xs
xsm
sm
md
lg

‘โอไมครอน’ หายนะรอบใหม่...?

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: โสภณ องค์การณ์



ต้องชม “เสี่ยหนู” เสนาบดีสาธารณสุข ที่มีปฏิกิริยาตอบรับฉับไวกับสถานการณ์ระบาดระลอกใหม่ของสายพันธุ์ไวรัสมฤตยู ที่กำลังสร้างความปั่นป่วนทั่วโลก ตลาดหุ้นวุ่นวายขณะนี้ สร้างไม่แน่นอนว่าจะต้องมีการล็อกดาวน์อีกรอบหรือไม่

คราวนี้มาในชื่อใหม่ “โอไมครอน” แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านไวรัสประเมินว่าการติดเชื้อระบาดรวดเร็วกว่าตัวร้าย “เดลตา” ซึ่งยังครองตำแหน่งสายพันธุ์หลักในหลายประเทศขณะนี้ ทั้งยังต้องดูว่าตัวใหม่จะดื้อต่อวัคซีนที่มีอยู่ขณะนี้หรือไม่

ซ้ำร้าย “โอไมครอน” อาจสามารถเจาะทะลุแนวต้านในเซลล์ร่างกายมนุษย์ได้ ดังนั้นผู้เชี่ยวชาญยังต้องการเวลาเพื่อวิเคราะห์ วิจัย รวมทั้งหาช่องทางปรับประสิทธิภาพของวัคซีนให้พร้อมรับสถานการณ์ด้วย หลายประเทศเริ่มมีแล้ว

การที่ “เสี่ยหนู” เสนาบดีสาธารณสุขตั้งรับสภาวะด้วยความรวดเร็ว สั่งห้ามคนจากทวีปแอฟริกา 7-8 ประเทศเข้ามา อาจเป็นเพราะว่าถ้ารอให้มีการประชุม ศบค.หรือรอให้ผู้นำรัฐบาลสั่ง ตามพิธีการของการรักษาหน้าตา อาจสายเกินไป

แม้กระนั้น ก็มีเที่ยวบินขนคนมาจากแอฟริกาเข้ามาก่อนหน้านั้นแล้วด้วย ถ้าโชคดี หวังว่าจะไม่มีใครพาเชื้อ “โอไมครอน” เข้ามาสร้างหายนะให้ประเทศไทยอีก

“เสี่ยหนู” คงจำได้ถึงบทเรียนอันเจ็บปวดซึ่งยังไม่หายช้ำหัวอก สร้างปัญหาต่อเนื่องจนทุกวันนี้ เพราะหัวหน้ารัฐบาลต้องการสร้างความนิยม ไม่คำนึงถึงเหตุผลและความเสี่ยงในการตัดสินใจ เมื่อเกิดความเสียหายก็ไม่ออกปากรับผิดชอบ

ที่เจ็บแสบก็คือ “เสี่ยหนู” ต้องตกอยู่ในสภาพแพะรับบาป รับเละทั้งมาตรการต่างๆ รวมทั้งต้องเร่งหาวัคซีน ยารักษา เพื่อสกัดการระบาด ท่านผู้นำก็ลอยตัวสบาย

ยังจำให้ใช่มั้ยว่าหัวหน้ารัฐบาลได้อนุมัติให้มีการเล่นสงกรานต์โดยไม่ต้องสาดน้ำ หวังความนิยมจากชาวบ้าน ปล่อยให้คนเดินทางไปทั่วประเทศ ทำให้เชื้ออัลฟ่าจากกัมพูชาและทองหล่อระบาดหนัก ขาดแคลนทั้งวัคซีน ตั้งตัวไม่ติด

ยังไม่จำบทเรียน ท่านผู้นำ ด้วยความแนะนำของใครไม่แน่ชัด หรือคิดเอาเองตามประสานักดันทุรัง สั่งปิดงานก่อสร้าง ปิดแคมป์คนงาน ทำให้คนงานกลับบ้าน ช่วงนั้นมีคนงานติดเชื้อสายพันธุ์เดลตา 6 ราย ที่แคมป์บางเขน

อีกไม่กี่เดือน หายนะของจริงระลอก 2 ก็ตามมา สายพันธุ์เดลตายังครองประเทศจนทุกวันนี้ ทำให้การติดเชื้อในไทย เลื่อนอันดับจากที่ 100 กว่า มาอยู่อันดับที่ 23 ของโลกทุกวันนี้ ด้วยตัวเลขติดเชื้อกว่า 2 ล้าน เสียชีวิตกว่า 2 หมื่นราย

โดยสภาพเศรษฐกิจก็ตายซากยืดเยื้อเรื้อรังตั้งแต่ก่อนโควิด-19 ระบาดในปลายปี 2562 โดนซ้ำเติมโดยการระบาดระลอกใหญ่ 2 รอบ ต้องสิ้นเปลืองเงินมหาศาลในการจัดซื้อวัคซีนคุณภาพต่ำ ยารักษาที่ไม่ได้ผล จ่ายหลายหมื่นล้านบาท

