"ปัญญาพลวัตร"
"พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต"
การสำรวจคะแนนนิยมของนิด้าโพลครั้งที่ 2/2565 ในเดือนมิถุนายน มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญเกิดขึ้น คะแนนนิยมของ น.ส. แพทองธาร ชินวัตร พุ่งทะยานเป็นลำดับหนึ่ง ได้ร้อยละ 25.28 นำห่าง นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ และพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา มากกว่าร้อยละ 10 ขณะเดียวกันความนิยมของพรรคเพื่อไทยก็เพิ่มขึ้น เป็นร้อยละ 36.26 นำห่างจากพรรคการเมืองอื่น ๆ มากทีเดียว การเพิ่มขึ้นของคะแนนนิยมทั้งตัวบุคคลและพรรรคของพรรคเพื่อไทยสร้างผลกระทบต่อชุมชนการเมืองไทยอย่างใหญ่หลวง นักการเมืองและพรรคการเมืองอื่น ๆ จำต้องทบทวนและปรับยุทธศาสตร์อย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
นอกจากความนิยมจะเพิ่มขึ้นในภาพรวมแล้ว รายละเอียดที่เชื่อมโยงระหว่างคะแนนนิยมกับภูมิภาคก็เป็นสิ่งที่น่าสนใจ ซึ่งจะทำให้สามารถทำความเข้าใจพลวัตของการเมืองไทยมากขึ้น การสำรวจเมื่อเดือนมิถุนายน 2565 น.ส. แพทองธาร มีคะแนนนิยมเหนือผู้นำการเมืองคนอื่น ๆ ใน 3 ภาคคือ ปริมณฑลและภาคกลาง ภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และมากกว่า “ยังหาคนที่เหมาะสมไม่ได้” อีกด้วย ขณะที่พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชายังคงมีคะแนนนิยมมากที่สุดในบรรดานักการเมืองภาคใต้ แต่ยังน้อยกว่า “ยังหาคนที่เหมาะสมไม่ได้” อยู่เล็กน้อย ส่วนนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ มีคะแนนนำผู้นำการเมืองคนอื่นในกรุงเทพมหานคร แต่น้อยกว่า “ยังหาคนที่เหมาะสมไม่ได้”
ชาวกรุงเทพมหานครที่ระบุว่า “ยังหาคนเหมาะสมไม่ได้” มีสัดส่วนมากที่สุด รองลงมานิยมนายพิธา พลเอกประยุทธ์ และ น.ส. แพทองธารตามลำดับ แสดงให้เห็นว่าภายใต้การปรากฏตัวของบรรดาผู้นำทางการเมืองในระยะนี้ ยังไม่ค่อยต้องรสนิยมของคนกรุงเทพมากนัก จึงไม่มีผู้นำการเมืองระดับชาติคนใดที่ครองใจคนส่วนใหญ่ในกรุงเทพฯได้ และที่สำคัญสัดส่วนของคนกรุงเทพที่คิดว่า “ยังไม่มีผู้นำการเมืองคนใดเหมาะสมเป็นนายกฯ” กลับเพิ่มขึ้นล็กน้อยเมื่อเทียบกับการสำรวจในเดือนมีนาคม 2565
สำหรับจังหวัดปริมณฑลและภาคกลางมีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญมากทีเดียว โดย น.ส. แพทองธาร มาเป็นลำดับที่หนึ่ง รองลงมาคือนายพิธา และพลเอกประยุทธ์ตามลำดับ ที่น่าสังเกตคือสัดส่วนของ “ยังหาคนที่เหมาะสมไม่ได้” ลดลงถึงครึ่งหนึ่งจากการสำรวจเมื่อเดือนมีนาคม และคนเหล่านี้เคลื่อนตัวไปสนับสนุนน.ส. แพทองธาร มากที่สุด ขณะที่ บางส่วนซึ่งไม่มากนักไปสนับสนุนนายพิธา และพลเอกประยุทธ์
ในภาคเหนือ น.ส. แพทองธาร ได้รับการสนับสนุนมากที่สุด หรือปะมาณหนึ่งในสามของผู้ที่ตอบแบบสำรวจ ถัดมา “ยังหาคนเหมาะสมไม่ได้” นายพิธา และพลเอกประยุทธ์ตามลำดับ เมื่อเทียบกับการสำรวจเมื่อในเดือนมีนาคม น.ส. แพทองธาร ได้รับการสนับสนุนเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมีนัยสำคัญ ขณะที่นายพิธา และพลเอกประยุทธ์ กลับได้รับการสนับสนุนลดลงเล็กน้อย
