xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

วิวัฒนาการระบอบพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญของสวีเดน (59): การสิ้นสุดสมบูรณาญาสิทธิราชย์สวีเดน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์

คนแคระบนบ่ายักษ์
ไชยันต์ ไชยพร


ความโดดเด่น  ประการที่ 4 คือ การปกครองในระบอบพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญของสวีเดนได้รับการขนานนามว่าเป็น  “ยุคแห่งเสรีภาพ”  และรัฐธรรมนูญฉบับ ค.ศ. 1720 ก็ได้รับการยกย่องจากบรรดานักคิดยุคแสงสว่างทางปัญญา (the Enlightenment) ของฝรั่งเศสว่าเป็นรัฐธรรมนูญที่ดีที่สุดในขณะนั้น โดยกำหนดให้อำนาจสูงสุดอยู่ที่สภาฐานันดร แต่ระบอบพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญของสวีเดนก็มีอายุได้เพียง 54 ปีก็มีอันต้องสิ้นสุดลง และเปลี่ยนแปลงไปสู่ระบอบที่พระมหากษัตริย์มีพระราชอำนาจนำและมีพระราชอำนาจมากขึ้น แต่กระนั้น พระมหากษัตริย์ก็ยังอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ แต่เป็นรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่พระมหากษัตริย์ทรงร่างขึ้นเอง นั่นคือ  รัฐธรรมนูญ ค.ศ. 1772 

นักวิชาการที่ศึกษาประวัติศาสตร์การเมืองสวีเดนเรียกระบอบการปกครองของสวีเดนในช่วงนี้ว่า เป็นสมบูรณาญาสิทธิราชย์แบบไม่เต็มที่นักหรือเป็นสมบูรณาสิทธิ์ปานกลาง (moderate absolutism) และยังคงให้สภาฐานันดรมีอำนาจนิติบัญญัติอยู่บ้าง

แม้ว่าการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ค.ศ. 1772 จะเกิดจากการทำรัฐประหารโดยพระมหากษัตริย์ โดยมีการใช้กำลังทหารเข้าขู่บังคับ แต่ก็ไม่มีการบาดเจ็บเสียเลือดเนื้อแต่อย่างใด และยังได้รับการตอบรับจากประชาชนในเมืองหลวงอย่างยิ่ง เนื่องจากช่วงเวลา 54 ปีภายใต้ “ยุคแห่งเสรีภาพ” และ “รัฐธรรมนูญ ค.ศ. 1720 ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นรัฐธรรมนูญที่ดีที่สุดในขณะนั้น” กระนั้นก็ดี การเมืองภายใต้อภิชนนักการเมืองในสภาฐานันดรกลับเต็มไปด้วยความขัดแย้งแก่งแย่งอำนาจและมีการทุจริตรับสินบนจากต่างชาติมาใช้ในการหาเสียงในสภาและกำหนดนโยบายต่างประเทศจนนำไปสู่ทางตันทางการเมือง

หนึ่งปีหลังจากพระเจ้าชาร์ลสที่สิบสองสวรรคต สภาฐานันดรได้ลงมติประกาศใช้  “บทบัญญัติแห่งสภาฐานันดรแห่งราชอาณาจักรสวีเดน”  ในปี ค.ศ. 1719 ซึ่งถือเป็นหมุดหมายของการเปลี่ยนแปลงจากระบอบที่อำนาจอยู่ในมือของคนๆ เดียวเข้าสู่จุดเริ่มต้นของอำนาจของรัฐสภา (Riksdag) แต่เป็นรัฐสภาในฐานะที่เป็นฐานอำนาจของพวกอภิชนชนชั้นสูงในการลดทอนพระราชอำนาจสถาบันพระมหากษัตริย์ในการบริหารราชการแผ่นดิน และหลังการสิ้นสุดของระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ของสวีเดนในปี ค.ศ. 1719 สวีเดนก็ได้เริ่มก้าวเข้าสู่ระบอบพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ ซึ่งถือว่าเป็นประเทศแรกที่มีระบอบพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญลายลักษณ์อักษร อีกทั้งยังอยู่ในเงื่อนไขที่ในศัพท์ทางรัฐศาสตร์สมัยใหม่เรียกว่า  อำนาจสูงสุดอยู่ที่รัฐสภา (parliamentary supremacy) ซึ่งนับว่าก้าวหน้ามากกว่าประเทศอื่นๆ ในยุโรปรวมทั้งสห ราชอาณาจักรด้วยที่กว่าอำนาจสูงสุดจะอยู่ที่รัฐสภาของสหราชอาณาจักรก็ต้องอาศัยเวลาพัฒนาจนถึงครึ่งหลังของศตวรรษที่สิบเก้า

