xs
xsm
sm
md
lg

ขบวนการลิดรอนสถาบัน ที่ใช้คนรุ่นใหม่เป็นเหยื่อ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



หนึ่งความคิด
สุรวิชช์ วีรวรรณ

 ชัดเจนว่า การเอ่ยถึงการปฏิวัติฝรั่งเศสของ ปิยบุตร แสงกนกกุล มีเจตนาที่แท้จริงว่า ถ้าสถาบันกษัตริย์ไม่ปฏิรูปตัวเองตามข้อเรียกร้องของพวกเขาแล้ว สิ่งที่จะตามมาก็คือ การปฏิวัติเพื่อเปลี่ยนแปลงเป็นระบอบสาธารณรัฐ 


แต่การปฏิวัติฝรั่งเศสนั้น เป้าหมายแรกคือการเปลี่ยนแปลงจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ไปเป็นระบอบพระมหากษัตริย์ใต้รัฐธรรมนูญ ก็เลยไม่เข้าใจว่า ที่ปิยบุตรยังพร่ำเพ้อเพื่อเอาปฏิวัติฝรั่งเศสมาข่มขู่สถาบันพระมหากษัตริย์ไทยนั้นมีเป้าหมายอะไร เพราะพระมหากษัตริย์ของไทยอยู่ใต้รัฐธรรมนูญมาตั้งแต่การรัฐประหาร 2475 แล้ว

ครั้งหนึ่งปิยบุตร กล่าวว่า หากเราไปดูในประวัติศาสตร์โลกที่ผ่านมา การเปลี่ยนแปลงจากระบอบกษัตริย์อยู่เหนือกฎหมายเกิดขึ้นเพียงสองทางเท่านั้น คือกลายมาเป็นระบอบกษัตริย์อยู่ใต้กฎหมาย (Constitutional Monarchy) หรือกลายมาเป็นสาธารณรัฐ สุดท้ายถ้ากษัตริย์ไม่ปรับตัว หน่วยอำนาจใหม่ชนะก็จะกลายเป็นสาธารณรัฐ แต่ถ้าไปดูประเทศที่เปลี่ยนมาเป็น Constitutional Monarchy ได้ ก็เพราะกษัตริย์ยอมลดทอนอำนาจตัวเองลงให้มาอยู่ใต้ระบอบประชาธิปไตยเพื่อรักษาสถาบันพระมหากษัตริย์เอาไว้

แต่เมื่อไทยเราเป็น Constitutional Monarchy อยู่แล้ว ดังนั้นแท้จริงแล้วเป้าหมายของปิยบุตรก็คือ สาธารณรัฐนั่นแหละ เหมือนคำขู่เสมอมาว่า ถ้าไม่เอาปฏิรูปของต้องปฏิวัติ

การปฏิวัติก็คือการมุ่งล้มล้างระบอบเดิมเพื่อเปลี่ยนเป็นระบอบใหม่แบบล้มล้างโครงสร้างเก่าพลิกฝ่ามือนั่นเอง

ปิยบุตรพูดถึงการปฏิวัติฝรั่งเศสว่า จุดเปลี่ยนอันหนึ่งที่น่าสนใจ เมื่อฐานันดรที่สามที่เข้ามาเป็นสมาชิกสภา พวกนี้ไม่ได้อยากเป็นสาธารณรัฐ เขายืนยันจะให้มีกษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ แต่มันลื่นไถลไปเป็นสาธารณรัฐได้อย่างไร ปัจจัยสำคัญที่สุดคือพระมหากษัตริย์ เพราะพระมหากษัตริย์จะต้องยอมรับก่อนว่าสมบูรณาญาสิทธิ์ไปต่อไม่ได้แล้ว และขอเป็นกษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญแทน

