xs
xsm
sm
md
lg

ทางออกของรัฐบาลประยุทธ์ กับวิกฤตทางการเมือง

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



หนึ่งความคิด
สุรวิชช์ วีรวรรณ

ณ สถานการณ์ตอนนี้ สิ่งที่ควรจะทำก็คือ ช่วยกันพาประเทศให้พ้นจากวิกฤตโควิด ด้วยการชวนกันออกไปฉีดวัคซีนให้มากที่สุดเพื่อให้เกิดภูมิต้านทานหมู่ เพราะเดือนหน้าม้าเต็งคือแอสตร้าเซเนก้าที่ผลิตในประเทศไทย และได้รับการรับรองมาตรฐานจากยุโรปและอเมริกากำลังจะวิ่งเข้าวิน เมื่อรวมกับวัคซีนยี่ห้ออื่นที่เราจัดหามา เราจะมีวัคซีนที่เพียงพอที่จะฉีดให้กับคนทั้งประเทศภายในปีนี้แล้ว

แต่สิ่งที่น่ากังวลก็คือ ตอนนี้คนส่วนใหญ่ยังกลัววัคซีนมากกว่าโควิด ทั้งที่โอกาสเสียชีวิตจากโควิดมีเปอร์เซ็นต์ที่สูงกว่าการเสียชีวิตจากการฉีดวัคซีนหลายเท่า และถ้าฉีดแล้วโอกาสการเสียชีวิตจะน้อยลง ซึ่งถ้ารัฐบาลทำให้ประชาชนเกิดความเชื่อมั่นได้ หลังจากนี้เราคงฉีดกันรัวๆ แซงหน้าประเทศอื่นในภูมิภาคอย่างแน่นอน

และเพราะสถานการณ์ที่รุนแรงของโควิดนี่เองที่ทำให้ความขัดแย้งทางการเมืองซาลงไปบ้าง แม้จะมีการลับฝีปากตอบโต้กันไปมาผ่านสื่ออยู่บ้างก็ตาม

อีกด้านคงเป็นเพราะแกนนำคนรุ่นใหม่หลายคนที่ออกจากคุกแล้วและกำลังออกจากคุก ต่างพากันยอมรับเงื่อนไขของศาลที่จะไม่เคลื่อนไหวใดๆ ให้เกิดความเสียหายต่อสถาบันพระมหากษัตริย์อีก นอกจากนั้นยังมีอีกหลายคนที่รอคิวให้อัยการส่งฟ้องดำเนินคดี และจะถูกควบคุมกุมขังหรือไม่ก็คงอยู่ในเงื่อนไขเดียวกันจะไม่ทำให้เกิดความเสียหายต่อสถาบันพระมหากษัตริย์อีก

แต่ต้องไม่ลืมว่า เงื่อนไขของศาลนั้นมิใช่การห้ามเข้าร่วมการชุมนุมซึ่งเป็นสิทธิอันชอบธรรมในระบอบประชาธิปไตย ก็ต้องดูว่า หลังจากนี้แล้วพวกเขาจะมีแนวทางการเคลื่อนไหวอย่างไรไม่ขัดกับเงื่อนไขที่ให้ไว้กับศาล

แม้ว่าอำนาจตามกฎหมายของฝ่ายถืออำนาจรัฐจะสามารถลิดรอนพลังของฝ่ายต่อต้านลงไปได้ แต่อย่าชะล่าใจว่า ฝ่ายต่อต้านได้เพลี่ยงพล้ำลงแล้ว เพราะสิ่งที่พวกเขาได้ทำประสบความสำเร็จแล้วก็คือ การวิพากษ์วิจารณ์สถาบันพระมหากษัตริย์อย่างเปิดเผยต่อสาธารณะ แม้จะต้องแลกด้วยความผิดตามมาตรา 112 ก็ตาม และพวกเขาทำให้คนรุ่นใหม่จำนวนมากมีวิกฤตศรัทธาต่อสถาบันพระมหากษัตริย์

และเราเห็นได้ว่า พวกเขากล้าที่จะแสดงความเห็นที่หมิ่นเหม่ส่อเสียดต่อสถาบันอย่างชัดแจ้งขึ้นในโซเชียลมีเดีย และกระทำการต่อต้านสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างเปิดเผย อย่างเช่น กรณีที่เพจของเคเอฟซี โพสต์ข้อความถวายพระพรก็ยังถูกเข้าไปถล่มจำนวนมาก

พวกเขาทำให้มวลชนของระบอบทักษิณซึ่งยังมีอยู่จำนวนมาก สามารถเชื่อมโยงเข้ากับคนรุ่นใหม่ซึ่งเป็นอนาคตของชาติ และแน่นอนว่า คนรุ่นใหม่เหล่านี้ยังเหลือเวลาที่จะอยู่บนแผ่นดินนี้ได้ยาวนานกว่า แม้เราอาจจะยังไม่รู้ว่า ทัศนคติเชิงลบต่อสถาบันนั้นได้เกิดขึ้นแก่คนรุ่นใหม่ส่วนใหญ่หรือไม่ก็ตาม