ด้านภาคตะวันออกเฉียงเหนือ น.ส. แพทองธาร ก็ได้รับคะแนนนิยมมากที่สุด รองลงมา “ยังหาคนที่เหมาะสมไม่ได้” นายพิธา และพลเอกประยุทธ์ ตามลำดับ เมื่อเทียบกับการสำรวจเดือนมีนาคม น.ส. แพทองธารได้คะแนนนิยมเพิ่มขึ้นค่อนข้างมาก ขณะที่นายพิธา และพลเอกประยุทธ์ ลดลงเล็กน้อย ที่น่าสังเกตคือ แบบแผนของคะแนนนิยมระหว่งภาคเหนือกับภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีความคล้ายคลึงกัน
ในภาคใต้ “ยังหาคนที่ไม่เหมาะสมไม่ได้” มีสัดส่วนมากที่สุด รองลงมาคือ พลเอกประยุทธ์ นายพิธา และ น.ส. แพทองธาร เมื่อเปรียบเทียบกับเดือนมีนาคม มีความน่าสนใจคือ คะแนนนิยมของนายพิธา และพลเอกประยุทธ์ ลดลงเล็กน้อย แต่คะแนนนิยมของน.ส. แพทองธาร กลับเพิ่มขึ้นถึงประมาณร้อยละ 5 ทีเดียว นั่นแสดงว่าแแม้แต่คนภาคใต้ ซึ่งส่วนใหญ่ไม่นิยมชมชอบตระกูลชินวัตร แต่ก็ยังมีคนใต้อีกจำนวนหนึ่งสนับสนุนตระกูลชินวัตร
แบบแผนคะแนนนิยมพรรคการเมืองมีความน่าสนใจไม่แพ้กัน และมีประเด็นที่น่าสังเกตคือ คะแนนนิยมของพรรคการเมืองเกือบทั้งหมดมีสัดส่วนสูงกว่าคะแนนนิยมของผู้นำการเมืองที่เชื่อมโยงกับพรรคนั้น คะแนนนิยมของพรรคเพื่อไทยมากกว่า น.ส. แพทองธาร พรรคก้าวไกลมากกว่านายพิธา พรรคประชาธิปัตย์มากกว่านาจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ นั่นแสดงว่า ในยุคปัจจุบันคนไทยเริ่มให้ความสำคัญกับพรรคมากกว่าตัวผู้นำมากขึ้น มีกรณียกเว้นก็เพียงพรรคพลังประชารัฐ ที่มีคะแนนิยมของพรรคน้อยกว่าคะแนนนิยมของพลเอกประยุทธ์
พรรคที่ได้รับคะแนนนิยมสูงสุดในทุกภาคยกเว้นภาคใต้คือพรรคเพื่อไทย ซึ่งในกรุงเทพฯ พรรคเพื่อไทยนำพรรคก้าวไกลอยู่เล็กน้อย เริ่มนำห่างมากขึ้นในปริมณฑลและภาคกลาง และนำห่างมากทีเดียวในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ส่วนภาคใต้นั้น พรรคประชาธิปัตย์ยังคงมีคะแนนนำเหนือพรรคการเมืองอื่น ๆ แต่ที่น่าสังเกตคือ คะแนนของพรรคเพื่อไทยเพิ่มขึ้นมาเป็นพรรคลำดับสอง มีคะแนนนิยมมากกว่าพรรคก้าวไกลอยู่เล็กน้อย
ในกรุงเทพมหานคร พรรคเพื่อไทยมีคะแนนนิยมมากเป็นลำดับหนึ่ง ถัดมาเป็นพรรคก้าวไกล ซึ่งตามมาอย่างใกล้ชิด ลำดับสามคือพรรคพลังประชารัฐ และพรรคประชาธิปัตย์ แต่คะแนนของทั้งสองพรรคนี้ตามพรรคเพื่อไทยและก้าวไกลค่อนข้างห่างทีเดียว เมื่อเทียบกับเดือนมีนาคม คะแนนนิยมในกรุงเทพฯของพรรคเพื่อไทยเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ส่วนพรรคก้าวไกล และพลังประชารัฐเพิ่มขึ้นเล็กน้อย ขณะที่พรรคประชาธิปัตย์เท่าเดิม
ภาคกลาง พรรคเพื่อไทยก็มาเป็นลำดับหนึ่ง นำค่อนข้างห่างจากพรรคลำดับสองอย่างพรรคก้าวไกล ขณะเดียวกันพรรคก้าวไกล ก็นำค่อนข้างห่างจากพรรคลำดับสามและสี่อย่าง พรรคพลังประชารัฐ และพรรคประชาธิปัตย์ เมื่อเทียบกับเดือนมีนาคม พรรคเพื่อไทยมีคะแนนนิยมเพิ่มขึ้นมากอย่างมีนัยสำคัญ พรรคก้าวไกลและพรรคพลังประชารัญเพิ่มขึ้นเล็กน้อย ขณะที่พรรคประชาธิปัตย์มีคะแนนนิยมลดลง
