xs
xsm
sm
md
lg

เชลยศึก ตอนที่ 15

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


เชลยศึก ตอนที่ 15

ในขณะที่พันแสงนั่งพักผ่อนอยู่ตรงนอกชานรับแขกบนเรือน กล้า นิล โหนเดินเข้ามานั่งด้วย พันแสงเหลียวหาเที่ยง

“อ้าว แล้วคนที่เพิ่งมาถึงไปไหนเสียล่ะ”
“ครูขอตัวไปอาบน้ำ บอกว่าประเดี๋ยวจะมาคุยด้วยจ้ะ” โหนบอก
“มีเรื่องกระไรจักคุยกับข้ากระนั้นรึ”
กล้า นิลและโหนมองหน้ากันเอง เชิงถามว่าใครจะเป็นคนพูด สุดท้ายกล้าจะเป็นคนพูดกับพันแสง
“ก็เรื่องว่าจักขออาศัยอยู่ที่หมู่บ้านนี้ไปก่อนสักระยะน่ะจ้ะ”
พันแสงถอนใจเฮือก สีหน้าเครียดขึ้นมาทันที เพราะรู้ดีว่าชาวบ้านคงไม่ยอมแน่ๆ
“ข้าเองก็มิใช่คนแล้งน้ำใจกระไรหรอกนะ แต่เรื่องมันบานปลายจนทหารพม่าบาดเจ็บล้มตายเยี่ยงนี้ ข้ากลัวว่าพวกชาวบ้านจะไม่ยอมน่ะสิ”
“แต่ครูเที่ยงเป็นครูมวยมากฝีมือนะท่าน ที่พวกข้ามีฝีมือกันเยี่ยงนี้ ก็เพราะครูเที่ยงนี่ล่ะ” โหนว่า
“จ้ะ มิใช่แค่เชิงมวย แต่ครูยังจัดเจนด้านการศึกยิ่งนัก” กล้าบอก
พันแสงนิ่งนึก “แลดูพวกเจ้าเชื่อมั่นในตัวครูคนนี้มากเลยนะ”
“ครูเป็นหนึ่งในทหารจาตุรงคบาตรจ้ะ แลยังเป็นราชองครักษ์ของเจ้าฟ้าอุทุมพรอีกด้วย” นิลบอก
พันแสงฟังแล้วทึ่ง “จริงรึ”
“จริงจ้ะ เพราะเหตุนี้พวกข้าถึงเชื่อมั่นมาก ว่าถ้าได้ครูมาอยู่ ที่นี่ แลได้ฝึกฝนชาวบ้าน หมู่บ้านนี้จักต้องเข้มแข็งในเร็ววัน”
ฟังกล้าและพวกการันตี พันแสงนิ่งไปเริ่มคล้อยตาม

สักครู่หนึ่งเที่ยงก็เดินถือไหเหล้าเมาเข้ามาสมทบ
“บ๊ะ เหล้าที่นี่รสชาติถูกปากข้ายิ่งนัก” เที่ยงถามพันแสงว่า “สักหน่อยไหมท่านพันแสง”
“เอาเถิดพ่อ ตะวันแผดแดดจ้าขนาดนี้ เห็นทีคงจะมิไหว”
“ถ้าอย่างนั้นหมดไหนี้ ข้าขอเดินชมการตีดาบของหมู่บ้านท่านสักหน่อยนะ”
เที่ยงกระดกเหล้าอย่างออกรสชาติ พันแสงมองเที่ยงด้วยสีหน้าเสื่อมศรัทธาลงไปในบัดดล พูดเบาๆกับกล้า นิลและโหนเชิงตำหนิว่า
“นี่น่ะรึ ยอดนักรบที่พวกเจ้าเล่าให้ข้าฟังเมื่อครู่”
“ครูดื่มแบบนี้อยู่แล้วจ้ะ ไม่ต้องแปลกใจ” โหนว่า
พันแสงอึ้งไป “เหรอ”
โหนยิ้มแฉ่ง “จ้า”
พันแสงยังคงมองจ้องเที่ยงที่ดื่มหนัก สีหน้าดูแคลน พวกกล้า นิลและโหนพากันยิ้มเจื่อนๆ เพราะทุกอย่างเกือบจะดีอยู่แล้วเชียว

มั่นคุมชาวบ้านที่กำลังตีดาบอย่างเข้มงวด ขณะพันแสงเดินนำกล้า นิล โหนและเที่ยงที่ยังถือไหเหล้ากระดกดื่มตลอดทาง มายังบริเวณที่ตีดาบ
กล้ากระซิบเที่ยง “เพลาๆ หน่อยเถิดครู พวกข้าคุยกันไว้เยอะ ว่าครูเก่งขนาดไหน แต่ครูเมาแบบนี้ ที่คุยไว้เสียหมดเลย”
“ไม่เมา ถ้าข้าเมา ข้าจะเดินตรงแบบนี้รึ” ว่าแล้วเที่ยงก็เดินตุปัดตุเป๋ไปดูดาบที่ถูกตีกองรวมกันไว้ “ดาบพวกนี้น่ะรึ ที่ท่านตีส่งให้กับพวกทหารพม่า”
มั่นและชายฉกรรจ์ชาวบ้านที่ตีดาบอยู่หยุดกึก แล้วหันมามองเที่ยงเป็นตาเดียวอย่างไม่พอใจ เช่นเดียวกับพันแสง ที่หันมามองเที่ยงอย่างมีอารมณ์
“พวกท่านตีดาบได้มากขนาดนี้ น่าเสียดายนะ ที่ไม่ลุกขึ้นสู้” เที่ยงว่าอีกดอก
“สู้รึ เดินให้รอดก่อนดีไหมพ่อ”
มั่นหัวเราะเยาะเที่ยง พรรคพวกคนตีดาบพากันหัวเราะตาม โหนเห็นคนมาหยามเที่ยงก็ของขึ้นแทน
“ครูข้าเป็นถึงทหารจาตุรงคบาตร แลยังเป็นราชองครักษ์พวกท่านควรจะให้เกียรติครูข้าบ้าง”
ชาย1 หัวเราะเยาะ “ขี้เมาแบบนี้ ถ้าเป็นทหารจาตุรงคบาตร ก็คงมิวายโดนช้างเหยียบไส้แตกล่ะวะ”
โหน ยัวะ “ถ้าอย่างนั้นมาประลองกันดูไหมล่ะ คัดคนมีฝีมือดีที่สุดในหมู่บ้านนี้มาสามคน แล้วมาสู้กับครูข้าคนเดียว”
เที่ยงเหลียวขวับไปมองโหน รู้ตัวดีว่าตัวเองไหว แต่แกล้งหลอกทำเป็นเมาให้พันแสงและพวกตายใจ
พันแสงเยาะ “สามรุมหนึ่ง ในสภาพที่ครูเจ้าเมาอย่างนี้น่ะรึ”
“ใช่ ถ้าครูข้าแพ้ ข้าและคนของข้าจะยอมออกไปจากหมู่ บ้านนี้ แต่หากครูข้าชนะ ข้ากับคนของข้าจะต้องได้อยู่ที่นี่ต่อไป ตกลงรึไม่” โหนประกาศก้อง”
มั่นย่ามใจ หันไปมองกลุ่มชาวบ้านพากันยิ้มกริ่ม มั่นใจว่าเอาชนะเที่ยงได้แน่นอน มีเพียงพันแสงที่มองเที่ยงอย่างพิเคราะห์ ยิ่งโหนกล้าท้าแบบนี้ ก็น่าจะมีดีอยู่ไม่น้อย ขณะที่กล้า โหน และนิลแอบยิ้มให้กัน เพราะรู้มือเที่ยงกันอยู่แล้ว

