ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - โยน “ของร้อน” ตั้งแต่เปิดศักราชใหม่ 2565
รายของ “นายห้างดูไบ” ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ผู้หนีโทษจำคุกอยู่ต่างแดน กับคำประกาศในทำนองว่า “จะได้กลับประเทศไทย ภายในปี 2565” เป็นของขวัญปีใหม่ให้กับคนไทย
เป็นคำประกาศของ “ทักษิณ” หรือที่มีนิกเนม “โทนี่ วู้ดซัม” ในระหว่างร่วมพูดคุยใน CARE Talk x CARE ClubHouse เมื่อช่วงค่ำวันที่ 4 มกราคม 2565 ตามเวลาในประเทศไทย
“ก็หวังว่าปีนี้ 65 ผมจะเป็นของขวัญให้คนไทย กลับไปรับใช้คนไทย ยืนยันไม่เป็นภาระแน่นอน ผมจะไปเลี้ยงหลาน ซึ่งเป็นเจนอัลฟ่า เพื่อไปบอกเขาว่า จะต้องเจออะไรบ้าง แล้วก็จะเผื่อแผ่ให้ลูกหลานคนเจนนี้ด้วย แล้วจะกลับไปเป็นเพื่อนตีกอล์ฟกับคุณประยุทธ์ได้ แม้จะตีไม่เก่งเท่าก็ตาม ส่วนจะไปเมื่อไหร่ ช่วงไหนของ ผมจะกระซิบน้องอิ๊ง แพทองธาร ชินวัตร คนเดียว ให้เป็นคนบอกต่อ”
ก่อนที่เฟซบุ๊ก CARE คิด เคลื่อน ไทย ซึ่งเป็นเพจเครือข่ายสนับสนุน “ทักษิณ” จะนำมาขยายต่อ โดยเน้นคำกล่าวที่ว่า “ปีใหม่ปีนี้ ผมขออวยพรให้คนไทย ได้ผมกลับไทยเอาไปใช้งานนะครับ...”
ยิ่งหากถอดรหัสคำสำคัญที่ “ทักษิณ” ย้ำว่า “กลับบ้าน” นั้น ก็สื่อความหมายในทำนอง “กลับบ้านมาแบบไร้ความผิด หรือไม่ต้องติดคุก” เหมือนที่ครั้งหนึ่งก็เคยประกาศว่า “จะกลับแบบเท่ๆ”
เกิดคำถามขึ้นทันทีว่า “ทักษิณ” พกความมั่นใจมาจากไหนว่า จะได้กลับประเทศไทยแบบ “ไร้มลทิน” ภายในปีนี้
นับเป็นเวลาเกินกว่า 15 ปีแล้วที่ “อดีตนายกฯ ทักษิณ” ต้องกลายเป็น “สัมภเวสี” เร่ร่อนแบบไร้แผ่นดินอยู่ หลังรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 เป็นต้นมา
มีเพียงซีนที่ได้กลับมา “กราบแผ่นดิน” ช่วงสั้นๆ สมัยรัฐบาล “สมัคร สุนทรเวช” เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2551 ก่อนสวมวิญญาณ “นกรู้” เตลิดออกไปก่อนคำตัดสินศาลฎีกาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในคดีทุจริตที่ดินรัชดาฯ ไม่นาน
จากนั้นประเทศไทยก็กลายเป็น “แดนต้องห้าม” ของ “ทักษิณ” มาตลอด ทั้งๆ ที่ไม่เคยมีใครห้าม
ในแทบทุกวาระสำคัญ ปีใหม่ วันเกิด ครบรอบรัฐประหาร “ทักษิณ” ก็พร่ำเพ้อถึงการกลับมาตุภูมิ โดยมีวงเล็บว่า “ต้องไม่ติดคุก” จนปิดไม่มิดว่าเป็นความใฝ่ฝันสูงสุด ในการได้กลับประเทศอีกครั้ง