ต้องยอมรับนะครับว่า ฝ่ายต่อต้านอำนาจรัฐนั้นมองรัฐบาลผูกโยงกับสถาบันพระมหากษัตริย์ แม้ว่าความเชื่อกับความจริงของพวกเขาจะถูกต้องหรือไม่ก็ตาม และดูเหมือนว่าจะยากที่เราจะลบความเชื่อนั้นให้หมดไป การกระทำทุกอย่างของรัฐบาลจึงถูกเอาไปผูกโยงกับสถาบันพระมหากษัตริย์ด้วย

แม้กระทั่งความผิดพลาดในเรื่องโควิดต้องยอมรับนะครับว่า การตัดสินใจไม่ห้ามการเดินทางช่วงสงกรานต์นั้น ทำให้เชื้อโควิดกระจายไปทั่วประเทศ จนยากที่จะรับมือได้ในตอนนี้ การที่มียอดผู้เสียชีวิตที่สูงทุกวันนั้นน่าจะสะท้อนว่าระบบสาธารณสุขของเราไม่อาจรับมือได้ทันกับยอดคนป่วยอาการหนักที่มีเป็นจำนวนมากได้

ความผิดพลาดนี้เป็นความผิดพลาดของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในฐานะนายกรัฐมนตรีที่ยากจะปฏิเสธความรับผิดชอบได้ และมันสะท้อนศักยภาพของ พล.อ.ประยุทธ์ในการรับมือกับสถานการณ์แบบนี้อย่างไม่ต้องสงสัย แม้ว่าภาวการณ์แบบนี้จะเกิดขึ้นกับหลายประเทศทั่วโลกเหมือนกัน แต่ยังไงเสียคนในประเทศนั้นๆ ก็ต้องพุ่งคำถามไปยังศักยภาพของผู้นำรัฐบาลของตัวเองอยู่ดี

ดังนั้นทั้งการใช้อำนาจทางกฎหมายจัดการกับฝ่ายตรงข้ามและสถานการณ์โควิดที่ช่วยทำให้ความตึงเครียดทางการเมืองลดลง แต่มันสะท้อนว่า หากสถานการณ์โควิดคลี่คลายลงไปแล้ว ความขัดแย้งทางการเมืองก็คงต้องกลับมาปะทุขึ้นอีกอย่างแน่นอน และความขัดแย้งนั้นก็จะส่งผลไปถึงสถาบันพระมหากษัตริย์ด้วย

โชคดีของ พล.อ.ประยุทธ์ก็คือ แม้จะเกิดความผิดพลาดในการรับมือกับโควิดในระลอกที่สามซึ่งเกิดขึ้นจากกลไกรัฐและการวางแผนรับมือที่ผิดพลาดของรัฐบาล แต่ประชาชนกลุ่มหนึ่งก็ยังโอบอุ้มเพียงเพราะพวกเขาไม่อาจยอมรับกับเป้าหมายของฝ่ายตรงข้ามที่มุ่งหวังไปถึงการเปลี่ยนโครงสร้างระบอบของประเทศ และการแสดงออกที่ดูหมิ่น หมิ่นประมาท อาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ของอีกฝ่ายหนึ่งได้ พวกเขาจึงยังคาดหวังว่า พล.อ.ประยุทธ์ยังเป็นที่พึ่งพิงของพวกเขา

อย่างไรก็ตามแม้ในฝ่ายที่สนับสนุนรัฐบาลเองก็มีคนไม่น้อยก็เริ่มตั้งคำถามถึงความสามารถในการรับมือกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับ พล.อ.ประยุทธ์ เพียงแต่มันมีคำถามที่ต้องให้คิดตามว่า ถ้าไม่ใช่ พล.อ.ประยุทธ์แล้วจะเป็นใคร และยังไม่มีความชัดเจนมากพอที่จะมีใครมาทดแทนได้ โดยต้องเป็นคนที่มีความจงรักภักดีสามารถรับมือกับฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองได้ และสามารถนำพาประเทศให้หลุดพ้นจากสถานการณ์โควิดได้ด้วย

เพียงแต่ตอนนี้มีคำเตือนว่า ไม่ควรจะเปลี่ยนม้ากลางศึกเท่านั้นเอง

หลายคนเชื่อว่าทางออกของ พล.อ.ประยุทธ์จะมีอยู่ไม่มากนัก นั่นคือรับมือกับสถานการณ์โควิดให้ผ่านพ้นวิกฤตไปแล้ว ผ่านวาระงบประมาณแล้วยุบสภาเพื่อเลือกตั้งกันใหม่ แต่ถ้าเล่นเกมนี้สิ่งที่ตามมาก็คือวิกฤตการณ์ทางการเมืองที่อาจจะรุนแรงยิ่งขึ้น เพราะฝ่ายตรงข้ามไม่ยอมรับรัฐธรรมนูญฉบับนี้ และถ้าสู้กันด้วยกติกาแบบเดิม พล.อ.ประยุทธ์ก็ยังได้เปรียบจากการมีมือของส.ว.250คนที่พร้อมจะโหวตให้ พล.อ.ประยุทธ์กลับมาอีก