ลานกว้างในละแวกนั้นถูกเคลียร์พื้นที่เป็นสนามประลอง มั่นเดินนำนักมวย 3 คน ออกมายืนรออยู่ที่กลางสังเวียน แต่ละคนรูปร่างกำยำล่ำสัน
จำปากับมะขามรู้ข่าว พากันแหวกกลุ่มชาวบ้านมาดูการประลองใกล้ๆ กับกล้า นิลและโหน จำปายิ้มให้โหนและยืนใกล้ๆ กัน ส่วนมะขามมองค้อนกล้าอย่างหมั่นไส้ไม่คลาย แล้วขยับไปยืนข้างนิลที่เพียงยิ้มทักนิดๆ ไม่แสดงอาการอะไรมาก
เที่ยงเดินกระดกเหล้าในไหออกมากลางลานประลอง ก่อนจะโยนไหลอยมาที่โหน โหนรับไว้ติดมือก่อนจะกระดกกิน แต่เหล้าหมดไหแล้ว
“โห่ครู เหลือให้สักนิดก็มิได้”
เที่ยงเดินไปประจันหน้ากับสามนักมวยตัวแทนของหมู่บ้านช่างตีดาบ
มั่นแค่นยิ้มหยัน “ไหวนะพ่อ”
เที่ยงยิ้มตอบ ไม่พูดอะไร
มั่นหัวเราะและเดินออกจากสังเวียนไป
ชาวบ้านเอากะลาที่เจาะรูตรงก้นชูขึ้น พันแสงหันไปมองและพยักหน้าส่งสัญญาณให้หย่อนกะลาลงภาชนะใส่น้ำ แล้วประกาศก้อง
“เริ่มการประลอง”
สามนักมวยปรี่เข้าหาเที่ยงอย่างไม่ออมมือ และประมาทเพราะคิดว่าเที่ยงเมา ก็เลยเจอสารพัดอาวุธของเที่ยงตอกหน้าหงายออกไป
กล้า นิลและโหนส่งเสียงเฮลั่นด้วยความสะใจ ขณะที่พันแสงกับมั่นมองหน้าอึ้งๆ ต่างรู้สึกทึ่งในฝีมือเที่ยง
อดีตราชองครักษ์สู้กับสามนักมวยด้วยสารพัดกระบวนท่าที่สวยงาม จนในที่สุดสามนักมวยก็ลงไปนอนแอ้งแม้งอยู่กับพื้น
กล้า นิลและโหนกรูเข้าไปอุ้มเที่ยงที่ชูมือประกาศชัยชนะ พันแสงกับมั่นเดินเข้าไปหาเที่ยงด้วยสีหน้าที่ยังทึ่งในความสามารถของเที่ยง
“เชิงมวยของท่านสวยงามและหนักหน่วงยิ่งนัก เป็นบุญตาข้ายิ่งนักที่ได้เห็น”
เที่ยงยิ้มรับคำชมจากพันแสงด้วยท่าทีอันนอบน้อม
โหนยิ้มร่า “เป็นอันว่าพวกข้าได้อยู่ที่นี่ต่อไปใช่หรือไม่ ท่านพันแสง”
“ข้าพูดคำไหนเป็นคำนั้น ในเมื่อครูเจ้าชนะการประลอง พวกเจ้าก็อยู่ที่หมู่บ้านนี้ต่อไปได้”
กล้า นิล โหน มะขามและชาวบ้านที่ติดตามกันมาต่างมีสีหน้าโล่งอกดีใจทั้งแถบ
กล้าเอ่ยขึ้นว่า “ในเมื่อฝีมือครูประจักษ์แก่สายตาทุกคนขนาดนี้แล้ว ถ้าทุกคนที่นี่จะลุกขึ้นสู้เพื่อกอบกู้บ้านเมือง พวกข้าก็พร้อมจะสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับพวกท่านนะ"
มั่นมองตาขวางบอกเสียงเข้ม “นี่ได้คืบจะเอาศอกรึ ข้ายอมให้พวกเจ้าอยู่ที่นี่ ก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเจ้าจะทำอะไรกันก็ได้ ถ้าจะอยู่ที่นี่ก็จงอยู่กันอย่างสงบ”
โหนฮึดฮัดหมั่นไส้ “สงบเยี่ยงทาส อย่างที่เป็นกันอยู่นี่น่ะรึ”
เที่ยงเกรงจะมีเรื่องขัดใจกันอีก รีบออกโรงรับรอง “เอาล่ะ พวกข้าจะไม่ทำให้พวกท่านต้องเดือดร้อนได้โปรดวางใจเถิด”
บรรยากาศตึงเครียด ทุกคนกระอักกระอวนใจ มั่นมองพวกเที่ยงด้วยสีหน้าเข้มขรึม กล้ากับนิลต้องคอยปลอบไม่ให้โหนใจร้อน

ไหเหล้าในมือโหนถูกขว้างแตกกระจายเกลื่อนพื้น ระบายอารมณ์โกรธแค้น
“ขี้ขลาดตาขาวกันเสียจริง”
“ใจเย็นไอ้โหน เดี๋ยวใครมาได้ยินเข้าจะไม่ดี” นิลปราม
“ได้ยินสิดี เผื่อจะได้สำนึกกันเสียบ้าง ครูอุตส่าห์แสดงฝีมือจนประจักษ์แก่สายตา ยังจะขี้ขลาดตาขาวกันอยู่ได้” โหนฮึดฮัดไม่เลิกรา
“เอาเถิด พันแสงยอมให้พวกเราอยู่ที่นี่ต่อ ก็นับว่าดีแล้ว” เที่ยงว่า
“เค้ายอมก็เพราะว่าครูชนะตามคำท้าต่างหากล่ะ” โหนไม่ยอม
“ปล่อยวางบ้างเถิดวะ ใครไม่ใคร่ที่จะสู้ก็ช่างเขา คนที่พร้อมสู้ก็ยังมี มาช่วยกันคิดดีกว่าว่าจะสู้กันอย่างไร” กล้าว่า
“มา ข้าก็จะชวนพวกเจ้าหารือเรื่องนี้กันอยู่พอดี”
พร้อมกับว่า เที่ยงนั่งลง กล้ากับนิลนั่งตาม โหนยังหัวเสียไม่ยอมนั่งลง นิลเห็นแล้วหมั่นไส้เลยดีดขาเตะเข้าที่ข้อพับเต็มแรงจนโหนทรุดลงมานั่งโดยอัตโนมัติ
“ไอ้นิล เตะข้าหาหอกอะไรเนี่ย”
“ก็ครูชวนปรึกษาหารือ เอ็งมัวแต่ยืนฉุนเฉียวอยู่นี่ เมื่อไหร่จะได้คุยกัน”
เที่ยงมองหน้าโหนสีหน้าจริงจัง จนโหนสลด ไม่ออกอาการฉุนเฉียวอะไรอีก
“เรื่องคนน้อยพวกเอ็งไม่ต้องกังวลว่าจะเสียเปรียบ เพราะข้าจะทำให้เรากลับเป็นฝ่ายได้เปรียบแทน”
“ทำอย่างไรรึครู” กล้าตื่นเต้น
“พวกเราจะรบแบบกองโจร”
เที่ยงบอกด้วยสีหน้าเข้มขรึมจริงจัง

ค่ำคืนนั้น นิลยืนอยู่ท่ามกลางดงต้นกล้วย ก่อนจะออกแรงเตะต้นกล้วยที่อยู่รายล้อมขาดทีละต้นๆ โดยมีเสียงเที่ยงอธิบายแผนการต่อสู้เมื่อบ่ายดังก้องในหู
“ข้าได้ข่าวมาว่า กลุ่มบ้านบางระจันได้รวบรวมไพร่พลจัดตั้งเป็นกองกำลังเล็กๆ ดักตีทหารพม่าแบบกองโจร แลสามารถตัดกำลังทหารพม่าได้มากนัก”
ส่วนกล้าหลบไปเตะต่อยลูกมะพร้าวที่ผูกติดกันใต้ต้นไม้มุมลับตาคน กล้าหลบลูกมะพร้าวที่กวัดแกว่งไปมา และออกอาวุธทั้งหมัดและศอกใส่ลูกมะพร้าว จนน้ำมะพร้าวแตกกระจาย
“แลเราจักสามารถรวบรวมไพร่พลได้เยี่ยงชาวบ้านบางระจันรึครู”
ฟากโหนดึงข้อกับกิ่งต้นไม้ใหญ่อยู่ในมุมร่มรื่น นึกถึงคำหารือกับครูเที่ยงและเพื่อนๆ
“กรุงศรีฯ สร้างขึ้นจากกองดินเล็กๆ ฉันใด กองทัพที่ยิ่งใหญ่ก็เริ่มจากคนกลุ่มเล็กๆ ฉันนั้น”
โหนฮึกเหิมสุดพลัง ออกแรงดึงข้ออย่างต่อเนื่อง เหงื่ออาบชุ่มร่างกายที่บึก บึนราวนักรบโรมัน
“พวกข้าจักหมั่นฝึกฝนร่างกาย แลหวังว่าสักวัน จักได้ร่วมรบกับชาวบางระจัน” โหนบอก
กล้าเสริมว่า “ฤาไม่ก็อาจจักได้ร่วมรบกับพระเจ้าตากกันก็ได้”