“ดังนั้นขบวนการแบบประชาธิปไตยที่เคลื่อนมาเรื่อยๆ ตบมือข้างเดียวไม่ดัง ถ้าพระมหากษัตริย์ไม่ตบด้วย ท้ายที่สุดกษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญก็ไม่เกิด และถ้าพลังของประชาชนฝ่ายประชาธิปไตยยังเคลื่อนไปข้างหน้าเรื่อยๆ คราวนี้มันจึงไหลไปเป็นสาธารณรัฐ กรณีของฝรั่งเศสปรากฎชัดเจน ตั้งแต่ปี 1789-1792 ใน 3 ปีนี้ มีเหตุการณ์ โอกาสสำคัญๆ ที่หากหลุยส์ที่ 16 ปรับตัวให้เข้ากับระบบแบบใหม่ ยอมลดอำนาจตัวเองลง หลุยส์ที่ 16 ก็ยังจะเป็นพระมหากษัตริย์อยู่ต่อไป 

แต่เมื่อสถาบันพระมหากษัตริย์ของไทยอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญอยู่แล้ว สิ่งที่ปิยบุตรและพวกที่ออกมาเคลื่อนไหวต้องการนั่นคืออะไร ถ้าไม่ต้องการให้ประเทศไหลไปเป็นสาธารณรัฐ นั่นน่าจะเป็นเหตุผลเดียวที่ปิยบุตรพยายามเอาปฏิวัติฝรั่งเศสมากรอกหูสาวกเพื่อเป้าหมายเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองนั่นเอง

ในทางเปิดความคิดของปิยบุตรจึงมีจุดมุ่งหมายที่ไปไกลกว่า  สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล  ถ้าเราติดตามเขาจะเห็นว่า สมศักดิ์มีแนวคิดที่จะลดทอนบทบาทและสถานะของสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นสำคัญ เช่น ห้ามไม่ให้มีพระราชดำรัสต่อสาธารณะ หรือห้ามรับเงินที่จัดถวายโดยพระราชกุศล เป็นต้น

แต่นั่นแหละจริงๆ แล้วความคิดของสมศักดิ์ที่แสดงออกหลายครั้งอาจจะมีความคิดที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังว่า จริงแล้วเป้าหมายเพื่อลดทอนบทบาทและสถานะของสถาบันพระมหากษัตริย์ของเขานั้นเป็นเพียงบันไดขั้นแรกเท่านั้น จุดมุ่งหมายของเขาก็อาจจะไม่ต่างกับปิยบุตร เพราะคิดว่าถ้าบันไดขั้นแรกสำเร็จลง สิ่งที่จะตามมาก็คือ การไหลไปสู่ระบอบสาธารณรัฐแบบฝรั่งเศส

ข้อเรียกร้อง 10 ข้อของรุ้งปนัสยานั้น ก็มาจากความคิดของสมศักดิ์นั่นเอง

 ต้องยอมรับว่าวันนี้ทั้งปิยบุตรและสมศักดิ์สามารถปลูกฝังความคิดในหมู่คนรุ่นใหม่จำนวนมาก เมื่อประสานกับอาจารย์มหาวิทยาลัยที่มีแนวคิดเดียวกันอย่าง  ชาญวิทย์ เกษตรศิริ พวงทอง ภวัครพันธุ์ ประจักษ์ ก้องกีรติ อนุสรณ์ อุณโน ษัษฐรัมย์ ธรรมบุษดี ฯลฯ ทำให้พวกเขาสามารถหว่านพืชเพาะต้นกล้าลงไปสู่คนรุ่นใหม่ได้จำนวนมาก และเราเห็นพวกที่ออกมาชุมนุมกล้าด่าทอพระมหากษัตริย์ กล้าล้อเลียน และท้าทายมากขึ้น 

ข้อเรียกร้องของเด็กบนถนนที่บอกว่าต้องการปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์นั้น ก็เป็นเพียงการอำพรางเป้าหมายที่แท้จริง หากพิจารณาจากการแสดงออกของพวกเขาทั้งผ่านคำพูดทั้งบนเวทีและในโซเชียลมีเดีย