ในภาคเหนือ พรรคเพื่อไทยก็ยังคงเป็นพรรคลำดับหนึ่ง นำพรรคลำดับสองอย่างก้าวไกลประมาณสองเท่ากว่า เช่นเดียวกันพรรคก้าวไกลก็มีคะแนนนิยมมากกว่าพรรคลำดับสามอย่างพลังประชารัฐประมาณสองเท่ากว่า เมื่อเทียบกับเดือนมีนาคม พรรคเพื่อไทยมีคะแนนเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ส่วนพรรคก้าวไกลมีคะแนนไม่เปลี่ยนแปลงจากเดิม ขณะที่พรรคพลังประชารัฐลดลงเล็กน้อย ส่วนพรรคประชาธิปัตย์เพิ่มขึ้นเล็กน้อ
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ พรรคเพื่อไทยก็ยังครองลำดับหนึ่ง นำห่างพรรคก้าวไกล ซึ่งเป็นพรรคลำดับสองมากทีเดียว ส่วนพรรคพลังประชารัฐ มาเป็นลำดับสาม และพรรคประชาธิปัตย์รั้งท้าย เมื่อเทียบกับเดือนมีนาคม พรรคเพื่อไทยมีคะแนนนิยมเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ด้านพรรคก้าวไกลเพิ่มขึ้นเล็กน้อย ขณะที่พรรคพลังประชารัฐและพรรคประชาธิปัตย์กลับมีคะแนนนิยมลดลง
ด้านภาคใต้ พรรคประชาธิปัตย์มีคะแนนนิยมมากที่สุด รองลงมาเป็นพรรคเพื่อไทย ก้าวไกล และ พลังประชารัฐ เมื่อเทียบกับเดือนมีนาคม ปรากฏว่า พรรคประชาธิปัตย์กลับมีคะแนนนิยมลดลงค่อนข้างมากทีเดียว ตรงข้ามกับพรรคเพื่อไทยที่มีคะแนนนิยมเพิ่มขึ้นค่อนข้างมาก ส่วนพรรคก้าวไกลมีคะแนนนิยมเพิ่มขึ้นเล็กน้อย กลับกัน พรรคพลังประชารัฐมีคะแนนนิยมลดลงเล็กน้อย
การเพิ่มขึ้นของคะแนนนิยมของ น.ส. แพทองธารและพรรคเพื่อไทยเป็นคะแนนที่มาจากกลุ่ม “ที่ยังไม่ตัดสินใจว่าสนับสนุนนักการเมือง และพรรคการเมืองใด” ซึ่งมีสัดส่วนสูงมากในการสำรวจเดือนมีนาคม แต่ในการสำรวจเดือนมิถุนายน สัดส่วนของกลุ่มนี้กลับลดลงเป็นอย่างมาก และเริ่มแสดงจุดยืนทางการเมืองออกมา ด้วยการสนับสนุน น.ส. แพทองธาร และพรรคเพื่อไทย
ปัจจัยที่ทำให้คะแนนนิยมของ น.ส. แพทองธาร และพรรคเพื่อไทยเพิ่มขึ้นในช่วงสามเดือนที่ผ่านมา ประกอบด้วย ความต้องการการเปลี่ยนแปลงของประชาชน การปฏิการเชิงยุทธศาสตร์ทางการเมืองอย่างเข้มข้นของพรรคเพื่อไทย และการที่คู่แข่งไม่มียุทธศาสตร์การเมืองที่โดดเด่น
ประการแรก กระแสความต้องการเปลี่ยนแปลงของประชาชน ซึ่งปรากฏให้เห็นในการเลือกตั้งท้องถิ่นในกรุงเทพมหานคร ที่ประชาชนส่วนใหญ่เลือกนายชัชชาติ สิทธิพันธ์ ซึ่งในอดีตเคยมีความสัมพันธ์กับพรรคเพื่อไทยมาก่อนเป็นผู้ว่ากรุงเทพมหานคร และการเลือกสมาชิกสภากรุงเทพมหานครที่สังกัดพรรคเพื่อไทยและพรรคก้าวไกลเป็นเสียงข้างมากในสภากรุงเทพมหานคร กระแสการเปลี่ยนแปลงของการเลือกตั้งกรุงเทพฯ ส่งผลกระทบและกระตุ้นความรู้สึกของประชาชนทั่วประเทศในทิศทางเดียวกัน ประชาชนจึงแสดงความรู้สึกของตนเองออกมาผ่านการสำรวจคะแนนนิยม เพื่อยืนยันความต้องการเปลี่ยนแปลงผู้นำและคณะผู้บริหารประเทศในปัจจุบัน ผู้คนที่เคยคิดว่า “ยังไม่มีผู้ที่เหมาะเป็นนายกฯ และยังไม่สนับสนุนพรรคการเมืองใด” ก็พร้อมใจกันไปสนับสนุนผู้นำและพรรคการเมืองที่พวกเขามองว่า มีศักยภาพที่จะเข้ามาบริหารประเทศแทนผู้บริหารชุดเก่าได้