ระหว่างนี้จำปาเดินผ่านมาเห็นโหนกำลังฟิตซ้อมเอาเป็นเอาตาย นางโผเข้ามุมซุ่มมองที่โคนต้นไม้ใกล้ๆ จำปา มองไล้สายตาไปตามเรือนร่างอันบึกบึน เหงื่อเป็นเม็ดไหลย้อยมาตามหนั่นเนื้อเป็นลอนๆ ที่หน้าท้อง
จำปาแอบมองโหนอยู่อย่างนั้นด้วยความหลงใหล แต่แล้วจู่ๆ ดันมีเสียงตุ๊กแกร้องดังมาจากบนต้นไม้
“ตุ๊กแกๆ”
“แอร๊ย...” จำปาตกใจร้องกรี๊ดวิ่งเข้าไปกอดโหน ที่ละมือลงจากกิ่งไม้เพราะเสียงจำปา
“เจ้าเป็นอะไรรึ”
“ตุ๊กแก”
“ปัดโธ่ แค่ตุ๊กแก ตกใจอย่างกับเห็นผี”
โหนลูบหัวปลอบขวัญจำปาตามประสาลูกผู้ชาย ไม่ได้คิดอะไรเกินเลย จนจำปารู้ตัวว่าเผลอใจกอดโหนอยู่ ก็เลยรีบผละออกทันที
“ข้ากลัวตุ๊กแกยิ่งกว่าผีเสียอีก”
โหนขำ แล้วนึกบางอย่างได้ “เอ้อ ข้าว่าจักถามเจ้าเรื่องวันนั้นเสียหน่อย เจ้าทำอีท่าไหนถึงได้ถีบทหารพม่าลอยทะลุประตูออกมาเยี่ยงนั้น เจ้าเป็นมวยด้วยรึ”
จำปาขำ “อ๋อ ข้ามิได้เป็นมวยดอก ข้าทำไปตามสัญชาตญาณเอาตัวรอดน่ะ"
“อ้อ ถีบแรงขนาดนั้น ข้าก็คิดว่าเจ้าเป็นมวย”
จำปาฉุกคิดขึ้นมาเล็กน้อย หาโอกาสที่จะได้สนิทสนมกับโหนให้มากขึ้น
“ก็อยากจะเป็นอยู่เหมือนกันนะ จะได้มีวิชาไว้ป้องกันตัว แต่ไม่มีใครช่วยสอนนี่สิ”
“อ้าว ถ้าอย่างนั้นให้ข้าสอนให้เอาไหม”
จำปายักท่าวางฟอร์มนิดๆ “จะดีรึ”
“นั่นน่ะสิ พ่อเจ้าจะว่าเอารึเปล่า”
จำปารีบตอบ “โอ๊ยไม่ว่าหรอก เจ้าสอนข้านี่แหละ ดีแล้ว”
จำปาตั้งการ์ดมวยรอ พร้อมจะเรียนเต็มที่
“ก็ได้ ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวข้าสอนเจ้าเอง”
โหนออกท่าทางหมัดมวยให้ดู จำปาทำตามอย่างมีความสุข และยิ่งยิ้มฟินหนักเมื่อครูโหนเข้าจับมือจับไม้จัดท่าทางให้

กล้า เที่ยง นิลและมะขาม เดินลัดเลาะมาตามชายป่าพากันมาดูค่ายทหารพม่า กล้าเอ่ยถามขึ้น
“เดินเท้ากันอีกไกลไหมครู”
“เดินพอเหงื่อซึมเดี๋ยวก็ถึงแล้ว”
“แล้วทำไมเราไม่ขี่ม้าเข้าไปใกล้ๆ หมู่บ้านให้มากกว่านี้ล่ะครู” มะขามสงสัย
“ขี่เข้าไปให้ทหารพม่ามันรู้ตัวรึ” กล้าตอบแทน
มะขามตาเขียว “ข้าถามครู ไม่ได้ถามเจ้า"
“ก็อย่างที่กล้ามันว่านั่นแหละ ถ้าเราขี่ม้าเข้าไปใกล้กว่านี้ ทหารพม่าอาจจะไหวตัวได้”
กล้าได้ทียักคิ้วกวนมะขามคืน มะขามฟึดฟัดนิดๆ เพราะอยู่ต่อหน้าเที่ยง นิลคอยจับตามองปฏิกิริยาระหว่างกล้ากับมะขามอยู่ในทีตลอดเวลา
“เอาละ ข้ามีแผนการจะหารือกับพวกเจ้าหน่อย” เที่ยงเอ่ยขึ้น
ทุกคนหยุดเดิน เที่ยงเดินนำทุกคนไปหาที่นั่งประชุมวางแผน
“เดี๋ยวเราต้องลอบเข้าไปที่หมู่บ้าน เพื่อดูชัยภูมิที่ตั้งว่ามีจุดอ่อนจุดแข็งตรงไหนบ้าง”
“แยกกันเข้าไปสำรวจ ไม่นานก็ได้เรื่องแล้วล่ะครู” นิลว่า
“เข้าไปหลายคนข้ากลัวว่าพวกมันจะไหวตัวน่ะสิ ข้าเลยคิดว่าให้มะขามเข้าไปคนเดียวจะดีกว่า” เที่ยงบอก
กล้า กะนิลตกใจร้อง “หา” พร้อมกัน
“เข้าไปยังไงรึจ๊ะครู” มะขามตื่นเต้น
“ข้าว่าเสี่ยงเกินไปนะครู ถ้าทหารพม่าจับได้นี่เรื่องใหญ่แน่” กล้าทักท้วง ด้วยเป็นห่วงมะขามนั่นเอง
“แต่ถ้าผู้ชายเข้าไปแล้วโดนจับได้น่าจะเรื่องใหญ่กว่า ผู้หญิงถ้าโดนจับได้ยังไงก็ไม่ถึงแก่ชีวิตแน่นอน เรายังตามไปช่วยภายหลังได้” เที่ยงหันมาทางมะขาม “หรือเจ้าคิดเห็นว่าอย่างไร”
“ข้าคิดว่าข้าทำได้จ้ะ"
“ที่นี่ไม่ต่างอะไรกับสนามรบ เจ้าคิดว่าเจ้าจะครองสติไม่ให้พวกทหารมันจับได้รึ” กล้าทักท้วง
“ทำไมจะทำไม่ได้ เพราะถ้าข้ากลัว ข้าคงไม่มายืนอยู่ตรงนี้หรอก” มะขามบอก
“เอาเถิด ข้าเชื่อว่ามะขามทำได้” เที่ยงหันมามองหน้ามะขาม “เจ้าก็ทำตัวกลมกลืนไปกับพวกชาวบ้าน เค้าทำงานอะไรก็ทำไปกับเค้า ระหว่างนั้นก็สำรวจชัยภูมิของหมู่บ้านไปด้วย ว่ามีจุดอ่อนจุดแข็งที่ไหนบ้าง”
“จ้ะครู”
เที่ยงตบไหล่มะขามเบาๆ ให้กำลังใจ กล้ากับนิลสีหน้าไม่สู้ดีด้วยกันทั้งคู่ แม้จะรู้สึกหวาดหวั่นครั่นคร้ามไม่น้อย แต่มะขามก็พยายามฝืนยิ้มปั้นสีหน้ามั่นใจให้ทุกคนดู

ค่ำนั้นมะขามกำลังสุมฟืนเข้ากองไฟลุกโชนให้แสงและกันยุง มีชาวบ้านชาย คน รูปร่างกำยำล่ำสัน ยืนเรียงหน้ากระดาน ให้เที่ยง กล้า นิลและโหนดูตัว มะขามนั่งอยู่ข้างกองไฟ
“รูปร่างกำยำล่ำสันดี” เที่ยงพอใจ
“ทุกคนชำนาญทั้งธนูแล้วก็หน้าไม้ ตามที่ครูต้องการเลยจ้ะ” โหนบอก
“ครูเน้นคนธนูแล้วก็หน้าไม้แบบนี้ ครูมีแผนอะไรรึ” นิลสงสัย
“นั่งคุยกันก่อน”
ทั้งหมดพากันนั่งลงรอบกองไฟ เที่ยงหันมาทางมะขาม
“ไหนเล่าซิมะขาม วันนี้เจออะไรบ้าง”
“ที่หมู่บ้านนี้มีทหารพม่าไม่มากอย่างที่คิดจ้ะครู ถ้าจะซุ่มโจมตีตามแผนที่ครูคิดไว้ มะขามว่าน่าจะเผด็จศึกได้ไม่ยาก”
“แล้วสภาพหมู่บ้านเป็นอย่างไรบ้าง”
“บ้านแต่ละหลังปลูกห่างๆ กันจ้ะครู สภาพพื้นที่ค่อนข้างโปร่งมาก”
กล้าแทรกขึ้นมาว่า “ถ้าอย่างนั้นที่ซุ่มโจมตีน่าจะน้อย หรือแทบจะไม่มีเลย”
“ซุ่มโจมตีลำบากก็บุกเข้าไปฆ่าพวกมันเลยสิ ทหารพม่ามีไม่มากไม่ใช่รึ” โหนบ้าพลังเช่นเคย
“เอ็งนี่ก็อยากแต่จะใช้กำลัง ใช้สมองบ้าง มันจะได้ไม่เสื่อม" นิลด่า
“จ้า พ่อคนฉลาด”
โหนกับนิลมองเขม่นกัน ตามประสาคู่หูคู่กัด ขณะที่เที่ยงครุ่นคิดก่อนจะบอกสรุปว่า
“ถ้าอย่างนั้นเข้าโจมตีตอนกลางคืนน่าจะเหมาะ”
“ข้าก็คิดอยู่เหมือนกันจ้ะครู” กล้าเอาด้วย
“เห็นมั้ย ว่าข้าช่วยทุกคนได้” มะขามยิ้มยืด
“จ้ะ แม่คนเก่ง”
กล้ากับมะขามมองเขม่นกันอีกคู่ เที่ยงก็ไม่สนใจ ครุ่นคิดหาวิธีบุกโจมตีต่อด้วยสีหน้าจริงจัง

