข้างๆ นิล แล้วเข้าไปประคองโหนพาไปนั่งและดูอาการ กล้ามองท่าทีระหว่างจำปากับโหน ก่อนจะมองออกไปข้างนอก คาใจความรู้สึกของมะขามมากกว่า
มั่นอยู่ในโรงตีดาบสีหน้าครุ่นคิดหนักอก มีเสียงเกลี้ยกล่อมของบรรดาช่างตีดาบดังขึ้นมา
“ดูเอาเถิดพี่มั่น ไอ้นิลสะบักสะบอมกลับมาเยี่ยงนี้ แลคนของเราก็ล้มตายกันให้เห็นแล้ว คราต่อไปมันจักเอาชนะพวกพม่าได้อีกรึ” ช่าง1ว่า
ทุกคนนั่งหน้าเครียดเหมือนๆกัน
ช่าง2 เสริมว่า “ข้าว่าเรากำลังสนับสนุนให้พวกไอ้กล้าไปตีรังต่อรังแตนนะพี่มั่น แลหากมันไปเจอรังใหญ่ จนต้องหนีหัวซุกหัวซุนกลับมาเราทุกคนที่นี่จักซวยเอา”
“ข้าว่าแจ้งข่าวให้พวกพม่ารู้จักดีกว่า ทุกคนที่นี่จักได้ปลอดภัย แลยังได้บรรณาการตอบแทนอีกต่างหาก” ช่าง3 บอก
“เอาละ ข้าขอคิดเงียบๆ คนเดียวสักครู่เถิดวะ” มั่นตัดบท
ช่างตีดาบค่อยๆลุกเดินออกไป มั่นมีสีหน้าครุ่นคิดหนัก เริ่มลังเลมากขึ้น
ฝ่ายโหนนั่งมองแผลตัวเองที่จำปาทำให้ด้วยความรู้สึกดี กล้าเดินเข้ามาหยุดมองดูท่าที ซึ่งก่อนหน้าก็สงสัยในท่าทีระหว่างโหนกับจำปาอยู่
“คนกระไรวะ นั่งดูแผลตัวเองแลยิ้มได้เยี่ยงนี้”
โหนสะดุ้ง หันไปเจอกล้าก่อนจะยิ้มกลบเกลื่อน และเปลี่ยนประเด็นคุย
“ไอ้นิลเป็นเยี่ยงไรบ้างวะ”
“จำปาดูแลเอายาให้อยู่”
“ดี จักได้ออกไปลุยกันต่อ ข้านี้กำลังมันมือเลยว่ะ”
โหนมีสีหน้าฮึกเหิม ท่าทางกระปรี้กระเปร่า อยากจะออกศึกเต็มแก่
กล้าถามขึ้นว่า “ไอ้โหน เอ็งคิดเยี่ยงไรกับจำปา”
จำปากำลังจะกลับเรือน พอได้ยินโหนกับกล้าพูดถึงตัวเองจึงหันไปมองฉากหลบแอบฟัง
โหนหน้าเจื่อน “อยู่ดีๆ มาถามข้าเยี่ยงนี้ด้วยเหตุใดวะ”
“ข้าอยากรู้น่ะ ตอบมา ว่าคิดเยี่ยงไรกับจำปา”
โหนอึกอัก “เอ่อ”
จำปาลุ้นว่าโหนจะตอบกล้าว่าอย่างไร
“เอ่อ อ่าอยู่นั่นล่ะ ตอบมาเร็วเข้า”
“ข้า…”
จำปาลุ้นจัดในคำตอบของโหน
“นี่เอ็งชอบจำปาใช่ไหม”
โหนปากแข็ง “จะบ้ารึ ชอบเชิบกระไรกันล่ะ”
จำปาแอบฟังอยู่รู้สึกผิดหวัง เดินหน้าเศร้าจากไปเงียบๆ
“เอ็งกล้าสาบานไหมล่ะ”
โหนอึ้งนิด ไม่วายแถส่งๆ “เออ สาบานให้ฟ้าผ่าเอ็งเลย”
กล้าเคลิ้มในนาทีแรก “เออ” จนนึกได้ “ไอ้บ้า ต้องผ่ากลางหัวเอ็งสิวะ”
