xs
xsm
sm
md
lg

ต้องเลิกใช้เด็กบังหน้า ถึงเวลาอีแอบออกมานำม็อบเอง

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



หนึ่งความคิด
สุรวิชช์ วีรวรรณ 

ต้องยอมรับว่า การต่อสู้ของคนสองฝ่ายในสังคมในวันนี้นั้นเป็นการต่อสู้ที่มีผลต่อเนื่องมาตั้งแต่ม็อบขับไล่ทักษิณที่แบ่งคนในสังคมออกเป็น 2 ฝ่ายที่มีความคิดเห็นและอุดมการณ์ทางการเมืองที่ขัดแย้งกัน   

คนกลุ่มหนึ่งถูกมองว่า เป็นพวกอำนาจเก่า ต่อต้านประชาธิปไตย เป็นพวกอนุรักษ์นิยม และหวาดกลัวความเปลี่ยนแปลงทางการเมือง หรือกระทั่งเรียกว่าเป็นพวกขุนศึก ศักดินา คนอีกฝ่าย มองว่าตัวเองเป็นฝ่ายประชาธิปไตย ก้าวหน้า เป็นพวกเสรีนิยม เป็นพวกโลกนิยม ยึดมั่นในสิทธิเสรีภาพที่ไม่ยึดติดกับรูปแบบขนบธรรมเนียมที่คร่ำครึ     
แต่ต่างฝ่ายต่างเชื่อว่า ความคิดของตัวเองเป็นฝ่ายถูก และเหมาะสมกับการนำพาประเทศให้ก้าวไปข้างหน้า และมองอีกฝ่ายว่าเป็นพวกชั่วร้ายที่บ่อนเซาะทำลายประเทศ จนยากที่จะกลับมาสมานฉันท์กันได้อีกแล้ว นอกจากจะต่อสู้ช่วงชิงกันจนแตกหัก เพราะทุกวันนี้ต่างฝ่ายต่างยากที่จะอยู่ร่วมกันได้ถ้าพูดถึงอุดมการณ์ทางการเมือง  

ความขัดแย้งทางการเมืองที่เนิ่นนานทำให้เราจำแนกได้ไม่ยากว่าอันไหนเป็นจุดยืนของเสื้อแดงอันไหนเป็นจุดยืนของเสื้อเหลือง เสื้อแดงถูกมองว่าส่วนใหญ่เป็นคนรากหญ้าต่างจังหวัด ส่วนเหลืองแดงนั้นเป็นชนชั้นกลางในเขตเมือง แม้วันนี้ความเป็นเสื้อสีจะค่อยเจือจางลง แต่ลักษณะการแบ่งแยกด้วยจุดยืนและทัศนคติทางการเมืองก็ยังคงแบ่งฝ่ายชัดไม่แปรเปลี่ยน  

และดำรงไปไม่ต่างกับทฤษฎีสองนคราประชาธิปไตย ที่นำเสนอโดย เอนก เหล่าธรรมทัศน์ ที่สะท้อนสภาพปรากฏการณ์ทางการเมืองไทยช่วงหนึ่ง ว่า คนชนบทเป็นผู้ “ตั้ง” รัฐบาล เพราะเป็น “ฐานเสียง” ส่วนใหญ่ของพรรคการเมือง ขณะที่คนชั้นกลางเมืองเป็นผู้ “ล้ม” รัฐบาล เพราะเป็น “ฐานนโยบาย” ของรัฐบาล แม้ว่าโดยเนื้อหาสาระและการแบ่งฝ่ายจะเปลี่ยนแปลงไปบ้างแต่สิ่งที่เกิดขึ้นก็พอจะยังนำทฤษฎีของเอนกมาเทียบเคียงได้

การต่อสู้มานับ 10 ปีนั้นต่างฝ่ายผลัดกันเพลี่ยงพล้ำและเข้าสู่อำนาจสลับกันไป แต่ไม่มีใครยึดครองอำนาจได้อย่างมั่นคง ทั้งนี้เพราะมีฐานมวลชนที่ก้ำกึ่งกันอย่างชนิดที่เรียกว่า ครึ่งต่อครึ่งถ้ามองจากผลคะแนนผ่านการเลือกตั้งที่สองฝ่ายต่างก็มีจำนวนคะแนนเสียงโดยรวมที่ไม่แตกต่างกันมาก สังคมไทยเลยเป็นสังคมที่ชักกะเย่อกันมาเนิ่นนานจนยากที่จะหาฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งชนะอย่างเด็ดขาดได้