ค่ายทหารของราชบุตรทกยอ ภายในที่พักทกยอกำลังวิ่งไล่จับนางสนมอย่างเบิกบานใจ มือข้างหนึ่งก็ถือจอกเหล้า วิ่งไล่สนมพลาง ดื่มเหล้าในจอกไปพลาง นางสนมวิ่งมาหยุดที่หน้าประตู
“เจ้าหนีข้าไม่พ้นหรอก ฮ่าๆๆ”
ทกยอกระโดดเข้ากอดนางสนม อาละแมเดินเข้ามาในจังหวะที่สนมกระโดดหลบ ทกยอเลยเข้ามากอดอาละแมแทน ทกยอไม่ลืมหูลืมตามาดู พยายามลวนลามไปเรื่อย จนอาละแมอาละวาดเสียงดัง
“นี่ ข้าไม่ใช่นางบำเรอของเจ้านะ มีสติหน่อยสิ”
“อ้าว เจ้าเองหรอกรึ”
ทกยอหันไปมองนางสนมตาเชื่อม นางสนมหัวเราะคิก อาละแมไม่สบอารมณ์ปรี่เข้าไปตบหน้าเปรี้ยง
“หัวเราะอะไร”
นางสนมอึกอัก อ้ำอึ้ง
“รีบออกไปสิ อยากตายรึ” ทกยอตวาด
อาละแมมองตาขวาง นางสนมรีบวิ่งลนลานออกไปด้วยท่าทีหวาดกลัว
“เมื่อไหร่พี่จะเลิกเมาเหล้าเคล้าผู้หญิงแบบนี้เสียทีนะ”
“โธ่ ขอพี่ผ่อนคลายให้หายเหนื่อยบ้างเถิด กรำศึกมาหนักยิ่งนัก”
“ข้าก็เห็นพี่ผ่อนคลายแบบนี้ไม่ว่าจะยามศึกหรือยามไหนๆ พี่มัวแต่หลงระเริงแบบนี้ เมื่อไหร่พี่จะเป็นใหญ่เป็นโตกับเขา”
ทกยอขำ “แล้วทุกวันนี้ข้ากระจอกงอกง่อยตรงไหนรึ ข้าเป็นถึงแม่ทัพใหญ่ มิได้เป็นรองใครเสียหน่อย”
ระหว่างนี้ทหารฉุดกระชากเชลยสาวไทย ที่ร้องไห้ด้วยความหวาดกลัวเข้ามาให้ทกยอดูตัว เชลยสาวพนมมือไหว้ปลกๆ
“ปล่อยข้าไปเถิดนะ อย่าทำอะไรข้าเลย”
ทกยอใช้ปลายนิ้วลูบไล้ที่ใบหน้า เชลยสาวสะบัดหน้าหนี ทกยอโมโหตบเปรี้ยงจนหันกลับมาอีกข้าง
“อย่าหันหน้าหนีข้า”
“ปล่อยข้าไปเถิดนะ ให้ข้าเป็นทาสรับใช้อะไรก็ได้ แต่อย่าทำอะไรข้าเลย”
“พามันไปที่ห้องข้า”
ทกยอเดินนำทหารพม่าไป เชลยสาวร้องไห้ขอความช่วยเหลือ แต่ก็เปล่าประโยชน์
“ไหนจะพ่อ ไหนจะพี่ ยังจะว่าไม่เป็นรองใครอีก”
อาละแมหงุดหงิดกับพฤติกรรมของผู้เป็นสามี เพราะตัวเองไม่ได้ต้องการเป็นแค่ที่สองรองจากใคร

ขณะที่มะเมียะนั่งร้อยมาลัยอยู่ในที่พัก มังจาเลเดินเข้ามาด้วยอาการหงุดหงิด หลังจากรู้มาว่าทกยอปฏิบัติต่อเชลยศึกอย่างไม่ใช่ลูกผู้ชาย
“โมโหใครมาอีกรึ”
“ทกยอน่ะสิ นิสัยเดิมไม่เคยเปลี่ยน”
“เรื่องผู้หญิงรึ”
เฟื่องฟ้าเดินถือพานใส่ดอกไม้เข้ามา พอได้ยินมะเมียะพูดถึงผู้หญิงก็หยุดกึกเพื่อฟังว่าหมายถึงใคร
“เพลานี้เชลยหญิงที่ค่ายนั้นเหมือนตกนรกทั้งเป็น เป็นทาสใช้แรงงานไม่พอ ยังต้องเป็นทาสกาม คอยบำเรอความใคร่ให้ทกยออีก”
“นี่ล่ะทกยอ เจ้าก็น่าจะรู้จักดีอยู่แล้วนี่”
“รู้จักดีก็จริง แต่ยิ่งได้รับรู้พฤติกรรมแบบนี้ ข้าก็อดสมเพชไม่ได้จริงๆ เชลยก็เป็นคน เหตุใดต้องย่ำยีดูหมิ่นศักดิ์ศรีกันขนาดนี้ด้วย”
เฟื่องฟ้าได้ยินความคิดของมังจาเลแบบนี้ก็รู้สึกดีขึ้นมา
“ก็ไม่ต้องไปรับรู้เรื่องราวของเขาเสียก็สิ้นเรื่อง ต่างคนต่างอยู่เสีย”
“ข้าก็ไม่อยากรับรู้เรื่องต่ำๆ แบบนี้หรอก แต่มันก็มาเข้าหูข้าอยู่เรื่อยๆ ไม่รู้จะเลี่ยงอย่างไรแล้ว”
มะเมียะถอนหายใจเพราะรู้สึกไม่สบายใจกับพฤติกรรมของทกยออยู่เช่นกัน
เฟื่องฟ้านิ่งคิด รู้สึกดีเมื่อรู้ถึงเนื้อแท้จิตใจของมังจาเล ว่าไม่ใช่คนโหดเหี้ยมเลวร้ายเหมือนคนอื่น พลางครุ่นคิดว่าจะทำอะไรดีๆให้กับมังจาเลดี

เช้าตรู่วันต่อมา ทหารยกสำรับอาหารออกไปหลังจากมังจาเลกินเสร็จ ก่อนที่มะเมียะจะเดินถือชามใส่ขนมต้มซ่อนไว้ข้างหลังสวนเข้ามา
“ขนมไหม”
“เอาเถิด ข้าไม่ค่อยชอบกินเท่าไหร่”
“แน่ใจ”
“ทำไมรึ” มังจาเลแปลกใจนิดๆ
มะเมียะยื่นขนมต้มให้ดู
“ขนมต้มใช่หรือไม่ ผู้ใดเป็นคนทำรึ”
“เฟื่องฟ้า”
ได้ยินชื่อคนทำ มังจาเลรีบคว้าขนมต้มไปชื่นชมทันที
“นี่เฟื่องฟ้าตั้งใจทำมาให้เลยนะ”
“จริงรึ”
“จริงสิ อะไรดลจิตดลใจก็ไม่รู้” มะเมียะชี้หน้า “เอ๊ะ รึว่าเจ้าทำเสน่ห์ใส่เฟื่องฟ้า”
“ข้ายังไม่สิ้นไร้ไม้ตอกขนาดนั้นเสียหน่อย”
มังจาเลยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ชื่นชมขนมต้มราวกับได้เพชรนิลจินดา
“นี่ ขนมเค้าทำมาให้กินนะ ไม่ใช่ให้มองแบบนี้”
“กว่าจะได้มา ยากยิ่งกว่าออกศึกมาทั้งชีวิต ขอชื่นชมให้สาแก่ใจข้าหน่อยเถิด”
มังจาเลเดินชื่นชมขนมต้มออกไป มะเมียะเห็นมังจาเลมีความสุขก็พลอยมีความสุขไปด้วย

เฟื่องฟ้านั่งทอดอารมณ์เงียบๆ อยู่คนเดียว จนมังจาเลเดินเข้ามาหาพร้อมขนมต้มที่ยังอยู่ในสภาพเดิม
“มานั่งทำอะไรคนเดียวตรงนี้รึ”
เฟื่องฟ้าหันมองมังจาเลและเหลือบเห็นขนมต้มในมือราชบุตร แต่ยังไว้ท่าวางฟอร์มตอบด้วยน้ำเสียงเหวี่ยงใส่เช่นเคย
“ตรงนี้ห้ามนั่งรึ"
“นั่งได้ ข้าก็ถามไปตามประสาน่ะ”
“ตามประสาคนที่ไม่มีอะไรจะถาม”
มังจาเลอึ้งนิดๆ มองขนมต้มในมือด้วยสีหน้ายิ้มกริ่ม และตั้งคำถามกลับ
“ถ้าอย่างนั้นข้าขอถามตามประสาคนอยากรู้สักนิดนะ เจ้าตั้งใจทำขนมต้มให้ข้าเพราะอะไรรึ”
เฟื่องฟ้าเจอคำถามแทงใจก็ออกอาการเขินอาย รีบกลบเกลื่อน
“เอ่อ..พอดีข้าทำเยอะน่ะ เลยแบ่งให้กินเอาบุญ”
มังจาเลจ้องตา “จริงรึ”
เฟื่องฟ้าเผลอจ้องตาตอบ สองคนสบตากันอยู่พักหนึ่ง ก่อนเฟื่องฟ้าจะดึงสติกลับมาได้
“จริง!”
เฟื่องฟ้าสะกดอารมณ์เขินอาย แล้วลุกเดินหนีไป มังจาเลยิ้มกว้างแกะขนมต้มกินอย่างเบิกบานใจ