โหนหน้าเจื่อน อึกอักใหญ่ ต่อรอง “ต้องถึงขั้นสาบานเลยเหรอวะ”
“อาการเยี่ยงนี้ ข้าว่าเอ็งชอบจำปาแล้วล่ะ”
โหนคอตกไม่รู้จะหาอะไรมาแก้ตัว
“เออ ก็ตั้งแต่หนีตายกันมา จำปาก็เป็นคนแรกที่ทำให้ข้ารู้สึกดี เหมือนตอนได้อยู่กับเอื้อย”
“นี่พี่ข้าเพิ่งจากไปไม่นาน เอ็งก็ลืมพี่ข้าแล้วรึ” กล้าถาม
“ข้าไม่เคยลืมเอื้อยนะไอ้กล้า เอื้อยยังอยู่ในใจข้าตลอดเวลา”
“ไอ้คนสองใจ บอกว่าพี่ข้ายังอยู่ในใจ แต่ก็ยังไปรักกับคนอื่น เอ็งนี่มันชั่วจริงๆ”
กล้าโวยวายดังลั่น แล้วลุกเดินออกไปอย่างมีอารมณ์
“อ้าว ฟังข้าก่อนสิไอ้กล้า กระไรวะ โกรธกันขนาดนี้เชียวรึ”
โหนเครียด ไม่คิดว่ากล้าจะโกรธแทนเอื้อยขนาดนี้
ฝ่ายจำปานั่งเหม่ออยู่คนเดียวด้วยความผิดหวัง หลังจากได้ยินโหนยืนยันกับกล้าว่าไม่ได้ชอบตน
“นี่เอ็งชอบจำปาใช่ไหม”
“จะบ้ารึ ชอบเชิบอะไรกันล่ะ”
จำปาน้ำตาซึมด้วยความน้อยใจ และเสียใจ พันแสงเดินเข้ามาหา จำปาได้ยินเสียงรีบปาดเช็ดน้ำตาทิ้ง
“นั่นเอ็งร้องไห้รึ”
“เปล่าจ้ะพ่อ แมลงมันบินเข้าตาจำปาน่ะ”
“เอ็งเป็นอะไรรึเปล่า ทำไมหน้าตาดูไม่สดใสเอาเสียเลย”
“สงสัยจะไม่สบายน่ะจ้ะ จำปาขอตัวไปนอนพักก่อนนะจ๊ะ”
จำปารีบก้มหน้าหลบเข้าบ้านไป พันแสงมองตาม แต่ก็ยังไม่สงสัยอะไรมาก
คืนนี้ กล้านั่งดูอาการนิลอยู่ ขณะที่เที่ยงนั่งกระดกเหล้าจากไหอยู่ใกล้ๆ โหนเปิดประตูเข้ามา กล้า นิล และเที่ยงทำเป็นไม่สนใจ
“ข้างนอกอากาศดีเสียจริง น่าจะเอาเหล้าออกไปกินฉลองชัยชนะกันสักหน่อยนะ”
ทุกคนแกล้งทำเป็นไม่ได้ยินที่โหนพูด โหนเลยหันไปคุยกับเที่ยง
“ครู ออกไปกินข้างนอกดีกว่า อากาศดีกว่าในนี้เป็นไหนๆ”
เที่ยงกระดกเหล้าไม่สนใจโหนแม้แต่จะมอง โหนอึ้งและเริ่มเสียความรู้สึก
“เอ็งเป็นอย่างไรบ้างวะไอ้นิล”
นิลหลับตา ไม่สนใจจะพูดกับโหน เช่นเดียวกับกล้าที่ก็เมินหน้าหนี จนโหนหน้าเสียรู้สึกแย่มาก
“เฮ้ย โกรธเกลียดกันเรื่องอะไรก็พูดคุยกันตรงๆได้ไหม มิใช่มาทำหมางเมินกันเยี่ยงนี้”
“พวกข้ามิอยากพูดกับคนสองใจ” เที่ยงว่า
“เออ วันนี้พี่ข้าคงดีใจยิ่งนัก ที่ตายไปมิทันไร คนรักก็ไปหาหญิงใหม่เสียแล้ว” กล้าผสมโรง
