xs
xsm
sm
md
lg

หยุดโศกนาฏกรรมในสังคม เพื่อสำเร็จความใคร่ของผู้เฒ่า

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


ทักษิณ ชินวัตร | ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ
หนึ่งความคิด
สุรวิชช์ วีรวรรณ


ตั้งแต่ช่วงปีใหม่มาเราได้ยินการแสดงความคิดของทั้ง ทักษิณ ชินวัตร และธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ในการแก้ปัญหาโควิด แม้จะไม่ได้มีอะไรที่ลึกซึ้งและลุ่มลึกเกินไปกว่าที่รัฐบาลพยายามกระทำอยู่แล้ว แต่สะท้อนให้เห็นว่าทั้งสองยังพยายามแสดงบทบาทให้เห็นว่า แม้ถูกกันออกไปจากทางการเมืองแล้ว แต่ทั้งสองยังเป็นผู้นำทางความคิดและผู้นำทางสังคมอยู่

นั่นคือทักษิณ ยังคงทำตัวเป็นนายกฯ นอกทำเนียบ และธนาธรก็ยังเป็นนายกฯในโลกโซเชียลอย่างที่มีคนเขานิยามเอาไว้นั่นเอง

เราจะเห็นว่าทักษิณไม่เคยหยุดนิ่ง มาตั้งแต่เขาถูกยึดอำนาจ เช่นเดียวกับธนาธรไม่เคยหยุดนิ่งแม้ศาลจะพิพากษาให้เขาออกจากวงการเมืองชั่วคราว นั่นสะท้อนว่าทั้งสองยังโหยหาอำนาจทางการเมืองทุกลมหายใจเข้าออก ดังนั้นจึงต้องรักษาอำนาจทางการเมืองเอาไว้เพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการบริหารอำนาจและบรรลุหวังต่อไป แม้อำนาจนั้นจะเป็นแค่เป็นฝันเปียกหรืออำนาจเสมือนจริงก็ตาม

นอกจากนั้นทั้งสองยังมองเห็นแล้วว่า อย่างไรเสียคนไทยก็จะยังคงแตกแยกแตกออกเป็นสองความคิดอย่างยากที่จะกลับไปสมานฉันท์กันได้อีกแล้ว ทั้งนี้เพราะทั้งสองฝั่งต่างมองว่าตัวเองเป็นฝ่ายถูก มองว่าอีกฝ่ายเป็นตัวทำให้บ้านเมืองย่ำแย่ มองว่าอีกฝ่ายมีความคิดที่ผิด และต่างยกตัวเองและมองอีกฝ่ายว่าเป็นพวก cognitive dissonance พวกควายเหลือง ควายแดง ควายส้มที่ต่างกล่าวหากัน

ทั้งทักษิณและธนาธรจึงต้องทำให้มวลชนฝั่งของเขาเห็นว่าตัวเองยังมีความสำคัญอยู่ เพียงแต่ธนาธรมีความปรารถนาที่ไม่ซ่อนเร้นเกินจากทักษิณว่าเขามีความต้องการที่จะเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองและลดทอนอำนาจและบทบาทของสถาบันพระมหากษัตริย์อยู่ด้วยในทางเปิดที่พวกเขาเรียกว่า ปฏิรูป แต่ผู้ชุมนุมที่ออกมาบนถนนก็ปิดบังไม่มิดว่ามีแรงปรารถนาที่จะไปให้ไกลกว่าปฏิรูป นั่นคือ ระบอบสาธารณรัฐ

ธนาธรเปิดเผยผ่านความคิดของเขาต่อสาธารณะ ทั้งยังทุ่มทุนผ่านสำนักพิมพ์ฟ้าเดียวกันที่จะผลิตผลงานของนักคิดต่างๆในฝั่งเขาเพื่อเผยแพร่ออกมาเพื่อมอมเมาคนรุ่นใหม่ โดยมีจุดมุ่งหมายที่จะต้องการการเปลี่ยนแปลงสังคมไทยอย่าพลิกฝ่ามือ มุ่งโจมตีสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างไม่ปิดบังอำพราง และขุมกำลังของทักษิณในวอยซ์ทีวีที่ลูกชายเป็นเจ้าของก็ซ่องสุมความคิดแบบเดียวกันเอาไว้จำนวนมาก