อีกฟาก พันแสงกับมั่นนั่งกินข้าวเช้ากันอยู่บนชานเรือน สักครู่หนึ่งจึงเห็นจำปาพามะขามเดินขึ้นมา
“มา..กินข้าวกัน” พันแสงมองหาพวกกล้า “อ้าว แล้วคนอื่นไปไหนหมดล่ะ”
“พากันเข้าป่าไปตั้งแต่เมื่อรุ่งสางแล้วล่ะจ้ะ" มะขามบอก
“เข้าป่ารึ เข้าไปทำอะไรกัน” มั่นแปลกใจ
มะขามตอบคล่อง ไม่มีพิรุธใดๆ “เข้าไปหาของป่า หาสมุนไพรมาทำยาน่ะจ้ะ”
“อ้าว มีใครป่วยรึ ที่บ้านข้าหยูกยาก็มีอยู่นะ”
คราวนี้มะขามอึกอักเล็กน้อย “เอ่อ ยังไม่มีใครป่วยหรอกจ้ะ พอดีว่าว่างกัน ก็เลยชวนกันเข้าไปหาของป่าน่ะจ้ะ”
“แล้วนี่มีคนที่หมู่บ้านนี้นำไปหรือไม่” มั่นถาม
“ไม่มีจ้ะ”
“เอ๊ะ พวกเจ้าไม่ใช่คนที่นี่ จะรู้เส้นทางได้อย่างไร แลของป่าที่ต้องการอีก จะรู้ได้อย่างไรว่าอยู่ตรงไหน”
“เอ่อ โอ๊ย มีครูเที่ยงไปก็ไม่ต้องเป็นกังวลหรอกจ้ะ แลคนอื่นๆ ก็ใช่ว่าจะเพิ่งเคยเดินป่า แต่ละคนล้วนช่ำชองด้วยกันทั้งนั้น”
“เอ้า อย่ามัวแต่คุยเลย กับข้าวเย็นหมดแล้ว” จำปาตัดบท
มะขามตัดบทก้มหน้ากินข้าวไป มั่นมองมะขามอย่างค้นหา เริ่มระแวงว่าพวกกล้าจะไปทำอะไรนอกเหนือจากการหาของป่าหรือไม่ แต่ก็ยังไม่แสดงอาการอะไรมาก

เย็นย่ำ บรรยากาศโพล้เพล้ ดวงอาทิตย์ใกล้จะตกดิน
ที่ชายป่าอันเป็นบริเวณรอบนอกของหมู่บ้าน กล้า นิง โหน เที่ยงและชาวบ้าน 3 คนอยู่ที่นั่น กำลังตระเตรียมอาวุธ ทั้งดาบ หน้าไม้ และ ธนู ที่ได้จากการเข้าป่าเมื่อตอนเช้า
“อาทิตย์ลับขอบฟ้า เราบุกกันเลยใช่ไหมครู”
“ใช่ ลงมืออย่างเงียบที่สุด พวกชาวบ้านจะได้ไม่แตกตื่น หา ไม่เป็นเช่นนั้น งานเราจะยากยิ่งขึ้นไปอีก”
“จ้ะครู” กล้ารับเอาคำ
ชาวบ้านอีก 4 คน ช่วยกันขนโคลนที่ไปขุดมากองรวมกัน เพื่อใช้สำหรับพรางตัวในคืนนี้
“นี่เราจะปั้นหม้อข้าวกันรึ” โหนมองฉงน
นิลตบหัวโหนปั้ก “ปั้นหม้อกับผีสิไอ้โหน เอ็งนี่มีแต่แรง สมองไม่มีจริงๆ”
“ข้ารู้ว่าโคลนพวกนี้เอาไว้ทาพรางตัว ข้าสัพยอกเล่นดอกโว้ย”
“อ้าว ถ้าอย่างนั้นที่ตบหัวเอ็งไปเมื่อครู่ ข้าขอถอนก็แล้วกัน”
นิลตบหัวอีกที โหนดันยอมให้ตบดีๆ
“อภัยให้ข้าด้วยนะ"
“เออ ข้าไม่ได้เขลานะโว้ย”
กล้าขำโหนที่โดนหลอกตบหัวสองทีแต่ก็ยังไม่รู้ตัว
“ขำอะไรรึไอ้กล้า”
“อ๋อ ไม่มีอะไรหรอก ข้าก็ขำนกขำต้นไม้ของข้าไปเรื่อย”
“เอ็งนี่ท่าจะประสาท ขำแม้กระทั่งนกทั้งต้นไม้ เขลาแท้”
“เออ ใครจะฉลาดเท่าเอ็งล่ะ”
กล้า นิล เที่ยงและชาวบ้านต่างหัวเราะครื้นเครง บรรยากาศผ่อนคลาย ก่อนที่เที่ยงจะดึงทุกคนเข้าสู่ความจริงจัง
“เอาละ ใกล้จะค่ำแล้ว รีบเตรียมตัวกันดีกว่า”
เที่ยงลุกไปที่กองโคลนจัดการเอาโคลนทาตามตัว ทุกคนเดินตามเที่ยงไปหยิบโคลนขึ้นมาทาตามตัว

มะขามนั่งอยู่หน้าเรือนที่พัก มองสร้อยที่กล้าซื้อให้ด้วยอารมณ์เป็นห่วง มั่นเดินผ่านมาเงียบๆ เห็นมะขามกำลังมองสร้อยเหมือนคนอยู่ในภวังค์
“ขอให้เจ้าและทุกคนปลอดภัยนะ”
“อธิษฐานให้ใครอยู่รึ”
มะขามตกใจ "เอ่อ อธิษฐานให้ทุกคนที่ไปเข้าป่าน่ะจ้ะ”
“แค่เข้าไปหาของป่า ต้องเป็นห่วงขนาดนี้เชียวรึ”
มะขามอึกอัก “ในป่าเต็มไปด้วยอันตรายมากมาย ข้าก็ต้องเป็นห่วงสิ นี่ท่านเดินมาถึงที่นี่มีอะไรรึ”
“ข้าก็เดินดูความเรียบร้อยภายในหมู่บ้านแบบนี้ทุกๆ วันนั่นละ แล้วนี่ยังไม่กลับกันมาอีกรึ”
“ยังจ้ะ เพิ่งจะเข้าไปเมื่อเช้านี้เอง ตอนนี้คงจะยังไม่ได้อะไรมากหรอกจ้ะ”
มั่นรู้สึกเคลือบแคลงสงสัยมากขึ้น แต่ในเมื่อไม่มีหลักฐาน ก็จำต้องปล่อยไป
“เอาละ จะทำอะไรกันก็ให้คิดถึงชาวบ้านที่นี่ให้มากๆนะ ทุกคนอยู่กันอย่างสงบปลอดภัยกันมานาน อย่าทำให้พวกเขาต้องเดือดร้อน”
“จ้ะ”
“พักผ่อนเสียเถิด ข้าไม่กวนละ”
“จ้ะ”
มะขามไหว้มั่นแล้วเดินเข้าบ้านพักไป มั่นยืนมองด้วยสีหน้าสงสัย นึกสังหรณ์ใจบอกไม่ถูก แต่ก็ยังทำอะไรไม่ได้

เที่ยง กล้า นิล โหน และชาวบ้าน 7 คน พรางตัว พรางหน้าดำ พากันเคลื่อนตัวเข้ามาซุ่มกันที่มุมหนึ่ง ทุกคนอาวุธครบมือ มองไปที่หมู่บ้านซึ่งถูกตั้งเป็นค่ายคุมขังเชลยชาวกรุงศรี มีทหารพม่าเดินไปมาอยู่ประปราย
“เอาเยี่ยงไรดีครู” โหนถาม
“กล้า นิล โหนแบ่งคนไปคนละสองคน อีกคนที่เหลือมากับข้า”
“จ้ะครู” กล้ารับเอาคำ
“เดี๋ยวแยกย้ายกันตรงนี้ กระจายกำลังกันไปคนละทาง แล้วไปบรรจบกันที่กลางหมู่บ้าน” เที่ยงสั่งการ
“จ้ะครู” ทุกคนรับเอาคำ
เที่ยงกำชับหนักแน่น “ระวังตัวกันด้วย”
กล้า นิล โหน และเที่ยงแยกย้ายกันไป 4 กลุ่ม มีชาวบ้านติดตามไปคนละสองคน มีเที่ยงที่มีชาวบ้านตามไปคนเดียว