ประการที่สอง การใช้ยุทธศาสตร์ทางการเมืองอย่างเข้มข้นของพรรคเพื่อไทย ซึ่งมีเป้าหมาย“แลนด์สไลด์” มีการกำหนดยุทธศาสตร์ครอบครัวเพื่อไทย กำหนดบทบาทให้ น.ส. แพทองธารเป็นหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย และนำนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำเสื้อแดงเข้ามาเป็นผู้อำนวยการครอบครัว เพื่อดึงคนเสื้อแดงที่ห่างเหินและละทิ้งพรรคให้กลับมาสนับสนุนพรรคอีกครั้ง ในช่วงสองสามเดือนที่ผ่านมา พรรคเพื่อไทยเดินสายหาเสียงในภาคตะวันออกเฉียงเหนืออย่างต่อเนื่อง และมีการโฆษณาส่งเสริมบทบาทของ น.ส. แพทองธารอย่างกว้างขวาง จนสร้างการรับรู้อย่างแพร่หลายในกลุ่มมวลชนเสื้อแดงและผู้ที่เคยสนับสนุนพรรคเพื่อไทยมาก่อน ทำให้มวลชนรับรู้ถึงความมุ่งมั่นตั้งใจและการเอาจริงเอาจังต่อชัยชนะการเลือกตั้งครั้งหน้าของพรรคเพื่อไทย รวมทั้งยอมรับ น.ส. แพทองธาร ในฐานะผู้นำของพรรคมากขึ้น จึงได้ออกมาแสดงความคิดเห็นทางการเมืองอย่างชัดเจนในการสำรวจครั้งล่าสุดในเดือนมิถุนายนของนิด้าโพล
ประการที่สาม คู่แข่งเชิงพันธมิตรทางการเมืองที่สำคัญอย่างนายพิธาและพรรคก้าวไกล ไม่มีดำเนินการยุทธศาสตร์การเมืองที่โดดเด่นเพียงพอต่อการก่อเป็นกระแสความนิยมขึ้นมาได้ ขณะที่พรรคคู่แข่งเชิงปรปักษ์อย่างพรรคพลังประชารัฐ ประชาธิปปัตย์ และภูมิใจไทย ก็ตกเป็นเป้าของการวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับความล้มเหลวในการบริหารประเทศ จนไม่อาจพลิกฟื้นสร้างกระแสความนิยมให้กลับคืนมาได้ และพรรคฝ่ายรัฐบาลจะประสบกับการวิพากษ์วิจารณ์ที่รุนแรงมากยิ่งขึ้นในการอภิปรายไม่ไว้วางใจกลางเดือนกรกฎาคมที่จะถึงนี้ และมีความเป็นไปได้ว่า จะส่งผลกระทบให้คะแนนนิยมของทั้งสามพรรคลดลงไปอีกในอนาคต
อย่างไรก็ตาม ความนิยมทางการเมืองมีลักษณะพลวัตค่อนข้างสูง การที่ได้รับคะแนนนิยมสูงในช่วงนี้ ไม่ได้เป็นหลักประกันว่าจะได้รับคะแนนนิยมสูงในอนาคต และการสำรวจคะแนนนิยมในภาพรวมทั้งประเทศสามารถนำไปอนุมานได้อย่างค่อนข้างแม่นยำในการเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อเป็นหลัก แต่ไม่อาจนำไปใช้ในการอนุมานการเลือกตั้งแบบแบ่งเขตได้
หากต้องการประเมินในระดับเขตก็ต้องสำรวจกันในระดับเขตเลือกตั้งนั้น ๆ เป็นรายเขต ถึงกระนั้น ก็ใช่ว่าจะเป็นสิ่งที่สามารถรับประกันความแม่นยำในการทำนายผลเลือกตั้งของเขตเหล่านั้นได้ เพราะการเลือกตั้งในระดับเขตของสังคมไทยนั้น ความนิยมต่อพรรค ต่อผู้นำพรรค และต่อผู้สมัครรับเลือกตั้ง เป็นปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินเพียงส่วนหนึ่งของประชาชนเท่านั้น ในท่ามกลางปัจจัยอื่น ๆ ที่ทรงพลังไม่ยิ่งหย่อนกว่ากันโดยฉพาะ ปัจจัยการมีทรัพยากร และประสิทธิภาพในการใช้ทรัพยากรระหว่างการเลือกตั้งเพื่อแปลงเป็นคะแนนนิยมเป็นคะแนนเสียงจริง ความเข้มแข็งและครอบคลุมของเครือข่ายหัวคะแนน และยุทธศาสตร์และนโยบายที่ใช้หาเสียงในช่วงการเลือกตั้ง
แม้ขณะนี้ พรรคเพื่อไทยอยู่ในสถานการณ์ที่ได้เปรียบทางการเมือง และส่อแววว่ามีแนวโน้มจะชนะเลือกตั้งมากที่สุดในอนาคต แต่ความแปรผันก็ยังคงดำรงอยู่เสมอ หากไม่สามารถยึดกุมสภาพแบบนี้ให้คงอยู่ได้ จนเกิดอุบัติเหตุที่อยู่เหนือความคาดหมาย ความพลิกผันก็อาจเกิดขึ้นได้เช่นเดียวกัน และพรรคการเมืองอื่น ๆ เมื่อรับรู้สถานการณ์เช่นนี้แล้ว ก็อาจนำไปเป็นข้อมูลในการปรับโครงสร้างพรรค ปรับแกนนำ และปรับยุทธศาสตร์ทางการเมืองให้มีความแหลมคม ทรงพลัง และมีสมรรถนะในการแข่งขันกับพรรคเพื่อไทยในอนาคตได้เช่นเดียวกัน
"พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต"
การสำรวจคะแนนนิยมของนิด้าโพลครั้งที่ 2/2565 ในเดือนมิถุนายน มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญเกิดขึ้น คะแนนนิยมของ น.ส. แพทองธาร ชินวัตร พุ่งทะยานเป็นลำดับหนึ่ง ได้ร้อยละ 25.28 นำห่าง นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ และพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา มากกว่าร้อยละ 10 ขณะเดียวกันความนิยมของพรรคเพื่อไทยก็เพิ่มขึ้น เป็นร้อยละ 36.26 นำห่างจากพรรคการเมืองอื่น ๆ มากทีเดียว การเพิ่มขึ้นของคะแนนนิยมทั้งตัวบุคคลและพรรรคของพรรคเพื่อไทยสร้างผลกระทบต่อชุมชนการเมืองไทยอย่างใหญ่หลวง นักการเมืองและพรรคการเมืองอื่น ๆ จำต้องทบทวนและปรับยุทธศาสตร์อย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
นอกจากความนิยมจะเพิ่มขึ้นในภาพรวมแล้ว รายละเอียดที่เชื่อมโยงระหว่างคะแนนนิยมกับภูมิภาคก็เป็นสิ่งที่น่าสนใจ ซึ่งจะทำให้สามารถทำความเข้าใจพลวัตของการเมืองไทยมากขึ้น การสำรวจเมื่อเดือนมิถุนายน 2565 น.ส. แพทองธาร มีคะแนนนิยมเหนือผู้นำการเมืองคนอื่น ๆ ใน 3 ภาคคือ ปริมณฑลและภาคกลาง ภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และมากกว่า “ยังหาคนที่เหมาะสมไม่ได้” อีกด้วย ขณะที่พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชายังคงมีคะแนนนิยมมากที่สุดในบรรดานักการเมืองภาคใต้ แต่ยังน้อยกว่า “ยังหาคนที่เหมาะสมไม่ได้” อยู่เล็กน้อย ส่วนนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ มีคะแนนนำผู้นำการเมืองคนอื่นในกรุงเทพมหานคร แต่น้อยกว่า “ยังหาคนที่เหมาะสมไม่ได้”
ชาวกรุงเทพมหานครที่ระบุว่า “ยังหาคนเหมาะสมไม่ได้” มีสัดส่วนมากที่สุด รองลงมานิยมนายพิธา พลเอกประยุทธ์ และ น.ส. แพทองธารตามลำดับ แสดงให้เห็นว่าภายใต้การปรากฏตัวของบรรดาผู้นำทางการเมืองในระยะนี้ ยังไม่ค่อยต้องรสนิยมของคนกรุงเทพมากนัก จึงไม่มีผู้นำการเมืองระดับชาติคนใดที่ครองใจคนส่วนใหญ่ในกรุงเทพฯได้ และที่สำคัญสัดส่วนของคนกรุงเทพที่คิดว่า “ยังไม่มีผู้นำการเมืองคนใดเหมาะสมเป็นนายกฯ” กลับเพิ่มขึ้นล็กน้อยเมื่อเทียบกับการสำรวจในเดือนมีนาคม 2565
สำหรับจังหวัดปริมณฑลและภาคกลางมีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญมากทีเดียว โดย น.ส. แพทองธาร มาเป็นลำดับที่หนึ่ง รองลงมาคือนายพิธา และพลเอกประยุทธ์ตามลำดับ ที่น่าสังเกตคือสัดส่วนของ “ยังหาคนที่เหมาะสมไม่ได้” ลดลงถึงครึ่งหนึ่งจากการสำรวจเมื่อเดือนมีนาคม และคนเหล่านี้เคลื่อนตัวไปสนับสนุนน.ส. แพทองธาร มากที่สุด ขณะที่ บางส่วนซึ่งไม่มากนักไปสนับสนุนนายพิธา และพลเอกประยุทธ์
ในภาคเหนือ น.ส. แพทองธาร ได้รับการสนับสนุนมากที่สุด หรือปะมาณหนึ่งในสามของผู้ที่ตอบแบบสำรวจ ถัดมา “ยังหาคนเหมาะสมไม่ได้” นายพิธา และพลเอกประยุทธ์ตามลำดับ เมื่อเทียบกับการสำรวจเมื่อในเดือนมีนาคม น.ส. แพทองธาร ได้รับการสนับสนุนเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมีนัยสำคัญ ขณะที่นายพิธา และพลเอกประยุทธ์ กลับได้รับการสนับสนุนลดลงเล็กน้อย