เป็นเหตุให้ไม่สามารถละมือจาก “เกมการเมือง” ได้ แม้จะประกาศซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่า ไม่ขอยุ่งเกี่ยวกับการเมือง หรือเป็นเบื้องหลังให้กับพรรคการเมืองใดอีก แต่จนแล้วจนรอดก็ถูกจับได้ไล่ทันทุกครั้งว่า “ทักษิณ” ยังคงเคลื่อนไหวทางการเมือง และเดินแผนเพื่อหาทางกลับบ้านมาโดยตลอด
โดยเฉพาะการเอาชนะด้วยการเลือกตั้งผ่านพรรคการเมือง นับตั้งแต่พรรคพลังประชาชน จนถึงพรรคเพื่อไทย ที่ส่งน้องสาวสุดเลิฟ “คุณหนูปู” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร สร้างประวัติศาสตร์เป็นนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประเทศ
แต่ก็เป็น “พี่ษิณ” เองที่ทำที่ทำเอา “รัฐบาลปู” ต้องล้มครืน ผ่านการลักหลับดัน “พ.ร.บ.นิรโทษฯสุดซอย” เปิดทางให้ “พี่น้อง 3 ป.” เข้ายึดอำนาจเมื่อพฤษภาคม 2557 และสืบทอดมาจนถึงวันนี้
ในยุคที่ “พี่น้อง 3 ป.” เรืองอำนาจ ดูเหมือน “ทักษิณ” จะ “แกล้งตาย” พร้อมพับโปรเจ็กต์ “กลับบ้านแบบเท่ๆ” ไปพักใหญ่ เพราะไม่เพียงแต่มองไม่เห็นหนทางที่ตัวเองจะได้กลับบ้านแล้ว ยังต้องหนีบ “น้องปู” เป็นอดีตนายกฯหลบหนีคดีไปอีกคน
ความหวังของ “ทักษิณ” กลับมาอีกครั้ง ช่วงที่รัฐบาลคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กำลังจะเปลี่ยนผ่านสู่การเลือกตั้ง มีความพยายาม “เล่นใหญ่” ใช้พรรคเพื่อไทย คู่กับพรรคสาขาอย่าง “ไทยรักษาชาติ” ในการชิงธงอำนาจผ่านการเลือกตั้ง 2562
แต่อย่างที่ทราบ แผนคว่ำไม่เป็นท่า พรรคไทยรักษาชาติถูกยุบ ขณะที่พรรคเพื่อไทยชนะเลือกตั้ง แต่ไม่ได้เป็นรัฐบาล
ในช่วงที่มีการจัดตั้งรัฐบาลประยุทธ์ 2 ก็มีกระแสข่าว “ซูเปอร์ดีล” ที่หลุดออกมาบ่อยครั้ง แต่คนถืออำนาจอย่าง “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ทั้งในสมัยที่เป็นหัวหน้า คสช. และเป็นนายกฯ 2 สมัย ก็ปฏิเสธทุกครั้ง
ความฝันของ “ทักษิณ” จึงดูเหมือนห่างไกลความเป็นจริงออกไปเรื่อยๆ
กระทั่งมาช่วงปี 2564 ที่ “รัฐบาลประยุทธ์” กำลังเพลี่ยงพล้ำจากปัญหาที่รุมเร้ารอบด้าน ทำให้ “ทักษิณ” เริ่มกลับมาเคลื่อนไหวอย่างคึกคักอีกครั้งผ่านสังคมออนไลน์ มีการใช้แอปพลิเคชันฮิตอย่าง “คลับเฮ้าส์” (ClubHouse) ภายใต้นามแฝงว่า “โทนี่ วู้ดซัม” เจาะกลุ่มเป้าหมายในโซเชียลเน็ตเวิร์ก ผ่านรายการของ “กลุ่ม CARE” สร้างกระแสให้ถูกพูดถึงอย่างต่อเนื่อง
โดยเฉพาะในช่วงไวรัสโควิด-19 ระบาด ที่ “ทักษิณ” ออกมาแสดงความเห็นสร้างแรงกระเพื่อมไปถึงรัฐบาลบ่อยครั้ง อย่างการเสนอตัวเจรจากับ วลาดิเมียร์ ปูติน ประธานาธิบดีรัสเซีย เรื่องวัคซีน ที่ทำเอา “นายกฯประยุทธ์” ต้องออกมาแก้เกี้ยวว่า มีการเจรจากับรัสเซียโดยตรงอยู่แล้ว