ทหารพม่ายืนยามเฝ้าหน้าที่คุมขังเชลยสองคน โหนค่อยๆ ย่องเข้ามาทางด้านหลัง ล็อคคอทหารทั้งสองคนพร้อมๆ กัน ออกแรงแขนเต็มกำลัง จนกระดูกคอทหารพม่าทั้งสองลั่นดังกร๊อบ แน่นิ่งไป
โหนโยนศพพม่าทิ้ง ก่อนจะหันไปส่งซิกกับเชลยไม่ให้ส่งเสียงดัง ใกล้ๆ กัน ชาวบ้าน 2 คนก็ย่องเข้าไปหักคอ 2 ทหารพม่าอย่างเงียบๆ ก่อนจะยิงธนูกับหน้าไม้ไปปักที่คอทหารพม่าที่อยู่ห่างออกไป
โหนบอกกับเชลยเสียงเบาๆ ว่า "รออยู่ที่นี่เงียบๆ นะ”
เชลยพยักหน้ารับเอาคำ โหนกับชาวบ้านทั้งสองคนย่องออกไปยังจุดอื่นๆ

ทหารพม่า 3 คน เดินตรวจความเรียบร้อยมาด้วยกัน ก่อนที่คนหนึ่งจะแยกออกมาอีกทาง
ทหารที่แยกออกมาคนเดียวมายืนฉี่ โดยมีนิลซุ่มมองอยู่ รอจังหวะเหมาะเจาะ จนทหารพม่าฉี่เสร็จ นิลก็ค่อยๆ ย่องเข้าไปสะกิดไหล่เรียก ทหารพม่าหันมาก็เจอนิลเตะเข้ากลางตัวเต็มแรง พร้อมกับเอามืออุดปากไม่ให้ส่งเสียงร้อง ก่อนจะแทงเข่าซ้ำจนทหารพม่านอนตัวงออยู่กับพื้น
“คืนนี้พวกกูจะเอาเลือดพวกมึงออกมาล้างตีน”
เห็นนิลยกเท้ากระทืบไปที่หน้าของทหารพม่าจนร่างมันชักกระตุก นิลยิ้มเหี้ยมสะใจสุดๆ
ทหารอีกสองคนเดินตรวจมาด้วยกัน ชาวบ้านชาย 2 คน ที่มากับนิลย่องเข้ามาทางด้านหลัง แล้วจัดการล็อคคอและปิดปาก ก่อนจะใช้มีดจ้วงแทงจนทหารพม่าแน่นิ่งไป
ชาวบ้านช่วยกันลากร่างทหารพม่าออกไป

ทหารพม่า 8 คน กระจายกันยืนคุมพื้นที่บริเวณนี้
กล้าและชาวบ้าน 2 คนเข้ามาซุ่มดู นับจำนวนทหารแล้ววางแผนจัดการอย่างไรให้เงียบที่สุด
“เอาอย่างไรดีพ่อกล้า"
กล้าครุ่นคิด “อยู่ตรงนี้ คอยยิงคุ้มกันให้ข้าด้วย”
จากนั้นกล้าย่องออกไปอย่างเงียบกริบ ชาวบ้านทั้งสองคนเตรียมอาวุธและเล็งแล พร้อมยิงทุกเมื่อ
กล้าย่องเข้ามาหลบใกล้ๆ ทหารพม่า 2 คน ที่ยืนคุมพื้นที่อยู่มุมหนึ่ง กล้าหันมองทหารคนอื่นๆ รอจังหวะที่คนอื่นไม่หันมาด้านนี้ แล้วเข้าจู่โจมทหารพม่า 2 คนใกล้ๆ ด้วยอาวุธหมัด เท้า เข่า ศอก
ชาวบ้าน 2 คน ทีมของกล้า เห็นกล้าออกอาวุธหมัด เท้า เข่า ศอกใส่ 2 ทหารพม่าอย่างรวดเร็วและเงียบเชียบ จนทหารลงไปกองกับพื้น ทหารพม่าที่เหลืออีก 6 คน ต่างยังนิ่ง ไม่รู้สึกถึงหายนะที่กำลังมาเยือน
กล้าย่องเข้าไปอีก ตรงเข้าไปหาทหารพม่าที่เดินเข้ามาเกาะกลุ่มกัน 4 คน กล้าครุ่นคิดหายุทธวิธีจัดการทหารพม่าทั้งสี่คน ชาวบ้าน 2 คนที่คุมเชิงให้กล้า เล็งอาวุธอยู่ในท่าพร้อมยิง
กล้าตัดสินใจเข้าจู่โจมทหารพม่าทั้งสี่คนด้วยอาวุธหมัด เท้า เข่า ศอกอย่างรวดเร็วและหนักหน่วง
ทหารพม่าอีก 2 คนหันไปเห็นกล้ากำลังสู้กับทหารพม่าทั้ง 4 ก็ทำท่าจะโวยวาย ชาวบ้านทีมกล้าสองคนยิงลูกดอกไปยังทหารพม่าทั้ง 2 คน ทั้งคู่ร่วงไปกองที่พื้น ไม่ทันได้ส่งเสียงสักแอะ
กล้าออกอาวุธพิชิตทหารพม่าทั้งสี่คนได้อย่างรวดเร็ว

ไม่นานนัก กล้า นิล โหน และเที่ยงมาบรรจบพบกันตรงจุดนัดพบ แล้วแยกกันสังหารทหารพม่าคุมเชลยที่กำลังทำงานสร้างค่ายอย่างเงียบๆ ชายอีก 6 คนตามมาสมทบกับ ยิงธนูและหน้าไม้สังหารทหารพม่าที่เหลือจนตายเกลี้ยง

ไม่นานต่อมา เหล่าชาวบ้านที่เคยตกเป็นเชลยเดินมารวมตัวกันที่ลานในหมู่บ้าน กล้า นิล โหน เที่ยง และชาย 7 คนยืนมองอยู่อย่างเวทนา ชายชราคนหนึ่งเดินออกจากกลุ่มมาคุกเข่ายกมือไหว้พวกกล้า
“เทวดาฟ้าดินส่งพวกท่านมาโปรดพวกข้าแท้ๆ”
“อย่าไหว้พวกข้าเลย ลุกขึ้นเถิด”
เที่ยงประคองชาวบ้านให้ลุกขึ้น
“พวกท่านได้ให้ชีวิตใหม่กับพวกข้า บุญคุณครั้งนี้ ตายกี่ชาติจะใช้ให้หมด ก็หารู้ไม่”
“อย่าถือเป็นบุญคุณอะไรเลยจ้ะ พวกเราคนชาติเดียวกัน ไม่ช่วยเหลือกันแล้วจะให้ไปช่วยเหลือใคร” กล้าว่า
โหนยิ้มให้ “หมดเคราะห์หมดโศกกันเสียทีนะ”
“แล้วเราจะทำอย่างไรกับชาวบ้านที่นี่ต่อไปล่ะครู"
เที่ยงครุ่นคิด ขณะที่ชาวบ้านก็มองพวกกล้าอย่างมีความหวัง
“พวกข้าขอตามไปอยู่กับพวกท่านด้วยได้รึไม่”
กล้า นิล โหน เที่ยงมองหน้ากันด้วยสีหน้ากังวลเล็กน้อย เพราะการพาชาวบ้านทั้งหมดกลับไปแบบนี้ อาจจะทำให้คนที่หมู่บ้านช่างตีดาบสงสัยเอาได้ แต่ถ้าไม่ช่วยก็เป็นห่วงความปลอดภัยของชาวบ้านกลุ่มนี้อีก

จอกเหล้าถูกเขวี้ยงลงพื้นแตกกระจายด้วยฝีมือมังคยอจิน ทกยอกับอาละแมนั่งอยู่ใกล้ๆ กัน ทั้งสองนั่งนิ่ง พยายามเก็บอารมณ์และความรู้สึกอย่างสูงสุด
มังคยอจินหายใจฟึดฟัดด้วยอารมณ์หงุดหงิด
“แล้วรู้รึไม่ว่ามันเป็นชาวบ้านกลุ่มไหน”
“เป็นชาวบ้านกลุ่มไหนยังมิรู้ ม้าเร็วบอกว่าพวกมันมากันไม่กี่คน”
มังคยอจินโกรธมากขึ้นอีก “มาไม่กี่คนแต่ทำไมมันบุกมาฆ่าทหารของเราได้”
“ฝีมือพวกมันดีกันทุกคน” ทกยอว่า
“ก็มัวแต่เมาหลงระเริงกับเชลยอยู่ในค่ายนี่ไง ทหารของเจ้าถึงได้อ่อนแอเยี่ยงนี้”
ทกยอพยายามอดทนอดกลั้น ไม่อยากต่อความยาว แต่อาละแมทนไม่ไหว เลยขอพูดบ้าง
“นี่เป็นความผิดของทกยอฝ่ายเดียวรึ”
“แล้วเจ้าคิดว่าเป็นความผิดของใครอีก”
อาละแมอ้าปากจะเถียง แต่ทกยอยกมือห้ามเมียไม่ให้พูดอะไรอีก
“ตอนนี้ข้าส่งนักรบยอดฝีมือไปคุมยังค่ายต่างๆ แล้ว จักมิมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอีก”
มังคยอจินนิ่งลงไป เพราะเห็นทกยอเริ่มมีอารมณ์ ส่วนอาละแมก็แอบมองมังคยอจินด้วยแววตาอาฆาตแค้นนิดๆ