หลังการต่อสู้มากว่า 10 ปี เรากลายเป็นประเทศที่ไม่มีเสถียรภาพและความมั่นคงทางการเมืองมากที่สุดในภูมิภาค จนกระทั่งส่งผลต่อความไม่มั่นคงทางเศรษฐกิจ ก่อนที่จะเกิดรัฐประหารในพม่าไม่กี่วันมานี้ เราถูกนำไปเปรียบกับประชาธิปไตยในพม่า ในขณะที่ทางเศรษฐกิจเราถูกเปรียบเทียบกับเวียดนาม ที่เขามีรัฐบาลที่มีเสถียรภาพเพราะเป็นระบอบคอมมิวนิสต์

ซึ่งฟังดูแล้วก็แปลกหูดีเมื่อฝ่ายประชาธิปไตยบ้านเราแดกดันรัฐบาลว่า นำประเทศล้าหลังกว่าเวียดนามที่กำลังมีความก้าวรุดหน้าทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็ว เพราะมีผู้นำเผด็จการ

แต่ช่วงปีสองปีมานี้มีตัวแปรใหม่ที่สำคัญของการเมืองบ้านเราคือ มันได้เปลี่ยนคู่ต่อสู้ระหว่างเสื้อแดงเสื้อเหลืองระหว่างคนชนบทคนเมืองมาเป็นคนรุ่นเก่ากับคนรุ่นใหม่ แต่ขั้วขัดแย้งทางการเมืองที่เป็นขั้วขัดแย้งเดิมก็ยังคงตั้งมั่นที่จะรักษาความคิดและอุดมการณ์ของตัวเองอยู่

และที่แปลกคือคนรุ่นใหม่ซึ่งเป็นนักเรียนนักศึกษาที่ผ่านรั้วมหาวิทยาลัยซึ่งส่วนใหญ่เป็นลูกหลานของชนชั้นกลางนั้นมีความคิดสมาทานกับคนเสื้อแดงหรือคนที่นิยมทักษิณ พวกที่อ้างตัวว่าเป็นฝ่ายประชาธิปไตย ทำให้คนรุ่นเก่าซึ่งต่อต้านระบอบทักษิณถูกมองว่า เป็นพวกไดโนเสาร์ เป็นพวกต่อต้านประชาธิปไตย จนกระทั่งทำให้เกิดความขัดแย้งในครอบครัวขึ้น พ่อกับแม่ทะเลาะกับลูกหลานของตัวเอง จนกระทั่งมีข่าวเด็กหนีออกจากบ้านหรือถูกพ่อแม่ไล่ออกมา

อาจจะมีเหมือนกันที่วันนี้คนที่เคยต่อต้านระบอบทักษิณ เป็นเสื้อเหลืองชนชั้นกลางได้เปลี่ยนสถานะไปสนับสนุนฝั่งคนรุ่นใหม่และกลายเป็นแนวร่วมกับคนเสื้อแดงไป คนเหล่านี้หลายคนเปลี่ยนไปตามลูกหลานของตัวเองที่ออกมาชุมนุมขับไล่รัฐบาลประยุทธ์ที่กลายเป็นกระแสในหมู่คนรุ่นใหม่

เมื่อเปลี่ยนแปลงไปตามลูกหลานจากพวกเสื้อเหลืองจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์คนเหล่านี้ก็เปลี่ยนไปเป็นพวกเรียกร้องให้ปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ ไปถึงเรียกร้องให้ลดทอนบทบาทและสถานะของพระมหากษัตริย์ จนกระทั่งเห็นด้วยกับความคิดที่เปลี่ยนแปลงรูปแบบของรัฐไปเป็นสาธารณรัฐโน่นเลยทีเดียว วันนี้ผมเห็นอดีตคนใส่เสื้อเราจะสู้เพื่อในหลวงบางคนไปคอมเมนต์เอออออยู่ท้ายโพสต์ของ สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล ที่วิพากษ์วิจารณ์สถาบันพระมหากษัตริย์  

อดีตคนเสื้อเหลืองที่เปลี่ยนใจไม่น้อยวันนี้เมื่อได้ยินเด็กใช้เวทีการชุมนุมด่าทอสถาบันพระมหากษัตริย์ด้วยคำหยาบคายแต่กลับกลายเป็นถ้อยคำที่รู้สึกว่ารื่นหู เหมือนที่นิธิ เอียวศรีวงศ์ อ้างว่า เป็นการทำลายช่วงชั้นและคำหยาบเป็นความเสมอภาค

จนกระทั่งคนในโซเชียลพากันสาดคำหยาบหรือเรียก ไอ้เห้..นิธิ เพื่อลดช่วงชั้นและความเสมอภาคกันอย่างสนุกปาก 
 