คนที่ควรรับผิดชอบในความล้มเหลว ยังลอยหน้าลอยตา ไม่ต้องรู้สึกอายหรือต้องรับผิดชอบ ทั้งยังไม่เหนื่อยหน่ายกับเสียงประณามรอบทิศ และยังจะขออยู่ต่ออีกไม่มีกำหนดถ้านิติศรีธนญชัยสามารถด้านหน้าแหกด่านข้อจำกัด 8 ปี ได้สำเร็จ

จากนี้ไป ต้องดูว่าคณะแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ และทหารที่เก่งทุกอย่างจะรับกับความเสี่ยงของ “โอไมครอน” ได้อย่างไร ถ้าหัวหน้ารัฐบาลยังทำห้าวเป้ง ไม่รู้สึกรู้สากับมหันตภัย เล่นลิ้นลีลานะจ๊ะซ้ำซาก หายนะกวักมือเรียกอีกรอบแน่ๆ

“โอไมครอน” ยังไม่เข้ามา การติดเชื้อยังอยู่ระดับ 5-6 พันรายต่อวัน ไม่นับพวกที่ตรวจระบบเอทีเควันละ 2-4 พันรายต่อวัน ด้วยอ้างว่ายังเป็นตัวเลขไม่แน่นอน

แท้ที่จริง ต้องการกดตัวเลขให้ต่ำ เพื่อผลในการสร้างภาพหรือไม่!?

ประเด็นที่ยังไม่มีใครเอาเรื่องก็คือการไปทุ่มเงิน ตะบี้ตะบันซื้อยาฟาวิพิราเวียร์ด้วยเงินก้อนใหญ่ ไม่ฟังเสียงท้วงติงว่ายานี้ไม่ได้ผล แต่ต้องยังดันทุรังซื้อ ทั้งให้องค์การเภสัชกรรมผลิตในประเทศด้วย ทั้งๆ ที่ญี่ปุ่นซึ่งเป็นผู้ผลิต ยังไม่ยอมใช้

ล่าสุด คณะกรรมการอาหารและยาของสหรัฐฯ และแคนาดา รวมทั้งของญี่ปุ่นก็ไม่ยอมรับ จากผลศึกษาและวิจัย มีแต่ประเทศที่มีผู้นำรัฐบาลดันทุรังไม่ฟังใครเป็นเหยื่อด้วยความเต็มใจ ท่ามกลางข้อครหาว่าที่เร่งซื้อเพราะมีคนได้รับผลประโยชน์

ยังไม่มีใครแสดงความหน้าบางออกมารับผิดชอบสำหรับเงินที่เสียไปมากมาย และยาที่สั่งเข้ามาจะเอาไปให้หนูทดลองยาที่ไหน ขณะที่ฟ้าทะลายโจรที่ใช้ได้ผลในเรือนจำทุกแห่งโดนกีดกันทุกทาง เพราะคนสงสัยว่าคงไม่มีคอมมิสชันนั่นเอง

เรื่องความฉาวของฟาวิพิราเวียร์ยังไม่ได้รับการชำระสะสาง ก็มีเรื่องใหม่ เกี่ยวกับโมลนูพิราเวียร์ ยารักษาที่รัฐบาลดันทุรังเร่งซื้อมหาศาล กลัวว่าจะตกขบวนเหมือนการจองวัคซีนรอบแรก คราวนี้สั่งเยอะไม่ฟังอีร้าค่าอีรม หวังลาภลอยหรือไม่

แล้วเกิดอะไรขึ้น การทำวิจัยยาโมลนูพิราเวียร์ มีรายงานเบื้องต้นว่ายานี้ใช้ได้ผลเพียง 30 เปอร์เซ็นต์ น่าผิดหวังมาก คราวนี้ถ้ามีการทดลองทำวิจัยเพิ่มเติม แล้วผลยืนยันตามที่ปรากฏครั้งแรก จะทำอย่างไรกับยาที่สั่งไป ใครจะรับผิดชอบ คงไม่มีแน่

อ้าววันก่อนเพิ่งสั่งวัคซีนไฟเซอร์ไป 30 ล้านโดส จะให้ฉีดทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ดันมี “โอไมครอน” โผล่มา ผู้ผลิตไฟเซอร์บอกว่าต้องดูก่อนว่าต้องปรับวัคซีนให้สู้กับเชื้อใหม่ได้ ต้องมีการประเมินวิเคราะห์ว่าตัวไฟเซอร์ปัจจุบันรับมือได้หรือไม่

หัวหน้ารัฐบาลและเสนาบดีสาธารณสุข ต้องเร่งปรับตัว ติดต่อไฟเซอร์นะว่าจะเอาตัวใหม่ที่ใช้ได้กับ “โอไมครอน” ได้หรือไม่ แต่ไฟเซอร์คาดเบื้องต้นว่า ถ้าจะมีตัวใหม่ อย่างน้อยต้องใช้เวลาอีกไม่น้อยกว่า 100 วัน หลังจากผลการวิจัยชี้ชัด

จะล็อกดาวน์อีกรอบหรือไม่ ต้องรอชะตาฟ้าดิน หรือผู้นำตัดสินใจ


กำลังโหลดความคิดเห็น