xs
xsm
sm
md
lg

จากเศรษฐกิจจีน...ถึงเศรษฐกิจโลก!!!

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ทับทิม พญาไท



วันนี้...คงต้องแวะกลับไปดูคุณพี่จีน ไปตรวจสอบ ตรวจเช็กลักษณะอาการของ “พญามังกร” เขาดูหน่อย เพราะอย่างที่ว่าเอาไว้เมื่อวัน-สองวันที่ผ่านมานั่นแหละว่า ภายใต้การแพร่ระบาดของท่านเชื้อไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่ หรือสายพันธุ์ “เดลตา” ที่ทำให้ไม่ว่าประเทศไหนต่อประเทศไหน ชักกลับไป “เดี้ยง...กับ...เดี้ยง” กันไปเป็นแถบๆ โดยเฉพาะในหมู่บรรดาประเทศในเอเชียทั้งหลาย จนอาจส่งผลไปถึงความพยายามฟื้นตัวของ “เศรษฐกิจโลก” ที่มีบรรดาประเทศในเอเชียโดยส่วนใหญ่นั่นแหละเป็นตัว “ขับเคลื่อน” หรือเป็น “ศูนย์รวมแห่งความเป็นห่วงโซ่อุปทาน” ยิ่งประเทศที่ใกล้จะมี “ขนาดเศรษฐกิจ” เป็นอันดับ 1 ของโลก อย่างคุณพี่จีนด้วยแล้ว ยิ่งต้องคอยตรวจสอบ ตรวจเช็ก คอยจับตายิ่งขึ้นไปใหญ่...

แต่ว่ากันว่า...เมื่อสักช่วงวันพฤหัสฯ ที่แล้ว (8 ก.ค.) ธนาคารกลางของจีน หรือ “People’s Bank of China” (PBOC) เขาได้ออกอาการแปลกๆ ที่ทำให้ใครต่อใครต้องหยิบเอาไปโจษจัน ไปวิเคราะห์ สังเคราะห์กันตามสมควร นั่นคือการตัดสำรองเงินทุนสำรองของธนาคาร หรือการอนุมัติให้ลดปริมาณเงินทุนสำรองของธนาคารแต่ละธนาคาร ที่เอาไว้ประกันความเสี่ยง หรือเอาไว้สร้างความมั่นคงในรูปแบบต่างๆ ลงไปประมาณ 0.5 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งอาจดูนี๊ดๆ โหน่ยๆ จิ๊บๆ จ้อยๆ ถ้าหากดูกันเป็นเปอร์เซ็นต์ แต่ถ้าคิดคำนวณออกมาเป็นตัวเงิน เป็นหยวนๆ เป็นดอลลาร์แล้ว ก็ต้องถือว่า “เอาเรื่อง” อยู่พอสมควรเหมือนกัน คือตกประมาณ 154,000 ล้านดอลลาร์ หรือ 1 ล้านล้านหยวน เอาเลยถึงขั้นนั้น หรือถือเป็นปริมาณเงินที่บรรดาธนาคารแต่ละธนาคาร จะสามารถนำไปอัด ไปฉีด ไปใช้ในการ “กระตุ้นเศรษฐกิจ” โดยเฉพาะต่อบรรดาธุรกิจรายเล็ก รายน้อย รายย่อย ภายในหมู่คุณพี่จีนทั้งหลาย...

อันนี้นี่แหละ...ที่ทำให้ใครต่อใครเขาต้องออกมาวิเคราะห์ สังเคราะห์ กันอย่างเป็นระบบ เป็นกระบวนการจำนวนมิใช่น้อย หรือทำให้เกิดการแปลความ ตีความ ไปในทำนองว่า อาจถือเป็น “สัญญาณ” บางอย่าง ที่สะท้อนให้เห็นถึงการ “ชะลอตัว” การโตแบบที่ชักจะไม่ได้ออกไปทางโตโยต้า หรือการ “โตช้า” ของเศรษฐกิจจีน อันย่อมส่งผลกระเพื่อมไปถึงเศรษฐกิจโลกของโลกทั้งโลก อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงและปฏิเสธได้ เพราะอย่างที่หัวหน้าฝ่ายเศรษฐกิจ “Nomura Holdings Inc.” “นายRob Subbaraman” เขาได้ออกมาสรุปเอาไว้เมื่อไม่นานนี้นั่นแหละว่า ระบบเศรษฐกิจจีนในทุกวันนี้ มีอิทธิพลต่อเศรษฐกิจโลกเพิ่มขึ้นกว่า 5 ปีที่แล้ว ไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่า เพราะนอกจากจะมี “ขนาด” ใหญ่โตเทียบเคียงกับมหาอำนาจอันดับหนึ่ง อย่างสหรัฐอเมริกา ชนิดใกล้จะไล่เบียด ไล่แซง ในอีกไม่ใกล้-ไม่ไกล การเอาชนะ เอาอยู่ ต่อการแพร่ระบาดของท่านเชื้อไวรัสโควิด-19 ได้อย่างเป็นมรรค เป็นผล ยังทำให้แนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีน แทบไม่ต่างอะไรไปจากพลังขับเคลื่อนแบบ “หัวรถจักรของเศรษฐกิจโลก” อะไรทำนองนั้น...