“ข้ามิเคยหมดรักเอื้อย ถึงวันนี้ข้าก็ยังรัก”
“นั่นประไร ยอมรับแล้วว่ายังรักนังเอื้อย แต่ก็ไปรักกับจำปาอีกคนหนึ่ง” นิลว่า
“ฟังให้จบก่อนสิวะ เอื้อยข้ายังรักเสมอก็จริง แต่เราอยู่คนละภพกันแล้ว ข้าก็ขอรักอยู่ในใจลึกๆ มันผิดด้วยรึ”
“แล้วจำปาล่ะ รักอยู่นอกใจเอ็งอย่างนั้นรึ” เที่ยงจ้องหน้าถาม
“มิใช่เยี่ยงนั้นครู จำปาข้าก็รักในใจลึกๆ เช่นกัน แต่คนที่ตายไปแล้ว ทำดีที่สุดก็ได้เพียงนึกถึงกัน แต่คนเป็นนี่สิ จักคอยช่วยดูแลกันยามแก่เฒ่า ครูว่าจริงไหม” โหนจำนรรจา
กล้า นิล และเที่ยงมองหน้ากันอึ้งๆ ที่โหนพูดได้ดีมีสาระก็เป็น
“แต่ถ้าเรื่องจำปาทำให้ทุกคนหมางเมินข้าถึงเพียงนี้ ประเดี๋ยวข้าไปบอกจำปาว่าให้เลิกยุ่งกับข้าเสียตอนนี้เลยก็ได้”
โหนทำท่าจะเดินออกไป เที่ยง กล้าและนิลมองหน้ากันเหรอหรา ก่อนที่กล้าจะรีบลุกไปขวางไว้
“อุปสรรคแค่นี้ เอ็งถึงขนาดจะทิ้งจำปาไปเชียวรึ”
“อุปสรรคแค่นี้ที่ไหน ทั้งเอ็งกับไอ้นิล รวมถึงครูต่อต้านข้าถึงเพียงนี้ มันไม่ใช่เรื่องเล็กๆ แล้วนะ”
“พวกข้าก็เพียงอยากรู้ว่า เอ็งจะหนักแน่นกับจำปามากเพียงใด”
“ใช่ เพราะถ้าเอ็งทำจำปาเสียใจ แล้วพันแสงมาเอาเรื่อง พวกข้าจักได้มิยุ่งเกี่ยวด้วย”
โหนมองหน้าทุกคน ท่าทีงุนงง “นี่หมายความว่า…”
เที่ยงขำ กล้า และ นิล หลุดหัวเราะออกมา
“นี่แกล้งข้ากันรึนี่”
“เออ ไอ้โหนพลังช้าง โดนแกล้งเข้าหน่อย หน้าเหวอเป็นลูกหมาเลยว่ะ ฮ่าๆๆๆ”
“ไอ้กล้ามึง”
โหนไล่เตะกล้า กล้าก็วิ่งหลบ เป็นที่สนุกสนานครื้นเครง
มะขามช่วยป้อนยาให้นิลอยู่สองคนในห้องพัก เสร็จแล้วก็ประคองลงนอน แต่นิลไม่ยอมนอนและขยับตัวนั่งแบบเอนหลังแทน
“ข้านอนมาทั้งวันแล้ว ขอนั่งบ้างเถิดนะ”
“อาการเจ้าดีขึ้นมากเลยนะ”
นิลยิ้มชื่น “ก็เป็นเพราะเจ้านั่นล่ะ ที่ดูแลข้าและเป็นกำลังใจอย่างดี ทำให้ข้าดีวันดีคืนเยี่ยงนี้”
มะขามอึดอัดใจคิดจะเปิดอกคุยกับนิลให้รู้เรื่อง
“นิล ข้ามีเรื่องสำคัญจะคุยกับเจ้าน่ะ”
นิลยิ้มดีใจ คิดว่าเป็นเรื่องดีแน่ “เรื่องอะไรรึ”
มะขามยิ่งกดดันหนัก เมื่อเห็นนิลมีท่าทีดีใจแบบนี้ แต่ก็ต้องตัดใจพูดเสียให้รู้เรื่อง
“นิล คือจริงๆ แล้วข้ามิได้...”