ทั้งนี้เพราะเด็กเหล่านั้นที่ไม่ได้มีทักษะในการหลบเลี่ยงความผิดทางกฎหมายแบบปิยบุตร ที่เอาประวัติศาสตร์ของการปฏิวัติฝรั่งเศสมาเป็นเกราะกำบัง เช่นเดียวกับสมศักดิ์ที่ตอนที่อยู่ในประเทศเขาไม่ได้กล้าแสดงออกที่โจ่งแจ้งนักแต่อาศัยชั้นเชิงทางภาษามาอำพรางตัว แต่เมื่อหนีไปอยู่ที่ฝรั่งเศสเขาถึงกล้าที่จะเปิดเผยตัวโจ่งแจ้งมากขึ้น เพราะรู้ว่ากฎหมายไทยไม่สามารถเอื้อมไปถึงนั่นเอง

หรือสื่อที่แสดงตัวออกมายุยงเด็กๆ ให้ทะลายเพดานขึ้นเรื่อยๆ อย่าง ใบตองแห้ง อธึกกิตต์ แสวงสุข ก็มีชั้นเชิงในการนำเสนอเพื่อหลีกเลี่ยงความผิดทางกฎหมายด้วยถ้อยคำของภาษา แต่รู้ว่าเจตนาลึกที่ต้องการสื่อสารออกมานั้นมีจุดมุ่งหมายอย่างไร รอวันแต่กิ้งกือจะเดินตกท่อเท่านั้นเอง

แต่เด็กที่พวกเขาทั้งสองหรืออาจารย์ในมหาวิทยาลัยหรืออีกหลายคนปลุกปั่นขึ้นมานั้นไม่มีทักษะ มีแต่ความห้าวคึกคะนอง และความกล้าเท่านั้นทำให้การสื่อสารของพวกเขาหรือการแสดงออกของเขาจึงเต็มไปด้วยความจาบจ้วงอย่างบ้าระห่ำ ไม่ต่างกับพวกเรดการ์ดของจีนที่มุ่งเน้นแต่จะทำลายล้างอย่างเดียว พวกเด็กๆ เหล่านี้จึงถูกดำเนินคดีตามมาตรา 112 จำนวนมาก เดินเข้าคุกครั้งแล้วครั้งเล่า เพราะถูกพวกผู้ใหญ่ที่นั่งอยู่หน้าคีย์บอร์ดยุยงให้พวกเดินหน้าไปเรื่อยๆ

ที่เป็นเช่นนั้นเพราะพวกเขาส่วนหนึ่งเริ่มมีความเชื่อว่า สุดท้ายแล้วพวกเขาจะต้องเป็นฝ่ายชนะ แม้อาจจะมีเด็กๆ จำนวนหนึ่งต้องสังเวยด้วยคุกด้วยตารางก็ตาม เพราะพวกเขาเชื่อว่าสุดท้ายแล้วประเทศไทยก็ต้องหมุนไปตามกงล้อแบบปฏิวัติฝรั่งเศสนั่นเอง แน่นอนพวกเขาอาจจะยุยงเด็กแบบ เพนกวิน พริษฐ์ หรือไผ่ ดาวดิน  ว่า ประวัติศาสตร์จะเขียนให้พวกเขาเหล่านี้เป็นวีรบุรุษ แม้จะต้องแลกด้วยชีวิตและการจองจำก็ตาม

แต่ก็อย่างที่สมศักดิ์ เจียมกล่าวไว้นั่นแหละว่า แม้เราจะเห็นเด็กแสดงความห้าวหาญในการกล่าวถึงสถาบันพระมหากษัตริย์อยู่บนถนน แต่อีกหลายคนที่ยุยงเด็กอยู่ข้างหลังก็หลบซ่อนตัวไม่กล้าที่จะแสดงความเห็นต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ออกมา ไม่ว่าจะเป็น  ภัควดี วีระภาสพงษ์ เก่งกิจ กิติเรียงลาภ และคงรวมถึงอีกหลายคนที่แอบอยู่หลังๆ ของเด็กๆ