ยิ่งโดยเฉพาะช่วงไตรมาสแรกของปีนี้...ที่เศรษฐกิจจีนกลับมาฟื้น กลับมาโตซะยิ่งกว่าโตโยต้า คือโตไปถึง 18.3 เปอร์เซ็นต์เอาเลยถึงขั้นนั้น อันเนื่องมาจากเมื่อนำไปเทียบเคียบกับฐานตัวเลขสถิติเมื่อปีก่อน ที่ยังต้องสู้ ต้องเอาชนะ ท่านเชื้อไวรัสโควิด-19 ยังไม่แล้วเสร็จ การกลับมาโตกันแบบระเบิดเถิดเทิง แบบอุจจาระแตกอุจจาระแตน เช่นนี้นี่เอง ที่ทำให้แนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีน ว่ากันว่า...น่าจะเป็นไปในรูปตัววี หรือ “V-shape” อะไรประมาณนั้น คือเด้งดึ๋งๆ จนเกิดแรงฉุดแรงกระชาก พอให้ใครต่อใครในโลกพลอยได้ซู๊ดๆ ซ๊าดๆ ตามจีนไปด้วย แต่เมื่อมาถึงช่วงไตรมาสสอง อะไรที่เคยโตๆ มันชักทำท่าว่า ไม่ไหวจะโต กันต่อไปสักเท่าไหร่ คืออัตราการโตมันลดลงมาเหลือเพียงแค่ 8 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นเอง หรือทำให้ลักษณะการฟื้นตัว ชักออกไปทางตัวดับเบิลยู หรือ “W-shape” คือชักผงกไป-ผงกมา ชักขึ้นๆ-ลงๆ จนอาจเป็นเหตุให้ธนาคารกลางของจีน จึงต้องหันมา “กระตุ้นเศรษฐกิจ” ครั้งใหม่ ด้วยการลดปริมาณเงินทุนสำรองของธนาคารต่างๆ เพื่อให้เกิดการนำเอาไปปล่อยกู้ให้มากๆ เข้าไว้ อะไรทำนองนั้น...

โดยไม่ว่ามันจะเป็นไป...ตามนั้น หรือไม่ อย่างไร ก็ตามที แต่โดยสรุปรวมความแล้ว บรรดานักวิเคราะห์ นักสังเคราะห์ทั้งหลาย ต่างดูจะเห็นพ้องต้องกันไปในแนวเดียวกันว่า มันคงไม่ใช่เป็นเพราะ “ปัญหา” ภายในของระบบเศรษฐกิจจีนมากมายสักเท่าไหร่ แต่น่าจะเป็นเพราะ “การแพร่ระบาดระลอกใหม่” ของท่านเชื้อไวรัสโควิด สายพันธุ์ “เดลตา” นั่นเอง ที่ทำให้บรรดาอุปสงค์และอุปทานต่างๆ ในโลก ต่างต้องชะงักงัน ต้องหัวทิ่ม หัวตำ อันเนื่องมาจากแต่ละประเทศต้องหันมาออกมาตรการคุมเข้มกันใหม่ และสิ่งเหล่านี้กลายเป็นตัวฉุดดึงไม่ให้เศรษฐกิจจีน สามารถโตโยต้า สามารถ “V-shape” ได้อีกต่อไป ต้องผงกหน้า-ผงกหลัง ต้องดับเบิลยู ไปตามความเป็นไปของโลกอย่างมิอาจหลีกเลี่ยงและปฏิเสธได้...