มะขามไม่ทันพูดจบ กล้าก็เดินกลับเข้ามาขัดจังหวะพอดี มะขามกับนิลต่างหันไปมอง กล้าฮึดฮัดออกอาการหึงหวงโดยไม่รู้ตัว
“นี่ข้ามาขัดจังหวะเจ้าสองคนรึเปล่า”
“ขัดจังหวะอะไร พูดให้ดีๆ นะ”
“ช่างเถิด คุยกันต่อก็แล้วกัน ข้าไม่กวนล่ะ”
กล้างอนเดินออกไปดื้อๆ มะขามหัวเสีย เลยลุกตามออกไป นิลมองตามสองคนด้วยความรู้สึกรับรู้ได้ถึงเยื่อใยบางอย่างที่ทั้งคู่มีให้กัน
กล้าเดินหัวเสียออกมาจากที่พัก มะขามเดินตามออกมาอย่างมีอารมณ์เช่นกัน
“ทำไมต้องพูดจาหาเรื่องข้าตลอด สนุกนักรึ”
กล้าหยุดเดินและหันไปหามะขามอย่างมีอารมณ์
“แล้วท่าทีข้าดูสนุกรึ”
“จะไปรู้เจ้ารึ ก็เห็นชอบพูดจาไม่เข้าหูข้าอยู่เรื่อย คงอยากให้ข้าโมโหจนอกแตกตายกระมัง”
“ว่าแต่ข้า เจ้าไม่เคยทำเลยว่ากระนั้น” กล้าโมโหหึงเรื่องนิลนั่นเอง
“ข้าทำกระไร”
สองคนไม่ทันเห็นว่านิลเดินออกมาดูห่างๆ
“พูดมาสิ ว่าข้าทำกระไร”
กล้ามองสร้อยที่เขาซื้อให้มะขาม พยายามข่มอารมณ์ให้เย็นลง หลังจากรู้ตัวว่าพูดใส่อารมณ์ออกไป
“ถามจริงนะ ที่เจ้าทำตัวสนิทสนมกับนิล เจ้ามีใจให้นิลจริงรึ”
มะขามอึ้งไป นิลก็อึ้งเช่นกัน ลุ้นว่ามะขามจะตอบว่าอย่างไร
มะขามไม่รู้จะตอบยังไง เลยจะถอดสร้อยคืน กล้ารีบจับมือไว้
“เจ้าจักทำกระไร”
“ก็ถอดคืนเจ้าน่ะสิ”
“สร้อยเส้นนี้ข้าตั้งใจซื้อให้เจ้านะ”
นิลรู้ความจริงถึงกับอึ้ง รู้สึกสะเทือนใจอยู่ข้างในลึกๆ
“ก็คนซื้อให้มิเคยใส่ใจ จักสนใจไปใย เอาไปให้เฟื่องฟ้าใส่เถิด”
“อ้อ นี่งอนข้าเรื่องนี้นี่เองรึ”
“ก็เห็นพูดถึงกัน เป็นห่วงกันอยู่เรื่อยนี่”
กล้าจ้องตามะขาม “เจ้าฟังข้านะ ข้ามิได้คิดกับเฟื่องฟ้าฉันชู้สาวอีกแล้ว ที่ยังพูดถึงอยู่ก็ด้วยความเป็นห่วง เพราะเฟื่องฟ้าต้องไปอยู่ท่ามกลางศัตรู มิรู้ว่าจักมีชะตากรรมเยี่ยงไรบ้าง”
“เพียงเท่านี้จริงรึ”
“หากข้าพูดปดไปจากนี้ ก็ขอให้...”
มะขามเอานิ้วแตะปากกล้าไว้
“อย่าสาบาน ข้าเชื่อเจ้าก็ได้”
นิลยืนอึ้งอยู่ที่เดิม เหมือนโลกถล่มอยู่ตรงหน้า ได้แต่ยืนน้ำตาตกใน มองกล้ากับมะขามยืนจ้องตายิ้มให้กันด้วยหัวใจสลาย
อ่านต่อตอนที่ 18