ทั้งที่สิ่งที่นิธิพยายามตะแบงผ่านบทความของเขานั้นเป็นเพียงการกระทำเพื่อให้เด็กเชื่อว่าสิ่งที่ทำอยู่นั้นเป็นความถูกต้องชอบธรรม เป็นการดันหลังเด็กให้เดินหน้าไปไม่ถอยกลับ เพราะคำหยาบทำให้คนเท่ากันเหมือนกับข้อต่อสู้ที่ม็อบเรียกร้อง จนกระทั่งทำให้อดคิดไม่ได้ว่าในบ้านและครอบครัวของนิธิ เขาก็ปฏิบัติกับพ่อแม่ของตัวเอง เหมือนกับที่เขายุยงให้เด็กกระทำเพื่อความเท่าเทียมเสมอภาคกันแบบไม่มีต้องมีผู้ใหญ่หรือเด็ก เพื่อก้าวข้าม “มาตรฐาน” (ทางสังคม, วัฒนธรรม, เศรษฐกิจและการเมือง) เดิมๆ ไปให้พ้นหรือไม่

แต่ม็อบที่ไม่ชอบธรรมก็ไม่มีวันชอบธรรมไปได้ ดูเหมือนว่าตอนนี้ม็อบที่ใช้เด็กนักเรียนนักศึกษาและคนรุ่นใหม่เป็นตัวขับเคลื่อนค่อยลดความร้อนแรงลง หรือหลายคนเชื่อว่า ม็อบคงจะไม่มีมนต์ขลังเหมือนช่วงแรกๆ แล้ว

หลังจากรัฐบาลเอาจริงในการบังคับใช้กฎหมาย หลายคนจึงถูกดำเนินคดีในข้อหาต่างๆกันออกไปรวมถึงมาตรา 112 ในการดูหมิ่น หมิ่นประมาท อาฆาตมาดร้ายต่อพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท และผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ เพราะเด็กเหล่านั้นใช้คำพูดที่หยาบคายต่อพระมหากษัตริย์ที่นิธิอ้างว่าเป็นการลดช่วงชั้นนั่นเอง ซึ่งก็เท่ากับเป็นการยอมรับว่า แม้แต่พระมหากษัตริย์ก็สามารถใช้ตรรกะแบบนิธิได้อย่างชอบธรรม

นิธิอ้างว่า การที่รุ้ง ให้อวัยวะเพศชายแก่นายชวน หลีกภัยนั้น เป็นการทักท้วงว่าคำพูดหรือการกระทำของนายชวนนั้นไร้สาระ ซึ่งเท่ากับยอมรับว่าการทักท้วงบุคคลสาธารณะนั้นไม่เกี่ยวกับเด็ก-ผู้ใหญ่ แต่เมื่อเด็กที่ลุกขึ้นมาเรียกร้องให้เปลี่ยนรูปแบบของรัฐเปลี่ยนระบอบการปกครองประเทศ จนล่วงละเมิดพระมหากษัตริย์จนถูกดำเนินคดีด้วยมาตรา 112 พวกผู้ใหญ่ที่สนับสนุนม็อบต่างกล่าวหาว่า รัฐบาลใช้กฎหมายมาตรา 112 มารังแกเด็ก

กลายเป็นว่า เด็กมีเสรีภาพที่จะพูดกระทำอะไรก็ได้ แต่กฎหมายไม่ควรจะมาลงโทษเด็ก ทั้งที่ในทางปฏิบัติกฎหมายก็แยกแยะการลงโทษความผิดของเด็กกับผู้ใหญ่อยู่แล้ว แต่ย่อมไม่ได้หมายความว่า ถ้าเด็กกระทำผิดแล้วห้ามนำกฎหมายมาใช้ลงโทษนั่นเอง

พอแบบนี้พวกที่หนุนเด็กออกมาสู้กลับไม่มองว่าเรื่องแบบนี้ไม่ใช่เรื่องของเด็ก-ผู้ใหญ่ เหมือนตอนที่ตัวเองอ้างเสรีภาพที่จะกระทำอะไรก็ได้เรียกร้องอะไรที่ก้าวข้ามกฎเกณฑ์ของสังคมหรือข้อห้ามทางกฎหมายโดยไม่มีพรมแดนความเป็นเด็ก-ผู้ใหญ่