ดังนั้น...เมื่อหัวรถจักรอย่างเศรษฐกิจจีน ยังมิอาจฉุดกระชากลากถูเศรษฐกิจโลก ให้เป็นไปตามที่หวัง ที่คาด แนวโน้มที่เศรษฐกิจในประเทศต่างๆ จะ “เดี้ยง...กับ...เดี้ยง” ต่อไปกันอีกเป็นแถบๆ จึงมีความเป็นไปได้สูงเอามากๆ หรือต่างต้องหนักไปทางโตช้า ไม่ก็ไม่ตายแต่เลี้ยงไม่โต ไม่ต่างไปจากเศรษฐกิจจีนเขานั่นแหละ หรืออย่างที่ที่ประชุมรัฐมนตรีคลังของกลุ่มประเทศ G20 ซึ่งได้รวมหัว รวมตัว พูดคุยเจ๊าะๆ แจ๊ะๆ ที่กรุงเวนิสเมื่อช่วงวันเสาร์ (10 ก.ค.) ที่ผ่านมาที่ได้เริ่ม “ส่งสัญญาณ” ออกมาบ้างแล้วว่า การแพร่ระบาดระลอกใหม่ของเชื้อไวรัสโคโรนา จะเป็นตัวสร้างแรงกดดันให้เกิด “ความเปราะบาง” ของเศรษฐกิจโลก อย่างเห็นได้ชัดเจน หรือก่อให้เกิด “อัตราเสี่ยง” เพิ่มขึ้นๆ จนแต่ละประเทศควรต้องระมัดระวังอันตรายภายในระบบเศรษฐกิจของตัวเองให้มากๆ เข้าไว้...

แม้แต่ประเทศไทยแลนด์ แดนสยาม ของหมู่เฮาก็เถอะ!!! ถึงจะมี “พระสยามเทวาธิราช” ท่านช่วยปกป้องคุ้มครองมาโดยตลอด แต่ช่วงหลังๆ นี้...ท่านก็น่าจะ “ชราภาพ” ลงไปมั่งแล้ว ดังนั้น...ก็ถือเป็นเรื่องที่บรรดาคนไทยทั้งหลาย จะต้องหันมาเพิ่มความแข็งแกร่ง แข็งแรง ให้กับตัวของตัวเอง ต้องหันมาโตด้วยตัวของตัวเอง ยืนหยัดอยู่บนลำแข้งของตัวเองให้จงได้ เพราะโดยแนวโน้มเศรษฐกิจของบ้านเรา ขณะที่ต้องเจอกับการแพร่ระบาดระลอกใหม่ ต้องยอมรับว่า...ออกจะเป็นอะไรที่น่าห่วง น่ากังวล มิใช่น้อย การซื้อ-ขายใน “ตลาดหุ้น” นั้น เห็นว่าหกคะเมนตีลังกา ต่อเนื่องมาเป็นสัปดาห์ที่ 4 เข้าไปแล้ว ทุนนอกทำท่าว่าจะ “ไหลออก” กันแบบพลั่กๆๆ การล็อกดาวน์ หรือเซมิ ล็อกดาวน์ กรุงเทพมหานครอันเป็นตัวสร้างรายได้ให้กับประเทศไม่น้อยกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ของจีดีพีมาโดยตลอด ทำให้ตัวเลขการว่างงานช่วงครึ่งปีแรก เพิ่มขึ้นไปเป็น 1.9 เปอร์เซ็นต์ สูงสุดนับจากปี ค.ศ. 2009 เป็นต้นมา ฯลฯ อะไรต่อมิอะไรเหล่านี้นี่แหละที่คงต้องระมัดระวังกันให้มากๆ เข้าไว้...

โดยเฉพาะจากการร่วมประชุมหารือของ 2 หน่วยงานหลักๆ คือ “คณะกรรมการนโยบายการเงิน” หรือ “กนง.” และ “คณะกรรมการนโยบายสถาบันการเงิน” หรือ “กนส.” เมื่อไม่นานมานี้ เพื่อติดตามและประเมินผลถึง “เสถียรภาพระบบการเงินของประเทศ” และได้ข้อสรุปที่ออกจะน่าห่วง น่ากังวล มิใช่น้อย นั่นคือการตั้งข้อสังเกตถึงการเพิ่มขึ้นของ “หนี้สินครัวเรือน” ที่ไปๆ-มาๆ มันพุ่งแบบติดจรวดไปถึงระดับ 90.5 เปอร์เซ็นต์ของตัวเลขจีดีพีเข้าไปแล้ว หรือเป็นตัวส่งสัญญาณให้เห็นว่าครัวเรือนแต่ละครัวเรือน ชักออกไปทาง...บ๋อๆ แบ๋ๆ!!! ชักไม่เหลือเงินเอาไว้ใช้หนี้ ไม่ว่าในระยะสั้น หรือระยะยาวยิ่งโดยเฉพาะอันเนื่องมาจาก “การฟื้นตัวที่ล่าช้า” ของเศรษฐกิจโลก แม้ว่าโดยภาพรวมของระบบการเงินภายในประเทศ สถาบันการเงิน รวมทั้งตลาดการเงิน ยังมีเสถียรภาพและยังทำหน้าที่ได้ตามปกติก็ตาม อันนี้นี่แหละ...ที่จะต้องหันมาให้ความสนใจ ให้ความสำคัญให้มากๆ เข้าไว้...นะจ๊ะ...นะจ๊ะ!!!




กำลังโหลดความคิดเห็น