กล้า โหน และนิล ถือของป่า สมุนไพรที่เตรียมไว้ เที่ยงเดินนำกลุ่มชาวบ้านที่เคยเป็นเชลยศึกเข้ามายังหมู่บ้าน พวกชาวบ้านหมู่บ้านช่างตีดาบต่างมองด้วยความสงสัย
พันแสงกับมั่นยืนดูดาบที่ตีเสร็จ ก่อนจะหันไปเห็นขบวนของพวกกล้าที่เดินเข้ามา
“พวกเจ้ากล้านี่ แล้วพาใครมาด้วยล่ะนั่น”
“แบบนี้ข้าว่า คงไม่ได้เข้าป่าไปหาของป่ากันแล้วกระมัง” มั่นฮึดฮัดเดินไปหากลุ่มของกล้าทันที โดยพันแสงเดินตามไปติดๆ “นี่พวกเจ้าไปไหนกันมารึ”
“ก็ไปหาของป่ากันมาไงจ๊ะ" กล้าบอก
“ไหนล่ะของป่าที่เจ้าว่าน่ะ”
นิล กับ โหนชูของป่าให้ดู มั่นอึกอักเล็กน้อยเมื่อเห็นของป่าและสมุนไพร เลยเฉไฉไปถามเรื่องชาวบ้านที่ตามมา
“แล้วนี่พวกเจ้าพาใครมาด้วย”
“พอดีข้าเจอชาวบ้านพวกนี้ระหว่างทางน่ะ ก็เลยชวนให้มารวมกันที่นี่ ท่านพันแสงคงไม่ขัดข้องกระไรนะ” เที่ยงบอก
“ไม่หรอก เราคนชาติเดียวกัน จะรังเกียจเดียดฉันกันไปใย นี่คงจะหนีทัพพม่ากันมาสินะ” พันแสงว่า
“จ้ะ เอ้อ ท่านพันแสงพูดถึงเรื่องนี้ข้าก็นึกขึ้นได้พอดี” กล้าหันไปถามชาวบ้านเชลยศึก “พอดีเพื่อนข้าโดนทหารพม่าจับตัวไป เผื่อจะมีใครในที่นี้เคยเห็นผ่านตาบ้าง”
มะขามเดินผ่านมาเห็น พอเห็นทุกคนมาถึงก็ดีใจรีบวิ่งเข้ามาหา
“ทุกคนไม่เป็นอะไรใช่มั้ย”
“ไม่มีใครเป็นอะไรมากหรอกมะขาม” โหนบอก
“แล้วเพื่อนเจ้าลักษณะเป็นอย่างไรล่ะพ่อหนุ่ม” 1 ในเชลยถาม
“เป็นผู้หญิงจ้ะ ชื่อเฟื่องฟ้า”
มะขามชะงัก อึ้งไป
“ลักษณะหน้าตาก็สะสวย รูปร่างบอบบาง ท่าทางอ่อนหวานน่ะจ้ะ”
“ถ้าลักษณะอย่างที่เจ้าว่ามา พวกข้าไม่เคยเห็นกันหรอกคงจะโดนจับไปที่อื่นนั่นล่ะ”
กล้ามีสีหน้าผิดหวัง “จ้ะ”
มะขามมองนิล เห็นแผล “เจ้ามีแผลนี่ ไป เดี๋ยวข้าทำแผลให้นะ”
มะขามจูงแขนนิลเดินออกไปทันที
“มากันเหนื่อยๆ ไปพักผ่อนกันก่อนเถิด” พันแสงโอภาปราศัยอย่างมีน้ำใจ
“ข้าขอตัวนะท่านพันแสง”
เที่ยง กล้าและโหนเดินนำชาวบ้านไป มั่นมองตามพวกเที่ยงด้วยแววตาเคลือบแคลงสงสัย

มะขามทำความสะอาดแผลให้นิล แล้วใช้สมุนไพรบดปิดแผลให้
“แผลนิดเดียวเอง ข้าไม่เป็นอะไรมากหรอก
“เพลานี้นิดเดียว แต่ถ้าปล่อยไว้ไม่ทำอะไร มันจะไม่นิดเอานะ”
มะขามเอาสมุนไพรปิดแผลและใช้ผ้าพันทับ นิลมองมะขามด้วยความประทับใจ กล้าเดินเข้ามา มะขามเห็นก็ยิ่งทำเป็นห่วงนิลเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งระดับ
“ดูแลแผลให้ดีๆ นะ พรุ่งนี้เช้าข้าจะทำแผลให้ใหม่”
“ขอบใจเจ้ามากนะ”
“ไม่ต้องขอบใจหรอก มันเป็นหน้าที่ข้าที่ต้องดูแลเจ้าน่ะ” มะขามเป่าแผลให้นิล “เพี้ยง หายเร็วๆ นะ”
กล้าอึ้งนิดๆ มะขามลอบมองท่าทีกล้า ส่วนนิลถลำลึกไปถึงไหนต่อไหน คิดว่ามะขามเริ่มจะมีใจให้จริงๆ
โหนเดินเข้ามาตามให้ไปคุยกับเที่ยงเรื่องแผนการโจมตีหมู่บ้านที่ 2
“ไอ้นิล ไอ้กล้า ครูให้ข้ามาตามเอ็งสองคนน่ะ”
กล้าเดินออกไปทันทีด้วยสีหน้ามึนตึงเล็กน้อย จนโหนงงว่าเป็นอะไร
“เป็นอะไรของมันวะ”
มะขามยิ้มสะใจที่เห็นกล้าออกอาการเช่นนั้น
“ครูมีเรื่องอะไรจะหารือรึ”
“ก็จะหารือเรื่องโจมตีหมู่บ้านต่อไปนั่นล่ะ”
“ข้าไปหารือกับครูก่อนนะ”
“ไปเถิด ทำแผลเสร็จแล้วนี่”
พอคล้อยหลังทุกคนพากันเดินออกไป มะขามก็ถอนใจ เพราะกังวลว่านิลจะมาชอบตนจริงๆ

กล้า นิล เที่ยงและโหนนั่งล้อมวงคุยกันอยู่เงียบๆ ที่ชายป่าปลอดผู้คนเดินผ่านไปผ่านมา
“ข้าเชื่อว่าหลังจากเราตีหมู่บ้านแรกสำเร็จ ทัพพม่าจะต้องมีการปรับทัพกันไม่มากก็น้อย”
“ปรับอย่างไรรึครู” โหนซัก
“ข้าก็ยังไม่รู้ แต่ที่แน่ๆ คือหมู่บ้านต่อๆ ไปมันจะยากขึ้นเรื่อยๆ”
“ยากสักแค่ไหนข้าก็ไม่หวั่นจ้ะครู” กล้าบอก
“ข้าก็ไม่หวั่นเช่นเดียวกัน ตราบใดที่ข้ายังไม่ได้ล้างแค้นให้กับคนที่หมู่บ้านข้า ข้าก็นอนตายตาไม่หลับ”
สิ้นคำของนิลเสียงมั่นก็ดังขึ้น “นึกไว้อยู่แล้วเชียว”
ทุกคนหันไปมอง เห็นมั่นเดินออกมาจากหลังต้นไม้
“พ่อมั่น” โหนตะลึงตะไล เช่นเดียวกับ
เที่ยง กล้า นิล ต่างอึ้งกันไป มั่นมองทุกคนด้วยสีหน้าเข้มขรึมจริงจัง และเอาเรื่อง