ประเมินได้ว่า “ทักษิณ” คงมองว่า การเคลื่อนไหวของตัวเองผ่านสังคมออนไลน์ ส่งผลในทาง “จิตวิทยา” ต่อฐานมวลชน สร้างกระแสต่อต้านรัฐบาล และเร่งสถานการณ์ขับไล่รัฐบาล อีกทั้งเล็งเห็นว่า “รัฐบาลประยุทธ์” และตัว “บิ๊กตู่” กำลังเพลี่ยงพล้ำ คะแนนนิยมตกต่ำอย่างหนัก ถึงหาญกล้ามาประกาศศักดาว่า จะกลับประเทศไทยภายในปี 2565
ก่อนหน้านี้ต้องบอกว่าความปรารถนาในการกลับประเทศที่ชัดเจนที่สุดไม่ได้ออกมาจากปาก “ทักษิณ” แต่มาจากการเปิดตัว “อุ๊งอิ๊ง” แพทองธาร ชินวัตร ลูกสาวคนเล็กของทักษิณ เข้ารับตำแหน่งประธานคณะที่ปรึกษาด้านการมีส่วนร่วมและนวัตกรรม ของพรรคเพื่อไทย
เดาไม่ยากมีการวางตัว “ลูกอิ๊ง” ให้เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีในการเลือกตั้งครั้งต่อไป ซึ่งหากไม่มั่นใจจริง “ทักษิณ” คงไม่ทิ้ง “ไพ่เด็ด” ออกมา
ที่สำคัญ “สคริปต์” ที่ “อุ๊งอิ๊ง” ประกาศบนฟลอร์ประชุมใหญ่สามัญประจำปี 2564 ที่ จ.ขอนแก่น เมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2564 ก็ชัดเจนถึงเป้าประสงค์ในการลงมาทำงานการเมือง
“แม้จะไม่ใช่นักการเมือง แต่ขอมุ่งมั่นทำงานด้วยความตั้งใจจริงในฐานะคนไทยคนหนึ่ง ในฐานะลูกของคุณพ่อที่ไม่เคยลืมบุญคุณแผ่นดินไทย ไม่เคยลืมพี่น้องคนไทยที่ไม่เคยลืมท่าน และคุณพ่อหวังว่าจะได้กลับมากราบแผ่นดินไทย และกราบผู้มีพระคุณอีกครั้ง”
ทั้งหลายทั้งมวลก็เพื่อพา “พ่อษิณ” กลับบ้านนั่นเอง
ขณะเดียวกัน “ทักษิณ” คงไม่กล้าฝันเลย หากไม่เล็งเห็นไปถึงปัญหาภายใน “ค่ายหลวงพ่อป้อม” พรรคพลังประชารัฐ นับตั้งแต่เหตุการณ์ “กบฏผู้กอง” ที่้หมายโหวตคว่ำ “นายกฯ ตู่” กลางสภาฯ เมื่อไม่กี่เดือนก่อน ที่ว่ากันว่า “ทักษิณ” รู้เห็นความเคลื่อนไหว และเป็นใจกับการเดินเกมในครั้งนั้นด้วย
ความระหองระแหงภายในพรรคพลังประชารัฐนี่เอง ที่ทำให้ “ทักษิณ” มองเป็นความได้เปรียบในสนามเลือกตั้ง ยิ่งหากมีการล้มกระดานยุบสภาในเร็ววันนี้ ที่อาจจะฟันธงได้เลยพรรคพลังประชารัฐไม่มีโอกาสชนะเลือกตั้ง หรือจัดตั้งรัฐบาลได้อีก แม้จะมีพรรค ส.ว. 250 เสียงหนุนอยู่ก็ตาม
พูดไปถึงขั้นว่า “รัฐบาลพลังประชารัฐ” ตัดชื่อ “ประยุทธ์” ออกไปคนเดียว หรือมีสถานการณ์ทำให้ “ประยุทธ์” ลาออกจากตำแหน่งนายกฯ “ค่ายเพื่อไทย” ภายใต้เงา “ทักษิณ” ก็พร้อมเข้ามาเสียบร่วมรัฐบาลทันที