ด้านภาคตะวันออกเฉียงเหนือ น.ส. แพทองธาร ก็ได้รับคะแนนนิยมมากที่สุด รองลงมา “ยังหาคนที่เหมาะสมไม่ได้” นายพิธา และพลเอกประยุทธ์ ตามลำดับ เมื่อเทียบกับการสำรวจเดือนมีนาคม น.ส. แพทองธารได้คะแนนนิยมเพิ่มขึ้นค่อนข้างมาก ขณะที่นายพิธา และพลเอกประยุทธ์ ลดลงเล็กน้อย ที่น่าสังเกตคือ แบบแผนของคะแนนนิยมระหว่งภาคเหนือกับภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีความคล้ายคลึงกัน
ในภาคใต้ “ยังหาคนที่ไม่เหมาะสมไม่ได้” มีสัดส่วนมากที่สุด รองลงมาคือ พลเอกประยุทธ์ นายพิธา และ น.ส. แพทองธาร เมื่อเปรียบเทียบกับเดือนมีนาคม มีความน่าสนใจคือ คะแนนนิยมของนายพิธา และพลเอกประยุทธ์ ลดลงเล็กน้อย แต่คะแนนนิยมของน.ส. แพทองธาร กลับเพิ่มขึ้นถึงประมาณร้อยละ 5 ทีเดียว นั่นแสดงว่าแแม้แต่คนภาคใต้ ซึ่งส่วนใหญ่ไม่นิยมชมชอบตระกูลชินวัตร แต่ก็ยังมีคนใต้อีกจำนวนหนึ่งสนับสนุนตระกูลชินวัตร
แบบแผนคะแนนนิยมพรรคการเมืองมีความน่าสนใจไม่แพ้กัน และมีประเด็นที่น่าสังเกตคือ คะแนนนิยมของพรรคการเมืองเกือบทั้งหมดมีสัดส่วนสูงกว่าคะแนนนิยมของผู้นำการเมืองที่เชื่อมโยงกับพรรคนั้น คะแนนนิยมของพรรคเพื่อไทยมากกว่า น.ส. แพทองธาร พรรคก้าวไกลมากกว่านายพิธา พรรคประชาธิปัตย์มากกว่านาจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ นั่นแสดงว่า ในยุคปัจจุบันคนไทยเริ่มให้ความสำคัญกับพรรคมากกว่าตัวผู้นำมากขึ้น มีกรณียกเว้นก็เพียงพรรคพลังประชารัฐ ที่มีคะแนนิยมของพรรคน้อยกว่าคะแนนนิยมของพลเอกประยุทธ์
พรรคที่ได้รับคะแนนนิยมสูงสุดในทุกภาคยกเว้นภาคใต้คือพรรคเพื่อไทย ซึ่งในกรุงเทพฯ พรรคเพื่อไทยนำพรรคก้าวไกลอยู่เล็กน้อย เริ่มนำห่างมากขึ้นในปริมณฑลและภาคกลาง และนำห่างมากทีเดียวในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ส่วนภาคใต้นั้น พรรคประชาธิปัตย์ยังคงมีคะแนนนำเหนือพรรคการเมืองอื่น ๆ แต่ที่น่าสังเกตคือ คะแนนของพรรคเพื่อไทยเพิ่มขึ้นมาเป็นพรรคลำดับสอง มีคะแนนนิยมมากกว่าพรรคก้าวไกลอยู่เล็กน้อย
ในกรุงเทพมหานคร พรรคเพื่อไทยมีคะแนนนิยมมากเป็นลำดับหนึ่ง ถัดมาเป็นพรรคก้าวไกล ซึ่งตามมาอย่างใกล้ชิด ลำดับสามคือพรรคพลังประชารัฐ และพรรคประชาธิปัตย์ แต่คะแนนของทั้งสองพรรคนี้ตามพรรคเพื่อไทยและก้าวไกลค่อนข้างห่างทีเดียว เมื่อเทียบกับเดือนมีนาคม คะแนนนิยมในกรุงเทพฯของพรรคเพื่อไทยเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ส่วนพรรคก้าวไกล และพลังประชารัฐเพิ่มขึ้นเล็กน้อย ขณะที่พรรคประชาธิปัตย์เท่าเดิม
ภาคกลาง พรรคเพื่อไทยก็มาเป็นลำดับหนึ่ง นำค่อนข้างห่างจากพรรคลำดับสองอย่างพรรคก้าวไกล ขณะเดียวกันพรรคก้าวไกล ก็นำค่อนข้างห่างจากพรรคลำดับสามและสี่อย่าง พรรคพลังประชารัฐ และพรรคประชาธิปัตย์ เมื่อเทียบกับเดือนมีนาคม พรรคเพื่อไทยมีคะแนนนิยมเพิ่มขึ้นมากอย่างมีนัยสำคัญ พรรคก้าวไกลและพรรคพลังประชารัญเพิ่มขึ้นเล็กน้อย ขณะที่พรรคประชาธิปัตย์มีคะแนนนิยมลดลง