แต่ระบอบพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญลายลักษณ์อักษรของสวีเดนที่ก้าวหน้ามากนี้ได้สิ้นสุดลงในปี ค.ศ. 1772 ด้วยอายุขัยเพียง 54 ปี

ปรากฎการณ์ทางการเมืองที่เกิดขึ้นหลังสวีเดนเข้าสู่ระบอบพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญคือ การฆาตกรรมผ่านระบบตุลาการ ครั้งที่หนึ่ง (the first judicial murder) 

หนึ่งในกระบวนการทางกฎหมายที่เกิดขึ้นทันทีภายใต้ “บทบัญญัติแห่งสภาฐานันดรแห่งราชอาณาจักรสวีเดน ค.ศ. 1719”  คือ การกำจัดซากเดนของอำนาจเก่า นั่นคือ ได้มีการตั้งคณะกรรมการพิเศษขึ้นเพื่อพิจารณาคดีของ  Görtz   ที่ถูกคุมขังไว้ด้วยข้อหากีดกันชาวสวีเดนจากการดำเนินกิจการที่สำคัญของชาติ, ทำให้ระบบการเงินของประเทศพังทลาย, และกระทำให้สงครามยืดเยื้อเกินความจำเป็น Görtz ถูกตัดสินโทษและถูกประหารชีวิตอย่างรวดเร็วด้วยคำสั่งพิเศษจาก พระราชินี Ulrica Eleanor  แม้ว่าจะมีผู้ประท้วงว่าการดำเนินคดีไม่ได้กระทำตามกระบวนการทางกฎหมายที่ถูกต้องก็ตาม ทั้งนี้ การสูญเสีย Görtz ซึ่งเป็นนักการทูตคนสำคัญในสภาวะสงคราม ทำให้การเจรจาสันติภาพในเวลาต่อมากลับมีความยากลำบากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะกับรัสเซียซึ่งมีผลประโยชน์ร่วมกับ  Charles Fredrik Duke of Holstein  มากกว่ากับ  Frederick of Hesse   แม้ว่า Görtz จะเป็นผู้ที่สนับสนุน Charles XII และระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ แต่การที่เขาถูกตัดสินประหารชีวิตโดยไม่ผ่านกระบวนการยุติธรรมปกติถือว่าเขาได้ตกเป็นเหยื่อของความผิดพลาดที่เกิดขึ้นบนความขัดแย้งระหว่างระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์และการต่อต้านสมบูรณาญาสิทธิราชย์ มีผู้กล่าวว่า การตัดสินประหารชีวิต Gortz ถือเป็น การฆาตกรรมผ่านระบบตุลาการครั้งแรกในยุคแห่งเสรีภาพของสวีเดน

หลังจากขึ้นครองราชย์ภายใต้ “บทบัญญัติแห่งสภาฐานันดรแห่งราชอาณาจักรสวีเดน ค.ศ. 1719” สมเด็จพระราชินี Urika Eleonora ทรงประสบกับความยุ่งยากอย่างยิ่งในการที่จะปฏิบัติตามเงื่อนไขใหม่ที่พระราชอำนาจที่จำกัดภายใต้รัฐธรรมนูญ พระองค์ทรงพยายามที่จะปกครองในแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์แบบเดิมตามแบบ Charles XII ซึ่งก็เป็นที่เข้าใจได้ เพราะพระองค์ทรงเติบโตมาภายใต้ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ อีกทั้งก่อนหน้าที่สวีเดนจะเข้าสู่ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ในรัชสมัยของ Charles XI พระราชบิดาของพระองค์ การเมืองการปกครองของสวีเดนก็อยู่ภายใต้ระบอบที่พระมหากษัตริย์ทรงมีพระราชอำนาจมากมาตลอดนับตั้งแต่ในรัชสมัยของ Gustav Vasa ปี ค.ศ. 1523 อันเป็นช่วงที่ Gustav Vasa ทำการปฏิรูปการเมืองการปกครองของสวีเดนให้เข้าสู่การเป็นรัฐชาติ ขณะเดียวกัน จารีตประเพณีการปกครองของสวีเดนที่สภาฐานันดรมีอำนาจมากนั้นก็เกิดขึ้นมาในศตวรรษที่สิบสี่ และไม่ได้ดำเนินต่อเนื่องอย่างราบรื่นมาตลอด จึงเป็นเรื่องยากที่พระองค์จะคุ้นเคยและปฏิบัติตามจารีตประเพณีดังกล่าว