ที่หน้าเรือนพันแสง ทุกคนจับกลุ่มคุยกันอยู่หน้าตาเคร่งเครียด โดยเฉพาะมั่นที่ฮึดฮัด เครียดเคร่งกว่าใคร
“ในเมื่อพวกมันยอมรับแล้ว ว่าไปสู้รบกับพวกทหารพม่ามาพี่พันแสงก็ต้องจัดการตามกฎของหมู่บ้านเรานะ”
พันแสงถอนหายใจเฮือก "พวกเจ้าทำแบบนี้ไปเพื่อกระไรกัน คิดรึ ว่าจะเอาชนะพวกทหารพม่าได้”
“พวกข้าก็ชนะมาแล้วนี่อย่างไร ท่านพันแสง” โหนบอก
“มันก็แค่ครั้งนี้รึเปล่า เจ้าคิดว่าพวกทหารพม่าจะยอมให้พวกเจ้าชนะง่ายๆ แบบนี้ไปได้ทุกครั้งรึ”
“ก็ถ้าพวกเรารวมพลังกันได้มากๆ ข้าก็เชื่อว่าเราจักสามารถเอาชนะทหารพม่าได้นะท่านพันแสง” กล้าว่า
“ข้าว่าเรากำลังพูดนอกเรื่องกันไปใหญ่แล้ว คนพวกนี้ทำผิดกฎของหมู่บ้าน พี่พันแสงก็ต้องตัดสินว่าจักทำอย่างไรกับคนพวกนี้ มิใช่มาหาวิธีเอาชนะทหารพม่ากันเยี่ยงนี้” มั่นบอก
“ท่านเป็นถึงหัวหน้าช่างตีดาบ แลฝีมือก็มีมิใช่น้อย เหตุใดจึงขี้ขลาดนัก”
“ไอ้เด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม ถ้าจะอวดเก่งก็จงไปอวดเก่งที่อื่น อย่ามาอวดเก่งที่หมู่บ้านนี้”
มั่นกับโหนมองหน้ากันตาเขม็ง เที่ยงตัดปัญหาขึ้นว่า
“เอาล่ะ เพื่อความสบายใจของทุกคน พวกข้าจักเป็นฝ่ายออกไปจากหมู่บ้านนี้เอง”
ทุกคนหันมองเที่ยงพร้อมกัน ไม่คิดว่าเที่ยงจะพูดแบบนี้
“จะเอาอย่างนั้นรึ” พันแสงอดใจหายไม่ได้
“เลือดนักรบของพวกข้านั้นเข้มเกินกว่าที่จะนั่งงอมืองอเท้าอยู่เฉยๆ ฉะนั้นพวกข้าขอออกไปสู้อย่างมีศักดิ์ศรีจะดีกว่า”
มั่นมองเที่ยงตาขุ่น ไม่พอใจที่โดนเหน็บแนม เที่ยงมองตอบด้วยสายตาแข็งกร้าว ไม่ได้กลัวเกรงแต่อย่างใด

มะขามพูดด้วยสีหน้าตื่นตกใจเล็กน้อย หลังจากรู้ว่าพวกกล้าจะพากันออกไปจากหมู่บ้าน
“ข้าขอไปด้วยคนนะ”
เห็นทุกคนนั่งคุยกันอยู่บริเวณที่พัก ต่างคนต่างเครียด
“เจ้าจะตามไปด้วยทำไม” กล้าเสียงขุ่น
“อ้าว ข้าไม่ไปด้วย แล้วข้าจะอยู่ที่นี่กับใครล่ะ”
“อยู่กับลิงกับบ่างกระมัง”
มะขามหัวเสีย “ถ้าเก่งแต่พูดจาสัพยอกแดกดันหาเนื้อความไม่ได้ก็ไม่ต้องพูด นั่งเงียบๆไป”
โหนรำคาญ “ไอ้กล้า เอ็งก็อย่าสัพยอกนังมะขามให้มากนักเลย ทะเลาะกับไอ้มั่นคนนึงข้าก็ปวดหัวพอแล้ว”
“ก็คนอยู่ที่หมู่บ้านนี้ตั้งเยอะ ยังจะถามอีกว่าจะอยู่กับใคร”
มะขามไม่ยอม “แล้วที่เจ้าไม่อยากให้ข้าไปด้วย เป็นเพราะอะไรรึ”
กล้าอึกอัก ใจจริงเป็นห่วงแต่ปากแข็ง “เจ้าไปก็ไปเป็นภาระพวกข้าเสียเปล่า”
“ภาระรึ”
“เจ้าไปจะเป็นอันตรายเปล่าๆน่ะ อยู่ที่นี่เถิด ปลอดภัยดี” กล้าบอก
“ก็คงมีแต่เจ้าคนเดียวที่เป็นห่วงข้าแบบนี้"
มะขามยิ้มหวานให้นิล สบตากัน กล้าเห็นแล้วก็ออกอาการฮึดฮัดเล็กน้อย เที่ยงครุ่นคิดเห็นข้อดีในการมีมะขามไปด้วย บอกทุกคนว่า
“แต่ข้าว่าถ้ามะขามไปด้วยอาจจะเป็นผลดีกับพวกเราก็ได้นะ”
“อย่างไรรึครู” โหนสงสัย
“พวกเรามีแต่ผู้ชาย การจะเข้าไปสอดแนมอาจเป็นเรื่องยาก แต่ถ้ามะขามไปด้วย การสอดแนมอาจจะง่ายขึ้น”
มะขามยิ้มแฉ่ง “จริงจ้ะครู มันจะง่ายขึ้นมากเลยจ้ะ”
“มั่นใจขนาดนั้นเลยรึ” กล้าหมั่นไส้
“หุบปาก”
มะขามมองตาเขม็ง กล้าหน้าเจื่อนเมื่อเห็นมะขามโกรธจริง ส่วนนิลก็ยิ้มดีใจที่มะขามจะได้ตามไปด้วย

รุ่งเช้าโหนชูมือบิดขี้เกียจล้างหน้าอยู่ที่ลำธาร จนเห็นจำปาถือข้าวห่อใบบัวเดินเข้ามาหายิ้มทักทายยื่นห่อข้าวให้
“ข้าทำข้าวห่อใบบัวมาให้”
“แล้วคนอื่นล่ะ”
“ข้าให้คนเอาไปแจกจ่ายแล้วล่ะ เจ้ากินเสียเถิด ต้องเดินทางอีกไกล เดี๋ยวจะไม่มีแรง"
โหนแกะห่อข้าว “พ่อเจ้ามาเห็นจะว่ากระไรไหมนี่”
“ไม่หรอก จริงแล้วพ่อข้าก็ไม่อยากจะให้พวกเจ้าออกไปจากหมู่บ้านหรอกนะ แต่ลุงมั่นเป็นคนยอมหักแต่ไม่ยอมงอ พ่อเลยไม่อยากจะมีปัญหาด้วย”
“ช่างเถิด ข้าเข้าใจความรู้สึกพ่อเจ้า แล้วก็ไม่ได้โกรธพ่อเจ้าแม้แต่น้อย”
จำปายิ้มรับ ดีใจที่โหนไม่ถือโทษโกรธพันแสง โหนกินข้าวคำแรกก็ถูกปาก ติดใจในรสชาติ
“ข้าวนี่ฝีมือเจ้ารึ”
“จ้ะ เป็นอย่างไรบ้าง”
“รสชาติถูกปากข้ามาก”
จำปายิ้มดีใจ “จริงรึ”
“จริงสิ” นิ่งไปนิดๆ นึกถึงเมียรัก “รสชาติไม่ต่างกับที่เอื้อยทำเลย”
“เอื้อย น้องสาวเจ้ารึ”
“คนรักของข้าน่ะ”
จำปาอึ้งไป แล้วยิ้มกลบเกลื่อน “แล้วตอนนี้นางอยู่ที่ไหนล่ะ”
“นางตายด้วยน้ำมือของทหารพม่าน่ะ”
“ข้าเสียใจด้วยนะ”
โหนพยักหน้า น้ำตาไหลซึมออกมานิดๆ ใช้นิ้วปาดเช็ดน้ำตาตัวเอง
“ดูเจ้ายังเสียใจอยู่มาก”
“ไม่ว่าเอื้อยจะจากไปนานสักเพียงใด เอื้อยก็ยังอยู่ในใจของข้าเสมอ”
โหนนิ่งงันไปด้วยความเสียใจ ส่วนจำปาอึ้งไป พยายามเก็บความรู้สึกตัวเองไว้ไม่ให้โหนรู้

กล้า นิล เที่ยง โหน มะขาม พร้อมชายฉกรรจ์ 4 คนเดินออกมาที่หน้าทางเข้าหมู่บ้าน มีพันแสงและจำปาเดินออกมาส่ง
“ส่งพวกข้าแค่นี้ก็พอ ท่านพันแสง”
“คุณพระคุณเจ้าคุ้มครองนะ ขอให้ทุกคนอยู่รอดปลอดภัย” พันแสงอำนวยชัย
“หวังว่าเราจะได้พบกันอีกนะจ๊ะ” จำปายิ้มให้
มะขามยิ้มตอบ “จ้ะ ข้าก็หวังให้เป็นเช่นนั้น”
“ข้าฝากดูแลคนของข้าด้วยนะท่านพันแสง” กล้าว่า
“ข้าจะดูแลทุกคนที่อยู่ที่นี่อย่างดี เจ้าไม่ต้องห่วงหรอก”
มั่นเดินเลียบๆ เคียงๆ ออกมามอง ทุกคนหันไปเห็น โหนอารมณ์ขึ้นก่อนใคร
“รีบไปกันเถิด ประเดี๋ยวใครบางคนจะอกแตกตายเสีย”
มั่นนิ่งเฉย พยายามสะกดอารมณ์ไม่ให้โกรธกับคำเสียดสีของโหน
“พวกข้าลานะท่านพันแสง” เที่ยงเป็นตัวแทนเอ่ยลา
ทุกคนยกมือไหว้ลาพันแสง เที่ยงเดินนำทุกคนออกไป พันแสงมองตามรู้สึกผิดที่ปล่อยให้ทุกคนออกไปโดยที่ช่วยอะไรไม่ได้

โหนหันกลับมามองจำปาเชิงบอกลา จำปายิ้มให้ ในใจอาลัยอาวรณ์ไม่น้อย

อ่านต่อตอนที่ 16
กำลังโหลดความคิดเห็น