ในภาคเหนือ พรรคเพื่อไทยก็ยังคงเป็นพรรคลำดับหนึ่ง นำพรรคลำดับสองอย่างก้าวไกลประมาณสองเท่ากว่า เช่นเดียวกันพรรคก้าวไกลก็มีคะแนนนิยมมากกว่าพรรคลำดับสามอย่างพลังประชารัฐประมาณสองเท่ากว่า เมื่อเทียบกับเดือนมีนาคม พรรคเพื่อไทยมีคะแนนเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ส่วนพรรคก้าวไกลมีคะแนนไม่เปลี่ยนแปลงจากเดิม ขณะที่พรรคพลังประชารัฐลดลงเล็กน้อย ส่วนพรรคประชาธิปัตย์เพิ่มขึ้นเล็กน้อ
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ พรรคเพื่อไทยก็ยังครองลำดับหนึ่ง นำห่างพรรคก้าวไกล ซึ่งเป็นพรรคลำดับสองมากทีเดียว ส่วนพรรคพลังประชารัฐ มาเป็นลำดับสาม และพรรคประชาธิปัตย์รั้งท้าย เมื่อเทียบกับเดือนมีนาคม พรรคเพื่อไทยมีคะแนนนิยมเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ด้านพรรคก้าวไกลเพิ่มขึ้นเล็กน้อย ขณะที่พรรคพลังประชารัฐและพรรคประชาธิปัตย์กลับมีคะแนนนิยมลดลง
ด้านภาคใต้ พรรคประชาธิปัตย์มีคะแนนนิยมมากที่สุด รองลงมาเป็นพรรคเพื่อไทย ก้าวไกล และ พลังประชารัฐ เมื่อเทียบกับเดือนมีนาคม ปรากฏว่า พรรคประชาธิปัตย์กลับมีคะแนนนิยมลดลงค่อนข้างมากทีเดียว ตรงข้ามกับพรรคเพื่อไทยที่มีคะแนนนิยมเพิ่มขึ้นค่อนข้างมาก ส่วนพรรคก้าวไกลมีคะแนนนิยมเพิ่มขึ้นเล็กน้อย กลับกัน พรรคพลังประชารัฐมีคะแนนนิยมลดลงเล็กน้อย
การเพิ่มขึ้นของคะแนนนิยมของ น.ส. แพทองธารและพรรคเพื่อไทยเป็นคะแนนที่มาจากกลุ่ม “ที่ยังไม่ตัดสินใจว่าสนับสนุนนักการเมือง และพรรคการเมืองใด” ซึ่งมีสัดส่วนสูงมากในการสำรวจเดือนมีนาคม แต่ในการสำรวจเดือนมิถุนายน สัดส่วนของกลุ่มนี้กลับลดลงเป็นอย่างมาก และเริ่มแสดงจุดยืนทางการเมืองออกมา ด้วยการสนับสนุน น.ส. แพทองธาร และพรรคเพื่อไทย
ปัจจัยที่ทำให้คะแนนนิยมของ น.ส. แพทองธาร และพรรคเพื่อไทยเพิ่มขึ้นในช่วงสามเดือนที่ผ่านมา ประกอบด้วย ความต้องการการเปลี่ยนแปลงของประชาชน การปฏิการเชิงยุทธศาสตร์ทางการเมืองอย่างเข้มข้นของพรรคเพื่อไทย และการที่คู่แข่งไม่มียุทธศาสตร์การเมืองที่โดดเด่น
ประการแรก กระแสความต้องการเปลี่ยนแปลงของประชาชน ซึ่งปรากฏให้เห็นในการเลือกตั้งท้องถิ่นในกรุงเทพมหานคร ที่ประชาชนส่วนใหญ่เลือกนายชัชชาติ สิทธิพันธ์ ซึ่งในอดีตเคยมีความสัมพันธ์กับพรรคเพื่อไทยมาก่อนเป็นผู้ว่ากรุงเทพมหานคร และการเลือกสมาชิกสภากรุงเทพมหานครที่สังกัดพรรคเพื่อไทยและพรรคก้าวไกลเป็นเสียงข้างมากในสภากรุงเทพมหานคร กระแสการเปลี่ยนแปลงของการเลือกตั้งกรุงเทพฯ ส่งผลกระทบและกระตุ้นความรู้สึกของประชาชนทั่วประเทศในทิศทางเดียวกัน ประชาชนจึงแสดงความรู้สึกของตนเองออกมาผ่านการสำรวจคะแนนนิยม เพื่อยืนยันความต้องการเปลี่ยนแปลงผู้นำและคณะผู้บริหารประเทศในปัจจุบัน ผู้คนที่เคยคิดว่า “ยังไม่มีผู้ที่เหมาะเป็นนายกฯ และยังไม่สนับสนุนพรรคการเมืองใด” ก็พร้อมใจกันไปสนับสนุนผู้นำและพรรคการเมืองที่พวกเขามองว่า มีศักยภาพที่จะเข้ามาบริหารประเทศแทนผู้บริหารชุดเก่าได้
