xs
xsm
sm
md
lg

สันติภาพกับระเบียบโลกแบบใหม่

เผยแพร่:   โดย: ทับทิม พญาไท

ประธานาธิบดีเรเซป เทย์ยิป เออร์โดกัน แห่งตุรกี จับมือทักทายประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน แห่งรัสเซีย  เปิดแถลงข่าวร่วมประชุมหารือที่เมืองโซชิ รัสเซีย
เพื่อให้บรรยากาศมันออกไปทาง “แฮปปี้เอ็นดิ้ง” ขึ้นมามั่ง แม้เล็กๆ น้อยๆ ก็ยังดี...ปิดฉากสัปดาห์นี้เลยคงต้องกลับไปสำรวจตรวจสอบเหตุการณ์การเผชิญหน้า การไล่ทุบ ไล่ถีบระหว่าง “กองทัพตุรกี” กับ “กองกำลังชาวเคิร์ด” แถวๆ แนวพรมแดนภาคตะวันออกเฉียงเหนือของซีเรีย หลังการถอนทหารสหรัฐฯ ออกจากพื้นที่บริเวณนี้ ตาม “ยุทธศาสตร์อันชาญฉลาด” ที่ผู้นำอเมริกาได้เคย “ทวีต” เอาไว้ จนส่งผลให้ใครต่อใครอดใจหาย-ใจคว่ำขึ้นมามิได้ ว่ามันจะบานปลาย ปลายบานถึงขั้นต้องยกระดับกลายไปเป็น “สงครามครั้งใหม่” ระหว่างซีเรียที่มีคุณน้ารัสเซียและคุณปู่อิหร่านให้การสนับสนุน กับไก่งวงตุรกี ซึ่งถือเป็นหนึ่งในผู้ร่วมกอบกู้กระบวนการสันติภาพในซีเรียขึ้นมาเลยหรือไม่ อย่างไร???

แต่เท่าที่ฟังจาก “ข่าวล่า-มาเรือ” หลังจากผู้นำตุรกี อย่างประธานาธิบดี “เออร์โดกัน” ท่านได้บินไปจับเข่า จับหัวหน่าวกับผู้นำรัสเซีย อย่างประธานาธิบดี “ปูติน” ถึงกรุงโซชิ ประเทศรัสเซีย เมื่อช่วงวันอังคาร (22 ต.ค.) ที่ผ่านมา โดยนั่งเจ๊าะแจ๊ะ เจรจากันถึง 7 ชั่วโมงด้วยกัน ทุกสิ่งทุกอย่าง...ก็เลยออกไปทาง “แฮปปี้เอ็นดิ้ง” กันจนได้ เกิดจุดลงตัว เกิดการบรรลุข้อตกลงที่จะมอบหมายให้กองทัพซีเรียและกองกำลังตำรวจรัสเซีย ร่วมเข้าไป “เคลียร์” พื้นที่ในอาณาบริเวณดังกล่าว เพื่อไม่ให้บรรดานักรบชาวเคิร์ดที่เรียกกันย่อๆว่า “YPG” หรือ “FSA” (Free Syrian Army) อดีตพันธมิตรของคุณพ่ออเมริกา ที่ถูกทรยศ หักหลัง ถูกผู้นำอเมริกา “แทงข้างหลัง” ไปหมาดๆ เป็นอะไรที่เกะกะสายตา เกะมือ เกะตีน ของไก่งวงตุรกีอีกต่อไป หรือเพื่อทำให้พื้นที่ในอาณาบริเวณนี้ กลายเป็น “พื้นที่ปลอดภัย” เป็น “safe zone” ของบรรดาผู้อพยพลี้ภัยชาวซีเรียนับจำนวนล้านๆ คน ที่เคยต้องหลบลี้หนีภัยสงครามกลางเมืองในซีเรีย เข้าไปแออัดยัดเยียดอยู่ในดินแดนตุรกี จนกลายเป็นปัญหาภายในของตุรกี กลายเป็นตัวดึงคะแนนนิยมทางการเมืองของรัฐบาลตุรกี ให้ร่วงผลอยๆ ชนิดอาจประสบความพ่ายแพ้ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีรอบใหม่อีกไม่กี่ปีข้างหน้าขึ้นมาเอาเลยก็ไม่แน่...