แต่การเปลี่ยนแปลงระบอบของรัฐความคิดความเชื่อนั้น ย่อมจะต้องมีแรงต่อต้านทั้งจากอำนาจรัฐภายใต้กฎหมาย และศรัทธาของผู้คนที่มีอุดมการณ์ต่างกันนั่นเท่ากับว่า จะกลายเป็นชนวนง่ายมากที่จะทำให้เกิดการต่อต้านและนำมาสู่ความรุนแรงจากการปะทะกันของคนสองฟากฝั่งความคิด

กระนั้น นิธิ เอียวศรีวงศ์ บอกว่า ถึงแม้จะเกิดความรุนแรงจนเพนกวินต้องตายก็ไม่สามารถหยุดการเคลื่อนไหวที่ต้องการเปลี่ยนแปลงนี้ได้

ขณะที่ อธึกกิต แสวงสุข หรือ ใบตองแห้ง ประชาไท พิธีกรของวอยซ์ทีวีของพานทองแท้ ถึงกับโพสต์เฟซบุ๊กในความหมายเดียวกับนิธิว่า 2563 เป็นปีที่ทำให้คนรุ่นผม ที่เคยต่อสู้ พ่ายแพ้ ผิดหวัง ผิดพลาด มาหลายครั้ง ได้มีความหวัง มีกำลังใจ อย่างไม่เคยคาดฝันมาก่อน ว่าจะได้เห็นความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในประเทศนี้ ในช่วงที่เกือบจะเป็นบั้นปลายของชีวิต

: ขอบคุณคนรุ่นใหม่ทั้งมวล ทั้งแกนนำที่กล้าเอาตัวเข้าเสี่ยง ทั้งผู้ร่วมขบวนที่ทุกคนล้วนเป็นแถวหน้า สลับกันแสดงพลังแห่งความกล้าและความคิดสร้างสรรค์จนเป็นการต่อสู้ที่น่าทึ่ง ไม่เคยมีไม่เคยพบเห็นมาก่อน

: ย้ำว่านี่เป็นสิ่งที่มีค่าอย่างยิ่ง สำหรับคนรุ่นผม ที่มีอายุ 60 กว่าถึง 70 ซึ่งไม่เคยคิดว่าจะได้เห็น บางครั้งก็น้ำตาซึมด้วยความตื้นตัน(แต่สำหรับคนรุ่นเดียวกันที่ทำลายประวัติศาสตร์ของตัวเอง โยนทิ้งความใฝ่ฝัน ก็ช่างมันเถอะ พวกนั้นแค่รอวันตายอย่างไร้ค่า)

: แน่ละ คนรุ่นใหม่ก็มีจุดอ่อน บางครั้งก็ขาดประสบการณ์ แต่ทดแทนด้วยความกล้าหาญ ความเป็นตัวของตัวเอง ความแตกต่างหลากหลาย ภายใต้ธงผืนเดียวกัน ซึ่งยิ่งทำให้เข้มแข็ง ยากจะทำลาย
: ปีหน้า จะเป็นปีที่ยิ่งแหลมคม แม้คาดเดาอะไรไม่ได้ แต่มั่นใจว่าคนรุ่นผม เพื่อนพ้องที่ยังมั่นคงความใฝ่ฝัน จะให้การสนับสนุนช่วยเหลือปกป้องพลังคนรุ่นใหม่ทุกวิถีทาง

เพราะสำหรับเรา นี่เป็นการต่อสู้ครั้งสุดท้ายในชีวิต ที่ไม่มีอะไรจะต้องกลัวสูญเสียอีกแล้ว ต้องทำทุกอย่างเพื่อคนรุ่นใหม่ที่เขาจะมีชีวิตอีกยาวไกล และสืบสานวิญญาณเสรีให้เรา


เมื่ออ่านความเห็นที่ยกมาข้างบนของอธึกกิตแล้วก็รู้สึกสมเพช เพราะพวกเขาดันหลังเด็กให้ออกมาเป็นแนวหน้า โดยที่ตัวเองซ่อนอยู่เบื้องหลังแล้วสำเร็จความใคร่เพราะคิดว่ากำลังจะสมหวังกับความฝันในวัยชรานั่นเอง แต่ในตัวอักษรก็ซ่อนความโหดเหี้ยมกับการเอาชีวิตของคนหนุ่มสาวเข้าแลกเอาไว้ไม่มิด