เป็นบทวิเคราะห์บนพื้นที่คอนเนกชัน “ผู้กองนัส” ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า เลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ ที่อดีตก็เป็นมือทำงานของพรรคเพื่อไทยมาก่อน รวมไปถึง “พี่ป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และพี่ใหญ่ 3 ป. ที่มีกระแสเนืองๆ ถึงเรื่อง “ซูเปอร์ดีล” กับ “บ้านจันทร์ส่องหล้า”
ถามว่า “ทักษิณ” มีการพดคุยกับพรรคการเมือต่างๆ หรือเปล่า
ต้องตอบว่า แน่นอนที่สุด
และที่พลาดไม่ได้จะต้องมีการติดต่อกับขั้วอำนาจตัวจริงในรัฐบาลร้อยเปอร์เซ็นต์ ถ้าไม่เช่นนั้นแล้ว บัตรเลือกตั้งสองใบในการเลือกตั้งคราวหน้า คงไม่ผ่านวุฒิสภาได้
การเคลื่อนไหวแล่นใหญ่ของ “ทักษิณ” ช่วงนี้ ถือเป็นไทม์มิ่งที่เหมาะเจาะ ช่วงขวบปีสุดท้ายของรัฐบาล ที่กำลังจะมีการเลือกตั้งใหม่ในไม่ช้า ล้อไปกับแคมเปญ “พรุ่งนี้เพื่อไทย แลนด์สไลด์ทั้งแผ่นดิน” ที่ปล่อยออกมาก่อนหน้านี้ เพื่อปูทางสู่การเลือกตั้งครั้งต่อไป
สอดคล้องกับการให้สัมภาษณ์ผ่านสำนักข่าว ROOM 44 ว่าครึ่งปีหลังของปี 2565 น่าจะมี “รัฐบาลใหม่” ในวันเดียวกับที่ประกาศจะกลับบ้านครั้งล่าสุด
คล้ายกับฟันธงว่า “รัฐบาลประยุทธ์” ไปต่อลำบาก และมั่นใจว่า พรรคเพื่อไทย และเครือข่าย จะคว้าชัยชนะในสนามเลือกตั้งถล่มทลายแบบ “แลนด์สไลด์”
เพื่อใช้เสียงประชาชนสร้างความชอบธรรม ตามเป้าหมายการได้กลับบ้านแบบเท่ๆ เหมือนทำมาแล้วสมัย “รัฐบาลพลังประชาชน” และที่เคยพยายามทำสมัย “รัฐบาลยิ่งลักษณ์” นั่นเอง
จริงๆ แล้วหากต้องการแค่กลับประเทศไทย “ทักษิณ” ทำได้ตลอดเวลาอยู่แล้ว เพียงแต่มี “กรรมเก่า” ที่ต้องชดใช้ ทั้งคดีที่มีคำพิพากษาให้จำคุกแล้ว และยังมีอีกบางคดีที่ยังต้องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม
โดย “ทักษิณ” ถูกพิพากษาไปแล้ว 4 คดี รวมโทษจำคุก 12 ปี ได้แก่ 1.คดีทุจริตการจัดซื้อที่ดินย่านรัชดาภิเษก ที่มีการกล่าวหา “หญิงอ้อ” คุณหญิงพจมาน ชินวัตร (ภริยานายทักษิณ และนามสกุลขณะนั้น) และ “ทักษิณ” ในการซื้อที่ดินจำนวน 33 ไร่ 78 ตรว. ราคา 772 ล้านบาท จากกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาสถาบันระบบการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2551 โดยก่อนศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง จะพิพากษาคดีดังกล่าว นายทักษิณ ได้เดินทางออกนอกประเทศ โดยอ้างว่าไปดูการแข่งขันโอลิมปิกที่ประเทศจีน และหลบหนีไม่มาฟังคำพิพากษาแต่อย่างใด ทำให้ศาลฎีกาฯอ่านคำพิพากษาลับหลัง จำคุกนายทักษิณ 2 ปี และยกฟ้องคุณหญิงพจมาน ปัจจุบันคดีดังกล่าวหมดอายุความแล้ว