แน่นอนวันข้างหน้าเด็กๆ เหล่านี้จะโตขึ้น ในวันข้างหน้าเขาอาจจะยังคงมีความคิดมีเป้าหมายเพื่อการเปลี่ยนแปลงโค่นล้มระบอบ หรือจะมีความคิดมากขึ้น เขาจะเข้าใจสภาพของสังคมไทยมากขึ้น ในอดีตคนเดือนตุลาจำนวนมากที่ถูกหล่อหลอมความคิดเพื่อโค่นล้มระบอบกษัตริย์เพื่อเปลี่ยนแปลงไปเป็นระบอบคอมมิวนิสต์ในวันนี้พวกเขาหลายคนมีความเข้าใจถึงความจำเป็นของการดำรงอยู่ของสถาบันพระมหากษัตริย์ไทย ดังนั้นวันเวลาอาจทำให้ความคิดของคนเราเปลี่ยนแปลงไปได้

 ที่น่าห่วงมากก็คือ หากเราติดตามการปลุกระดมมวลชนให้ออกมาบนท้องถนนกลับไม่มีเป้าหมายที่และจุดมุ่งหมายที่ชัดเจนว่าออกมาเพื่ออะไร และทุกครั้งก็ไม่เห็นเงาของอาจารย์มหาวิทยาลัย ปิยบุตร หรือธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ เดินออกมานำหน้าพวกเขาบนท้องถนน แกนนำที่ยุยงให้คนออกมาซ่อนตัวอยู่หลังคีย์บอร์ด บนเวทีการชุมนุมไม่มีการปราศรัยหรือวิจารณ์ความผิดพลาดของรัฐบาล มีแต่ถ้อยคำด่าทอและคำหยาบใต้สะดือ ถึงเวลาก็สั่งยุติการชุมนุมและปล่อยให้ผู้ชุมนุมอารมณ์ค้างปะทะกับตำรวจ และเตรียมเครื่องมือเครื่องไม้อาวุธมาเพื่อต่อสู้กับตำรวจ 

การชุมนุมทุกครั้งจึงตามมาด้วยความรุนแรงและเพิ่มความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ

สมศักดิ์ เจียมเอง ยังยอมรับว่า ไม่ว่าเราจะประเมินอย่างไร (และมีความเป็นไปได้ ที่จะประเมินจากด้านหนึ่งไปยังอีกด้านหนึ่ง ตามแต่รสนิยม) การชุมนุมแบบ Redem นี้ ยากจะปฏิเสธว่า คงไม่อาจนำมาซึ่งชัยชนะได้ จะว่าไปแล้ว การชุมนุมแบบที่จะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่วันข้างหน้า (ถ้าไม่เลิกเสียก่อน) ก็ไม่อาจจะประสบความสำเร็จเช่นกัน

แม้รู้ว่าไม่ชนะเว้นแต่คำเตือนของสมศักดิ์ เจียมแล้ว พวกผู้ใหญ่ที่ดันอยู่ข้างหลังเด็กก็ยังคงดันให้เด็กออกมาเรื่อยๆ เพื่อสะสมคดีความ และหลอกลวงว่า ชัยชนะกำลังอยู่แค่เอื้อม

 ใครที่ชื่นชมและซ่อนอยู่หลังเด็กๆ หากเชื่อว่านี่คือแนวทางที่ถูกต้องในการเปลี่ยนแปลงสังคมไทย ช่วยออกมานำหน้าเด็กๆ สิครับ ไม่ใช่ใช้ชีวิตและอนาคตของเด็กเป็นเครื่องมือสนองความใคร่ของตัวเองแบบนี้ 

ติดตามผู้เขียนได้ที่ https://www.facebook.com/surawich.verawan




กำลังโหลดความคิดเห็น