ไม่เพียงแต่นิธิและอธึกกิตเท่านั้นคนอย่าง ชาญวิทย์ เกษตรศิริ อานันท์ ปันยารชุน สุลักษณ์ ศิวรักษ์ ฯลฯ รวมถึงเหล่าสาวกของคนเหล่านี้ ก็มีความฝันเดียวกันที่อยากเห็นคนรุ่นใหม่เอาชีวิตเข้าแลกเพื่อทำความฝันของพวกเขาให้เป็นจริงก่อนจะจากลาโลกนี้ เพราะพวกเขารู้อยู่แล้วว่า การออกมาเรียกร้องของคนหนุ่มสาวในวันนี้นั้น มีฉากทัศน์ของความรุนแรงรอคอยอยู่เช่นเดียวกับเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519

หากเราย้อนไป 6 ตุลาคม 2519 นั่นคือโศกนาฏกรรมของสังคมไทยที่ไม่ควรเกิดขึ้น คนกลุ่มหนึ่งลุกขึ้นมาเข่นฆ่านักศึกษาประชาชนฝ่ายตรงข้าม เพราะมองว่าคนเหล่านี้เป็นศัตรูเป็นญวนที่เข้ามาแอบแฝงเปลี่ยนแปลงสังคมไทย แต่ความจริงที่เราต้องยอมรับก็คือ ความมุ่งหมายของคนหนุ่มสาวรุ่นนั้นก็คือ การเปลี่ยนแปลงการปกครองที่ถูกครอบงำด้วยลัทธิคอมมิวนิสต์ มีการเคลื่อนไหวเผยแพร่ลัทธิอย่างกว้างขวาง ถ้าอีกฝ่ายเขาไม่ลุกขึ้นมาต่อต้านเขาก็ถูกโค่นล้มเปลี่ยนแปลงระบอบแบบที่เกิดขึ้นในประเทศอินโดจีนในยุคนั้นนั่นเอง

ถ้าเรายอมรับความจริงความมุ่งหมายที่จะโค่นล้มหรือเปลี่ยนแปลงระบอบแบบนั้น ย่อมที่จะหลีกหนีความรุนแรงได้ยาก ภาพที่ปรากฏในวันนี้เช่นกัน ถ้าเราคิดว่า 6 ตุลาคม 2519 เป็นโศกนาฏกรรมที่ไม่ควรเกิดขึ้น คำถามว่า สิ่งที่บรรดาผู้ใหญ่ดันหลังเด็กเพื่อสำเร็จความใคร่ของตัวเองกำลังนำพาประเทศย้อนรอยกลับไปสู่ประวัติศาสตร์ของโศกนาฏกรรมอีกครั้งหรือไม่

แล้วเราควรจะช่วยกันยับยั้งไม่ให้เกิดขึ้น หรือไม่ต้องใส่ใจว่าใครจะต้องตายอย่างที่นิธิว่าด้วยหัวจิตหัวใจที่โหดเหี้ยมเย็นชา
อานนท์ เพนกวิน รุ้ง มายด์ ไผ่ ฯลฯ อาจมีความคิดของเขาที่มองไม่เห็นว่าสถาบันพระมหากษัตริย์มีความจำเป็นตรงไหนในระบอบเสรีนิยมที่พวกเขายึดมั่น แต่เราควรจะดันหลังให้เขาทะลุทะลวงไปข้างหน้าแล้วส่งเสียงเชียร์ถึงความกล้าหาญของพวกเขา โดยที่รู้อยู่แล้วว่ามีความรุนแรงรออยู่เบื้องหน้า เพราะการเปลี่ยนแปลงและเหยียบย่ำศรัทธาของคนอีกฝั่งนั้นไม่อาจจะลงเอยด้วยการเปลี่ยนผ่านที่ราบรื่นได้แน่

ไม่มีใครงอมืองอเท้าที่จะถูกกระทำโดยฝ่ายเดียวแน่ ผู้ใหญ่ที่มีบทเรียนมาก่อนเคยพ่ายแพ้มาก่อน ต้องมีจิตใจเยี่ยงไรถึงมีความสุขกับการที่คนอื่นต้องเอาชีวิตเข้าแลกกับทางที่ไม่อาจชนะเพื่อตอบสนองตัณหาของตัวเองบ้าง มีการต่อสู้ที่ไหนบ้างที่ประชาชนสามารถเปลี่ยนแปลงระบอบและยึดอำนาจรัฐได้ในขณะที่ประชาชนยังแตกเป็นสองฝั่งความคิดและคนจำนวนมากยังคงยึดมั่นในระบอบที่ดำรงอยู่