ปัญหาดังกล่าวนี้น่าจะเกิดขึ้นกับทุกประเทศที่เพิ่งมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองใหม่ๆที่เปลี่ยนจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ไปสู่ระบอบที่พระราชอำนาจพระมหากษัตริย์ถูกจำกัดหรือที่เรียกว่า  ปรมิตตาญาสิทธิราชย์ (Limited Monarchy)  หรือ  พระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ (constitutional monarchy)  และระดับความเข้มข้นของปัญหาในการปรับตัวของพระมหากษัตริย์ต่อรูปแบบการปกรองใหม่จะยิ่งมีมาก หากการเปลี่ยนแปลงการปกครองเกิดขึ้นภายใต้เงื่อนไขดังต่อไปนี้คือ

 “ไม่มีการใช้กำลังความรุนแรงในการเปลี่ยนแปลง ทำให้ตัวแสดง ทางการเมืองที่เคยมีอำนาจอยู่เดิมและยังคงดำรงอยู่ต่อไปในระบอบใหม่ แต่ถูกจำกัดอำนาจ ย่อมจะไม่เกิดความเกรงกลัว และไม่มีแรงขับเพียงพอที่จะให้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมที่เคยชินในการใช้อำนาจของตน และจะยังคงพยายามที่จะใช้อำนาจในแบบที่เคยใช้อยู่

และการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นเป็นการเปลี่ยนแปลงขอบเขตของการใช้อำนาจอย่างสุดโต่งกะทันหันฉับพลัน เช่น ในระบอบการปกครองเก่า

ตัวแสดงการเมืองหลักเคยมีอำนาจคิดเป็น 100 แต่ในระบอบการปกครองใหม่ ถูกลดอำนาจลงเหลือ 10 เป็นต้น” 
 
แต่ถ้าในทางปฏิบัติ อำนาจของตัวแสดงหลักในทางการเมืองได้ค่อยๆ ลดทอนมาเรื่อยๆ จนเกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครอง แม้ว่าตามรัฐธรรมนูญหรือตามกฎหมายจะกำหนดไว้ให้ตัวแสดงหลักนั้นมีอำนาจมากเพียงไร ระดับความเข้มข้นของปัญหาในการปรับตัวของตัวแสดงทางการเมืองเดิมต่อรูปแบบการปกรองใหม่จะยิ่งมีไม่มาก การเปลี่ยนผ่านในการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองการปกครองที่เกิดขึ้นก็จะไม่เกิดปัญหามากนัก
แต่ในกรณีที่มีการใช้กำลังความรุนแรงในการเปลี่ยนแปลงการเมืองการปกครอง อย่างเช่น กรณีสงครามกลางเมืองระหว่าง Charles I กับฝ่ายรัฐสภาในอังกฤษระหว่าง ค.ศ. 1642-1649 และลงเอยด้วยความพ่ายแพ้ของฝ่าย Charles I และมีการพิพากษาสำเร็จโทษพระองค์ และหลังจากนั้นเป็นเวลาสิบปี ได้มีการรื้อฟื้นสถาบันพระมหากษัตริย์กลับขึ้นมาใหม่ในระบอบการปกครองของอังกฤษโดยกราบบังคมทูลเชิญให้ Charles II ให้ขึ้นครองราชย์ จะพบว่า Charles II ไม่ได้พยายามที่จะใช้พระราชอำนาจอย่างไม่จำกัดเหมือนในรัชสมัยของ Charles I และต่อจาก Charles II แม้ว่า James จะพยายามที่ใช้พระราชอำนาจอย่างกว้างขวางอีก แต่เมื่อฝ่ายรัฐสภายืนยันที่จะทัดทานและถอดถอนพระองค์ James ก็ไม่ได้พยายามที่จะขัดขืนโดยใช้พระราชอำนาจในการทำสงครามต่อสู้กับฝ่ายรัฐสภาอีก ด้วยพระองค์ได้ทรงเรียนบทเรียนจากกรณีของ Charles I ไปแล้ว และพระองค์ยอมที่จะสละราชสมบัติตามแรงกดดันของฝ่ายรัฐสภา
หรือในกรณีที่พระมหากษัตริย์ทรงสมัครใจที่จะยอมรับการเปลี่ยนแปลงการปกครองที่มีแรงกดดันจากการเคลื่อนไหวของกลุ่มการเมือง การปรับตัวต่อขอบเขตพระราชใหม่ที่ถูกจำกัดก็ไม่เป็นปัญหา อย่างในกรณีของ Frederick VII ในการเปลี่ยนแปลงการปกครองของเดนมาร์ก ค.ศ. 1849 ที่เปลี่ยนจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาสู่ระบอบพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ โดยทรงยอมรับข้อเรียกร้องให้เดนมาร์กปกครองภายใต้รัฐธรรมนูญของกลุ่มเสรีชาตินิยม