ประการที่สอง การใช้ยุทธศาสตร์ทางการเมืองอย่างเข้มข้นของพรรคเพื่อไทย ซึ่งมีเป้าหมาย“แลนด์สไลด์” มีการกำหนดยุทธศาสตร์ครอบครัวเพื่อไทย กำหนดบทบาทให้ น.ส. แพทองธารเป็นหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย และนำนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำเสื้อแดงเข้ามาเป็นผู้อำนวยการครอบครัว เพื่อดึงคนเสื้อแดงที่ห่างเหินและละทิ้งพรรคให้กลับมาสนับสนุนพรรคอีกครั้ง ในช่วงสองสามเดือนที่ผ่านมา พรรคเพื่อไทยเดินสายหาเสียงในภาคตะวันออกเฉียงเหนืออย่างต่อเนื่อง และมีการโฆษณาส่งเสริมบทบาทของ น.ส. แพทองธารอย่างกว้างขวาง จนสร้างการรับรู้อย่างแพร่หลายในกลุ่มมวลชนเสื้อแดงและผู้ที่เคยสนับสนุนพรรคเพื่อไทยมาก่อน ทำให้มวลชนรับรู้ถึงความมุ่งมั่นตั้งใจและการเอาจริงเอาจังต่อชัยชนะการเลือกตั้งครั้งหน้าของพรรคเพื่อไทย รวมทั้งยอมรับ น.ส. แพทองธาร ในฐานะผู้นำของพรรคมากขึ้น จึงได้ออกมาแสดงความคิดเห็นทางการเมืองอย่างชัดเจนในการสำรวจครั้งล่าสุดในเดือนมิถุนายนของนิด้าโพล
ประการที่สาม คู่แข่งเชิงพันธมิตรทางการเมืองที่สำคัญอย่างนายพิธาและพรรคก้าวไกล ไม่มีดำเนินการยุทธศาสตร์การเมืองที่โดดเด่นเพียงพอต่อการก่อเป็นกระแสความนิยมขึ้นมาได้ ขณะที่พรรคคู่แข่งเชิงปรปักษ์อย่างพรรคพลังประชารัฐ ประชาธิปปัตย์ และภูมิใจไทย ก็ตกเป็นเป้าของการวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับความล้มเหลวในการบริหารประเทศ จนไม่อาจพลิกฟื้นสร้างกระแสความนิยมให้กลับคืนมาได้ และพรรคฝ่ายรัฐบาลจะประสบกับการวิพากษ์วิจารณ์ที่รุนแรงมากยิ่งขึ้นในการอภิปรายไม่ไว้วางใจกลางเดือนกรกฎาคมที่จะถึงนี้ และมีความเป็นไปได้ว่า จะส่งผลกระทบให้คะแนนนิยมของทั้งสามพรรคลดลงไปอีกในอนาคต
อย่างไรก็ตาม ความนิยมทางการเมืองมีลักษณะพลวัตค่อนข้างสูง การที่ได้รับคะแนนนิยมสูงในช่วงนี้ ไม่ได้เป็นหลักประกันว่าจะได้รับคะแนนนิยมสูงในอนาคต และการสำรวจคะแนนนิยมในภาพรวมทั้งประเทศสามารถนำไปอนุมานได้อย่างค่อนข้างแม่นยำในการเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อเป็นหลัก แต่ไม่อาจนำไปใช้ในการอนุมานการเลือกตั้งแบบแบ่งเขตได้
หากต้องการประเมินในระดับเขตก็ต้องสำรวจกันในระดับเขตเลือกตั้งนั้น ๆ เป็นรายเขต ถึงกระนั้น ก็ใช่ว่าจะเป็นสิ่งที่สามารถรับประกันความแม่นยำในการทำนายผลเลือกตั้งของเขตเหล่านั้นได้ เพราะการเลือกตั้งในระดับเขตของสังคมไทยนั้น ความนิยมต่อพรรค ต่อผู้นำพรรค และต่อผู้สมัครรับเลือกตั้ง เป็นปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินเพียงส่วนหนึ่งของประชาชนเท่านั้น ในท่ามกลางปัจจัยอื่น ๆ ที่ทรงพลังไม่ยิ่งหย่อนกว่ากันโดยฉพาะ ปัจจัยการมีทรัพยากร และประสิทธิภาพในการใช้ทรัพยากรระหว่างการเลือกตั้งเพื่อแปลงเป็นคะแนนนิยมเป็นคะแนนเสียงจริง ความเข้มแข็งและครอบคลุมของเครือข่ายหัวคะแนน และยุทธศาสตร์และนโยบายที่ใช้หาเสียงในช่วงการเลือกตั้ง
แม้ขณะนี้ พรรคเพื่อไทยอยู่ในสถานการณ์ที่ได้เปรียบทางการเมือง และส่อแววว่ามีแนวโน้มจะชนะเลือกตั้งมากที่สุดในอนาคต แต่ความแปรผันก็ยังคงดำรงอยู่เสมอ หากไม่สามารถยึดกุมสภาพแบบนี้ให้คงอยู่ได้ จนเกิดอุบัติเหตุที่อยู่เหนือความคาดหมาย ความพลิกผันก็อาจเกิดขึ้นได้เช่นเดียวกัน และพรรคการเมืองอื่น ๆ เมื่อรับรู้สถานการณ์เช่นนี้แล้ว ก็อาจนำไปเป็นข้อมูลในการปรับโครงสร้างพรรค ปรับแกนนำ และปรับยุทธศาสตร์ทางการเมืองให้มีความแหลมคม ทรงพลัง และมีสมรรถนะในการแข่งขันกับพรรคเพื่อไทยในอนาคตได้เช่นเดียวกัน