2.คดีทุจริตโครงการออกสลากพิเศษแบบเลขท้าย 3 ตัว 2 ตัว ของสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล หรือ “คดีหวยบนดิน” โดยศาลฎีกาฯพิพากษาว่ามีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 สั่งจำคุก “ทักษิณ” 2 ปี ไม่รอลงอาญา
3.คดีสั่งการให้ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (Exim Bank) อนุมัติเงินกู้สินเชื่อ 4,000 ล้านบาทแก่รัฐบาลสหภาพเมียนมา โดยมีอัตราดอกเบี้ยต่ำกว่าต้นทุน เพื่อนำเงินกู้ดังกล่าวไปใช้ในการซื้อสินค้าและบริการของบริษัท ชินแซทเทลไลท์ จำกัด (มหาชน) เป็นการเอื้อประโยชน์แก่ตนเองหรือผู้อื่น ศาลฎีกาฯพิพากษาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 152 (เดิม) สั่งจำคุก 3 ปี ไม่รอลงอาญา
4.คดีให้บุคคลอื่น (นอมินี) ถือหุ้นบริษัท ชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) แทน โดยบริษัท ชินคอร์ปฯ เป็นคู่สัญญาต่อหน่วยงานของรัฐ และเข้าไปมีส่วนได้เสียเพื่อประโยชน์สำหรับตนเองหรือผู้อื่นในกิจการโทรคมนาคม โดยศาลฎีกาฯพิพากษาจำคุก “ทักษิณ” 5 ปี ไม่รอลงอาญา
และยังมีอีก 2 คดีอยู่ระหว่างการไต่สวนของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) คือ คดีทุจริตการระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ (จีทูจี) ลอตสอง จำนวน 8 สัญญา ที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีการแจ้งผู้ถูกกล่าวหาเพิ่มเติม รวมถึงชื่อของ “ทักษิณ” พร้อมด้วยน้องสาว 2 คนคือ “ยิ่งลักษณ์” ในฐานะนายกฯขณะนั้น และ “เจ๊แดง” เยาวภา วงศ์สวัสดิ์ คดีนี้ ป.ป.ช.รวบรวมพยานหลักฐานเสร็จแล้ว และแจ้งข้อกล่าวหากับผู้ถูกกล่าวหาไปแล้ว คาดว่าจะมีบทสรุปในช่วงต้นปี 2565
ส่วนอีกคดีเป็น “คดีทุจริตแอร์บัส” มีการกล่าวหาการอนุมัติสั่งซื้อเครื่องบินแบบ A340-500 และ A340-600 ของบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ระหว่างปี 2545-2547 สมัยรัฐบาลทักษิณ ทำให้การบินไทยมีหนี้สินเพิ่มมากขึ้น มีชื่อ “ทักษิณ” ถูกหล่าวหาร่วมกับ สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ อดีต รมว.คมนาคม, พิเชษฐ สถิรชวาล อดีต รมช.คมนาคม และอดีตผู้บริหารบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ปัจจุบันมีการตั้งองค์คณะไต่สวนชุดใหญ่เพื่อพิจารณาข้อเท็จจริงในคดีแล้ว
ถือเป็น “กรรมเก่า” ที่ทำให้ “ทักษิณ” ไม่สามารถกลับบ้านแบบเท่ๆ ได้ตลอดระยะเวลา 10 กว่าปีที่ผ่านมา