หรือในกรณีของภูฏานที่พระมหากษัตริย์ทรงค่อยๆ ริเริ่มการปฏิรูปทางการเมืองการปกครองจนกระทั่งเข้าสู่ระบอบพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญในปี ค.ศ. 2008 ซึ่งทั้งกรณีเดนมาร์กและภูฏานไม่ถือว่ามีการใช้กำลังความรุนแรงใดๆ และไม่ถือว่ามีการทำรัฐประหารเกิดขึ้น

อย่างไรก็ตาม ในกรณีการเปลี่ยนแปลงการปกครองของสวีเดน ค.ศ. 1718 ถือว่าเป็นกรณีพิเศษเนื่องจากไม่ได้มีแรงกดดันใดๆเกิดขึ้นชัดเจนมาก่อน จะมีก็เพียงแต่กระแสที่เป็นข่าวลือในช่วงระหว่าง ค.ศ. 1713-1714 แต่การเปลี่ยนแปลงการปกครองของสวีเดน ค.ศ. 1718 มีสาเหตุสำคัญจากการที่ Charles XII เสด็จสวรรคตโดยกะทันหัน และไม่ทรงมีพระราชโอรสและพระราชธิดา เกิดปัญหาในการสืบราชสันตติวงศ์ และความหน่ายแหนงของผู้คนต่อการสูญเสียชีวิตผู้คนและปัญหาเศรษฐกิจที่เกิดจากนโยบายการทำสงครามของ Charles XII และการพ่ายแพ้สงคราม จึงเป็นเงื่อนไขที่ทำให้ฝ่ายอภิชนในสภาฐานันดรก็ดี กองทัพและสภาบริหารก็ดีฉวยโอกาสในการต่อรองการปรารถนาที่จะขี้นครองราชย์ของ Urika Eleonora อันนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงการปกครองและการเกิดบทบัญญัติฯ ค.ศ. 1719 และรัฐธรรมนูญ ค.ศ. 1720

ขณะเดียวกัน ก็ไม่ได้มีการใช้กำลังความรุนแรงแต่อย่างใดเลยในการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ค.ศ. 1718 จะมีแต่ก็แต่การต่อรองจากฝ่ายอภิชนในสภาฐานันดร ซึ่งก็เป็นการต่อรองตามอำนาจที่ดำรงอยู่ในจารีตประเพณีการปกครองในสภาวะที่ราชบัลลังก์ว่างลง และยังไม่มีการกำหนดตัวองค์รัชทายาท และการปรับเปลี่ยนแก้ไขตัวบทกฎหมายที่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองนั้นก็ถือว่าเกิดขึ้นจากการต่อรองแลกเปลี่ยนและตกลงทำสัญญาระหว่างกัน ในแง่หนึ่ง ถือได้ว่าเป็นความสมัครใจของ Urika Eleonora เองที่จะสละพระราชอำนาจและยอมรับการสิ้นสุดของระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ แม้ว่าพระองค์จะทรงคาดการณ์ได้ว่า พระองค์จะไม่ทรงมีพระราชอำนาจได้เหมือนพระมหากษัตริย์พระองค์ก่อน แต่การปรับตัวก็ค่อนข้างจะยากลำบาก เพราะพระองค์ไม่ได้ทรงต้องประสบกับการใช้กำลังความรุนแรงและพระองค์ก็ไม่ทรงริเริ่มที่จะให้มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองเอง แต่เกิดจากความจำเป็นที่จะต้องรับสภาพ หากพระองค์หวังให้สภาฐานันดรลงมติเลือกพระองค์ให้เป็นสมเด็จพระราชินีสวีเดนต่อจาก Charles XII
(โปรดติดตามตอนต่อไป)


กำลังโหลดความคิดเห็น