หรือเลวร้ายที่สุดถ้าเปลี่ยนเป็นคนอื่นก็ยังคงเป็นคนที่ต้องได้รับการสนับสนุนจากคสช.อยู่ดี ไม่มีทางที่ฝ่ายตรงข้ามจะพลิกขั้วเข้ามาจัดตั้งรัฐบาลได้เลย เมื่อฝ่ายตรงข้างเห็นแล้วว่าไม่สามารถสู้กันในระบบตราบที่กติกายังเป็นแบบนี้ได้ เขาก็ต้องสู้บนถนนหันไปสนับสนุนคนรุ่นใหม่ และสุดท้ายก็เห็นอยู่แล้วว่า ข้อเรียกร้องของม็อบนั้นไม่ได้หยุดที่รัฐบาลหรือการแก้รัฐธรรมนูญ แต่ลุกลามไปถึงสถาบันพระมหากษัตริย์ด้วย

ทางออกอีกทางก็คือ นำประเทศให้เดินไปสู่เส้นทางปกติด้วยการแก้ไขรัฐธรรมนูญเสียก่อนแล้วค่อยยุบสภาเลือกตั้งกันใหม่

หลายฝ่ายมองว่าการแก้รัฐธรรมนูญนั้นต้องปลดอำนาจของ ส.ว.ในการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีออกไป เพื่อให้การเลือกตั้งสามารถต่อสู้กันด้วยเสียงข้างมากของประชาชนอย่างแท้จริง แต่ดูเหมือนว่าข้อเสนอในการแก้รัฐธรรมนูญรายมาตราของพรรคพลังประชารัฐที่แสดงออกผ่านไพบูลย์ นิติตะวันไม่ได้เลือกแนวทางนี้ ดังนั้นความขัดแย้งก็ไม่สามารถยุติลงได้อยู่ดี ถ้าอำนาจในการโหวตนายกรัฐมนตรีของส.ว.ยังคงอยู่

รู้อยู่ครับว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อลดทอนอำนาจของส.ว.เป็นเรื่องยาก เพราะรัฐธรรมนูญฉบับนี้ถูกทำให้แก้ยาก และต้องให้ส.ว.ส่วนใหญ่เห็นด้วยกับการลดทอนอำนาจตัวเองลง ซึ่งคงเกิดขึ้นได้ยาก เว้นเสียแต่ว่า คนที่ทำคลอดส.ว.ชุดนี้นั่นแหละต้องกดปุ่มเพื่อให้ส.ว.เปิดทางในการลดอำนาจของตัวเองลงมา ดังนั้นมันขึ้นอยู่กับว่า ฝ่ายที่กุมอำนาจอยู่ตอนนี้นั้นมองเห็นหรือไม่ว่า สถานการณ์แบบนี้ยิ่งทำให้ประเทศไม่มีทางออก และกำลังลุกลามบานปลายไป

หลายคนอาจหวั่นว่า ถ้าแก้รัฐธรรมนูญตัดอำนาจส.ว.ออกไปแล้ว ฝ่ายตรงข้ามรัฐบาลขณะนี้อาจจะชนะเลือกตั้ง แล้วรัฐบาลที่เกิดขึ้นอาจจะเป็นภยันตรายต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ เพราะเห็นข้อเรียกร้องที่ชัดเจนของม็อบอยู่ในเวลานี้อยู่แล้ว แต่ผมกลับมองว่า ประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศนี้ยังคงยึดมั่นในพระมหากษัตริย์ที่มีคุณูปการอย่างมากต่อประเทศนี้ คงไม่มีใครยอมให้ประเทศเดินไปสู่แนวทางที่ม็อบและบางคนคาดหวังได้ หากไปถึงตรงนั้นจะเกิดพลังมวลมหาประชาชนอย่างมหาศาลออกมาต่อสู้และปกป้องอย่างแน่นอน

แต่ถ้ารัฐธรรมนูญเป็นประชาธิปไตยเป็นกติกาที่ชอบธรรม หากฝ่ายที่กุมอำนาจรัฐในขณะนี้กลับมาชนะได้ ข้ออ้างที่จะออกมาสร้างความปั่นป่วนและภัยที่ลุกลามไปยังสถาบันพระมหากษัตริย์ก็จะยุติลงไป เพราะเท่ากับว่าประชาชนได้ตัดสินอนาคตของตัวเองแล้ว

ติดตามผู้เขียนได้ที่https://www.facebook.com/surawich.verawan


กำลังโหลดความคิดเห็น