ไม่รู้เหมือนกันว่า หลังจากเด็กหลายคนอาจจะต้องติดคุกในช่วงวัยที่กำลังจะเติบโตผลิเมล็ดพันธุ์ในสังคม พวกผู้ใหญ่ที่ดันข้างหลังได้สำนึกบ้างหรือไม่ว่า พวกเขากำลังทำลายอนาคตของชาติ พวกที่ออกหน้าอย่างสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล ปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์ อาจจะลอยนวลเพราะอยู่ต่างประเทศ แต่อีแอบที่ซ่อนอยู่ข้างหลังเด็กคนอื่นๆ นั้น น่าจะถึงเวลาแล้วหรือยังที่ต้องออกมาเคียงข้างกับเด็ก ถ้าเชื่อว่าการกระทำและการต่อสู้นั้นเป็นการต่อสู้ที่ถูกต้องและเพื่อประโยชน์ของสังคมก็ไม่ควรจะแอบอยู่ข้างหลังของเด็กอีกต่อไป

นิธิอาจต้องทำให้มากกว่าการเขียนหนังสือยุยงเด็ก อานันท์ ปันยารชุน ต้องออกเดินเคียงข้างชูสามนิ้วเหมือนกับที่ ส.ศิวรักษ์ ทำ เช่นเดียวกับ ปริญญา เทวานฤมิตรกุล ต้องถอดคราบอาจารย์มหาวิทยาลัยลงมาร่วมบนถนนกับลูกศิษย์ เพื่อร่วมทุกข์ร่วมสุขหากถูกรัฐบาลใช้อำนาจในทางกฎหมายจัดการ รวมถึง ชาญวิทย์ เกษตรศิริ หรือ โคทม อารียา ฯลฯ ก็ชวนกันเรียงหน้าออกมา

แน่นอนว่า ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ที่เป็นนายทุนของสำนักฟ้าเดียวกันที่ถูกใช้เป็นตักศิลาในการมอมเมาเปลี่ยนแปลงความคิดของคนรุ่นใหม่ สร้างคู่มือในการทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์เสมอมา ก็ควรจะต้องแสดงตัวออกมาให้ชัดเจนว่า จะนำม็อบที่เรียกร้องให้เปลี่ยนแปลงประเทศไปสู่แนวทางที่เด็กที่ตัวเองหนุนหลังต้องการ เพราะแท้จริงแล้วสิ่งที่เด็กคิดและแสดงออกนั้นล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่สอดคล้องกับแนวความคิดและอุดมการณ์ของธนาธรใช่หรือไม่

และแกนนำของม็อบหลายคนล้วนแล้วแต่เป็นเด็กที่มาจากอดีตพรรคอนาคตใหม่ของธนาธรนั่นเอง

ปิยบุตร แสงกนกกุล ออกมาพูดให้ชัดด้วยตัวเองว่าต้องการให้สังคมไทยเป็นอย่างไร สถาบันพระมหากษัตริย์จะต้องเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร ต้องการการปกครองแบบสาธารณรัฐหรือไม่ มากกว่าการใช้คำพูดฉวัดเฉวียนในการใช้สถาบันพระมหากษัตริย์ต่างชาติมาเป็นเกราะกำบังเพื่อหลีกหนีข้อจำกัดทางกฎหมาย เพราะมันไม่เป็นธรรมกับการที่ยุยงเด็กให้ออกมาใช้คำพูดหยาบคายกับพระมหากษัตริย์อยู่บนถนนจนต้องกลายเป็นผู้ต้องหาที่ถูกรัฐดำเนินคดี

พูดง่ายๆ ว่าพวกที่แอบอยู่ข้างหลังเด็กต้องออกมาต่อสู้ด้วยตัวเองได้แล้ว ต้องเชื่อสิว่า สังคมไทยเป็นสังคมที่มีเหตุผล ถ้าเชื่อว่าแนวทางที่เรียกร้องและเชื่อมั่นมีความชอบธรรมและเหมาะสมที่จะนำพาสังคมไทยก็ออกมานำการชุมนุม อย่าปล่อยให้เด็กๆ ต้องรับคมหอกคมดาบแทนเพื่อสำเร็จความใคร่ในปรารถนาเบื้องลึกของตัวเอง

ปล่อยให้เด็กเขาได้พักไปสู้คดี หาทางช่วยเหลือในทางอรรถคดี ไม่ใช่ยุยงให้เด็กเดินหน้าลุยไฟตะบันต่อไปเรื่อยๆ ถึงเวลาแล้วผู้ใหญ่ที่แอบอยู่ข้างหลังเด็กนั่นแหละที่จะต้องออกมานำม็อบด้วยตัวเอง

ติดตามผู้เขียนได้ที่ https://www.facebook.com/surawich.verawan


กำลังโหลดความคิดเห็น