คำถามมีว่า การประกาศกลับประเทศไทยภายในปี 2565 ของ “ทักษิณ” จะกลับมาในรูปแบบไหน เพราะ 10 กว่าปีที่ผ่านมาก็พิสูจน์แล้วว่า หาก “ทักษิณ” พร้อมเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมจริง ก็คงไม่หลบหนีออกจากประเทศ เช่นเดียวกับน้องสาวอย่าง “ยิ่งลักษณ์” ก็มีชนักติดหลังจากคดีทุจริตจำนำข้าวอยู่เช่นกัน
ดังนั้นเงื่อนไขในการกลับบ้านของ “ทักษิณ” คงไม่ใช่แค่หวังให้ “เครือข่ายทักษิณ” ชนะเลือกตั้งแบบแลนด์สไลด์เท่านั้น ยังต้อง “ฟอกขาว” ล้มล้างความผิดทั้งหมด เพื่อไม่ให้ตัวเองต้องไปชดใช้กรรมในคุก
และอาจจะต้องรวมไปถึงการฟอกขาวให้กับ “น้องปู” ที่ต้องโทษจำคุก 5 ปี โดยไม่รอลงอาญา ในคดีจำนำข้าว และอีกหลายคดีที่ยังรอการตัดสินด้วย
แน่นอนว่า เป้าหมายการชนะเลือกตั้งแบบถล่มทลายก็เพื่ออ้างเป็น “ความชอบธรรม”ในการออกกฎหมายนิรโทษกรรมให้กับ “สองศรีพี่น้อง” นั่นเอง
แต่ต้องไม่ลืมว่าทั้งคดี “ทักษิณ-ยิ่งลักษณ์” ล้วนแล้วแต่เป็นคดีที่เกี่ยวกับการทุจริต และศาลได้พิพากษาไว้แล้ว หาใช่คดีที่เกี่ยวกับการเมืองแต่ประการใด
ขืน “เหิมเกริม” กฎหมายนิรโทษกรรมแบบ “สุดซอย” และเพื่อ “คนตระกูลชินวัตร” เท่านั้น โดยไม่สนความศักดิ์สิทธิ์ของ “อาญาแผ่นดิน” ก็เชื่อว่ารัฐบาลที่คิดจะทำ คงพังพาบไม่ต่างจาก “รัฐบาลยิ่งลักษณ์” ที่มี 19 ล้านเสียงหนุนหลังยังอยู่ไม่ได้
เพราะหากยกประโยชน์ให้แก่ “พี่ษิณ-น้องปู” แล้ว ก็เท่ากับทำลายระบบการปกครอง-กระบวนการยุติธรรม ของประเทศจนพินาศย่อยยับ
เอาง่ายๆ คิดแค่จะตอบคำถามลิ่วล้อในเครือข่ายที่ติดคุกไปแล้วอย่าง “บุญทรง เตริยาภิรมย์ - ภูมิ สาระผล” อย่างไร
ยังไม่นับรวมฐานความผิดที่ “ทักษิณ” ถูกมองว่ามีส่วนร่วมกับการปลุกปั่นสร้างความแตกแยกให้เกิดขึ้นในสังคมไทยนับตั้งแต่ปี 2549 ที่ยาวเป็นหางว่าว กระทั่งส่งต่อมายัง “ม็อบ 3 นิ้ว” ใน พ.ศ.นี้อีก
อย่างที่บอกไป “ทักษิณ” คงไม่กล้าแสดงความมั่นใจขนาดนี้ หาก “คนถืออำนาจ” อย่าง “บิ๊กตู่” เข้มแข็งเหมือนสมัยยังควบตำแหน่งหัวหน้า คสช. แต่ความเพลี่ยงพล้ำผิดพลาดในแง่การบริหารประเทศ ก็เปิดช่องให้คนฉลาดอย่าง “ทักษิณ” ปั่นกระแสเรียกร้องให้เอาตัวเองกลับมาใช้งานอย่างที่เห็น
เท่ากับว่า “ประยุทธ์” และเครือข่ายที่อุตส่าห์สืบทอดอำนาจมานานกว่า 8 ปี เปิด “จุดอ่อน” ตัวเอง ทำให้มีคนไทยเริ่มเบื่อหน่ายกับ “รัฐบาลประยุทธ์” และโหยหา “คนที่เก่งกว่า” เพื่อให้เห็นอนาคตของประเทศเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