มีแต่นิยายหลอกเด็กเพื่อดันหลังให้พวกเขาออกมาตายแทนเท่านั้นเอง

แน่นอนว่าทุกอย่างในโลกนี้ย่อมจะต้องเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา ย่อมมีตั้งอยู่ดับไป ความเชื่อมั่นเคารพศรัทธาจะดำรงอยู่ได้ สิ่งเคารพนั้นย่อมจะต้องตั้งมั่นอยู่บนความดีงามที่ถาวร แต่ถ้าละทิ้งความดีงามแล้วก็ย่อมจะมีความเสื่อมศรัทธาสูญสลายจากจิตใจของคนที่เคยเชื่อมั่น ดังนั้นการที่สิ่งหนึ่งจะอยู่หรือไปย่อมอยู่ที่ตัวมันเอง ถ้าคนส่วนใหญ่ไม่เชื่อมั่นศรัทธาแล้วสิ่งนั้นก็ดำรงอยู่ไม่ได้

การเอาความคิดการเมืองของตัวเองเป็นที่ตั้ง เพื่อจะเปลี่ยนแปลงสังคมให้เป็นไปตามความคิดของตัวเอง การเอาความคั่งแค้นของตัวเองเป็นที่ตั้ง เพื่อจะเปลี่ยนแปลงสังคมให้เป็นไปตามความคิดของตัวเอง โดยที่ไม่สนใจสภาวะของสังคมและความคิดของคนส่วนใหญ่ย่อมจะต้องล้มเหลวอย่างแน่นอน และถ้าแข็งขืนให้เป็นไปความรุนแรงก็จะตามมา

ผลการเลือกตั้งของอบจ.นั้นบอกว่า ถ้าจะต้องการเปลี่ยนแปลงอย่างถอนรากถอนโคน ถ้าต้องการพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดิน ความคิดเหล่านั้นยังคงห่างไกลจากความเป็นจริง คนไทยจำนวนมากยังคงเห็นว่า ระบอบที่ดำรงอยู่นั้นควรจะสถิตสถาวรอยู่กับสังคมไทย คนจำนวนมากไม่ใช่คนที่เชื่อกับวาทกรรมวาดฝันของธนาธรที่คิดว่าตัวเองจะนำพาสังคมไทยออกไปจากระบอบการปกครองแบบอื่นนอกเสียจากเด็กๆ ที่ไม่เห็นความดีงามของจารีตประเพณีแบบแผนที่ตั้งมั่นอยู่ในสังคมไทย

ทั้งทักษิณและธนาธร มหาเศรษฐีสองคนต้องการทำลายรากเหง้าเพื่อเปลี่ยนแปลงสังคมไทย เช่นเดียวกับนักวิชาการ ปัญญาชนอีกจำนวนหนึ่งที่เคยผิดหวังพ่ายแพ้มาจากเหตุการณ์6ตุลาคม และเริ่มมีความหวังอีกครั้งที่เห็นเด็กๆกลุ่มหนึ่งลุกขึ้นมาท้าทายสังคมไทยต่อต้านสถาบันพระมหากษัตริย์ โดยไม่ใส่ใจภววิสัยและความเป็นจริงที่คนในสังคมไทยส่วนใหญ่ยังยืนหยัดที่จะปกป้องระบอบที่ดำรงอยู่

วันนี้คนหนุ่มสาวกำลังถูกดันหลังออกมาสู้ ด้วยคำป้อยอถึงความกล้าหาญที่คนรุ่นเก่าไม่เคยมีมาก่อน ทั้งคนที่เอ่ยมาคนซึ่งซ่อนอยู่ด้านหลังและคนที่หลบอยู่ต่างประเทศ พวกเขาบอกตอนนี้สังคมไทยไม่มีเพดานที่จะค้ำยันแล้ว และกำลังถูกเปิดโปงทำลายลงอย่างราบคาบ พวกเรากำลังชนะจงสู้ต่อไป ทั้งๆที่ความเป็นจริงที่รออยู่คือความรุนแรงและไม่มีวันชนะ


มีทางไหนบ้างที่เราจะช่วยกันหยุดยั้งเพื่อไม่ให้โศกนาฏกรรมแบบ 6 ตุลาคม2519 เกิดขึ้นในสังคมไทยอีกครั้ง เพียงเพื่อสำเร็จความใคร่ของผู้เฒ่าเหล่านี้


กำลังโหลดความคิดเห็น