ดังนั้น “ประยุทธ์” ต้องเร่ง “ภูมิคุ้มกัน” ด้วยการเคลียร์ปัญหาภายในพรรคพลังประชารัฐให้จบโดยเร็ว และกลับมาบริหารประเทศด้วยความเด็ดขาดมีภาวะผู้นำกว่าที่เป็นอยู่
อย่าให้ถึงขั้นที่คนไทยต้องโหยหา “ทักษิณ” โดยหลับตาข้างหนึ่งลืมเรื่องราวที่ “ระบอบทักษิณ” ได้เคยทุจริตต่อชาติบ้านเมืองเลย
ส่วนมิติการเมือง ก็ยิ่งไม่น่าหวั่นไหวกับกระแสที่ “ทักษิณ” พยายามปั่น ในฐานะที่ “บิ๊กตู่” ยังเป็นผู้กุมอำนาจสูงสุด มีเวลาอีกร่วมปีในการกู้ศรัทธาให้กลับคืนมา และหลังเลือกตั้งยังมีพรรค ส.ว. 250 เสียงรอสนับสนุนอยู่
แล้วยังมีไพ่เด็ด “ยุบพรรค” ที่ “นักร้อง” ชงไว้ทั้ง “เพื่อไทย-ก้าวไกล” ขวากหนามในสนามเลือกตั้งของ “พรรค 3 ลุง” ไม่ว่าจะเป็นการให้ความสนับสนุน “ม็อบ 3 นิ้ว” ล้มล้างการปกครอง หรือประเด็น “ทักษิณ” ครอบงำพรรค ที่พรรคเพื่อไทยถูกร้องไว้หลายกรณี ทั้งกรณีวิดีโอคอลล์วางยุทธสาสตร์เลือกตั้ง หรือกรณีคนกันเองอย่าง พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี ที่ออกมาแฉตรงๆว่า “ทักษิณ” คือเจ้าของพรรคเพื่อไทย จนทำให้ “นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว” หัวหน้าพรรคคนปัจจุบันต้องออกมาปฏิเสธยกใหญ่
เรียกว่าเป็นไพ่เด็ดที่จะหยิบมาเล่นเมื่อใดก็ได้
ยิ่งหากพรรคเพื่อไทย-ก้าวไกล ถูกเชือดหลังมีพระราชกฤษฎีกาเลือกตั้งไปแล้ว ผู้สมัคร ส.ส.ไม่สามารถหาสังกัดใหม่ได้ทัน เหมือนกับที่ “ไทยรักษาชาติ” เคยโดน ก็ยิ่งเข้าทาง “พรรค 3 ลุง”
จุดนี้เป็น “แต้มต่อ” ของ “รัฐบาล 3 ลุง” และเป็นเรื่องที่ “ทักษิณ” กลัวและขยาดที่สุด
สรุป สำหรับคนชื่อ “ทักษิณ ชินวัตร” แล้ว สิ่งที่เขากลัวที่สุดมีอยู่ 2 เรื่อง เรื่องแรกคือการที่จะถูกยุบพรรคเพื่อไทย เพราะจะสร้างความวุ่นวาย และจะมีผลกระทบต่อเป้าของการเลือกตั้งที่อาจจะไม่ได้ดั่งที่คิด ส่วนเรื่องที่สอง คือ “การรัฐประหาร” ที่มีโอกาสเกิดขึ้นได้เสมอ
เวลาที่เหลือของ “รัฐบาล 3 ลุง” หากไม่ทะเล่อทะล่าทำโบ๊ะบ๊ะเสียแต้มอย่างที่เป็นมา “ทักษิณ” ก็ได้แค่ฝันลมๆ แล้งๆ แค่อารมณ์อินกับหนัง “ไอ้แมงมุม” สไปเดอร์ แมน ภาคล่าสุด หวังว่าในชีวิตจริงจะมี “พ่อมด” ร่ายคาถาให้ทุกคนลืมความผิดที่ตัวเองทั้งหมดที่ก่อไว้ทั้งหมด
ทั้งที่จริงๆ แล้ว สถานะ “ทักษิณ” ตอนนี้คงนิยามได้ว่า Far From Home ยังห่างไกลที่จะได้กลับบ้าน
เพราะหากยังไม่ยอมรับกระบวนการยุติธรรม หรือไม่หยุดเคลื่อนไหวผูกเงื่อนความขัดแย้ง ชีวิตนี้ก็คง No Way Home ไร้หนทางได้กลับบ้านอย่างแน่นอน.