หรือสรุปง่ายๆ ว่า...ทุกสิ่งทุกอย่างคงไม่ได้เป็นไปตาม “ยุทธศาสตร์อันชาญฉลาด” ของ “ทรัมป์บ้า” ที่อาจนั่งลุ้น นั่งเชียร์ ให้เกิดการตีกัน หรือเกิดความขัดแย้งแตกแยก ระหว่างบรรดาผู้มีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนกระบวนการสันติภาพขึ้นในประเทศซีเรีย อย่างที่ใครต่อใครอดใจหาย ใจคว่ำ ขึ้นมามิได้ก่อนหน้านี้ เพราะแทนที่ “เจองูกับเจอแขก...ต้องตีแขกเอาไว้ก่อน” แต่เมื่อเจอกับแขกตุรกีอย่างประธานาธิบดี “เออร์โดกัน” ไปพร้อมๆ กับต้องเจอผู้นำอเมริกันอย่าง “ทรัมป์บ้า” การหันไปตีอเมริกาเป็นอันดับแรก จึงออกจะเป็นอะไรที่เข้าท่า เข้าทางซะยิ่งกว่า โดยเฉพาะเมื่อผู้นำตุรกี ท่านได้ “หวนกลับมาสู่หนทางที่ถูกต้อง” อย่างที่โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีนเคยเสนอแนะเอาไว้ก่อนหน้านี้ หรือกลับมายึดมั่นศรัทธา ใน “แนวทางสันติภาพ” มากกว่าการหันไปใช้ “สงคราม” เป็นทางออก ในแต่ละเรื่อง แต่ละกรณี อันอาจกลายเป็นการเข้าทางเท้า เข้าทางตีน ของประเทศที่ได้ชื่อว่า “เครื่องจักรสงคราม” อย่างคุณพ่ออเมริกาเอาง่ายๆ...

ดังนั้น...แม้ว่าการถอนทหารอเมริกันออกจากซีเรีย แล้วไปกองเอาไว้แถวๆ พื้นที่ภาคเหนือของอิรักแถบเมือง “Nineveh” หรือเมือง “Simalka” ซึ่งอยู่ห่างพรมแดนซีเรียไปแค่ไม่เท่าไหร่ จะออกไปทาง “จริงใจ” หรือ “จิงโจ้” ก็ตามที แต่โอกาสที่ผู้กระหายสงครามอย่างคุณพ่ออเมริกาจะกลับมาสร้างความป่วน มาจุดชนวน ให้ใครต่อใครต้องหวนกลับไปหา “แนวทางแห่งสงคราม” อย่างที่เคยเป็นมาโดยตลอด น่าจะเป็นอะไรที่ “ยากส์ส์ส์” ยิ่งขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะเมื่อบทบาทอำนาจของอเมริกาในภูมิภาคตะวันกลางทุกวันนี้ กำลังค่อยๆ ถูกแทนที่โดยผู้ที่มุ่งเดินไปใน “แนวทางสันติภาพ” อย่างคุณน้ารัสเซีย หรือคุณพี่จีน ชนิดกู่ไม่กลับ-หลับไม่ตื่น-ฟื้นไม่มี อย่างเห็นได้ชัดเจนเข้าไปทุกที ระดับต้องเรียกว่าเกิดรายการ “แพ้ขาด-ชนะขาด” ไปแล้วก็ว่าได้...

คือไม่ใช่แต่เฉพาะแขกตุรกีอย่างประธานาธิบดี “เออร์โดกัน” เท่านั้น...ที่หันกลับมาหาแนวทางสันติภาพ ในการคลี่คลายปัญหาความขัดแย้ง การกระทบกระทั่ง บริเวณแนวพรมแดนซีเรีย-ตุรกี จนเกิดจุดลงตัว เกิดรายการแฮปปี้เอ็นดิ้ง ดังที่กล่าวไปแล้ว แม้แต่แขกซาอุฯ ผู้เคยเป็นมหามิตรของคุณพ่ออเมริกาเคยได้ชื่อว่าเป็นประเทศที่ “ส่งออกการก่อการร้าย” ไปยังภูมิภาคต่างๆ จนก่อให้เกิดบรรยากาศการเผชิญหน้า เกิดความตึงเครียดมาโดยตลอด แต่มาถึง ณ ขณะนี้...หรือหลังจากที่ผู้นำรัสเซียอย่างประธานาธิบดี “ปูติน” ได้เดินทางไปเยือนราชอาณาจักรซาอุฯ อย่างเป็นทางการ พร้อมกับนำเอา “เหยี่ยวขั้วโลกเหนือ” เป็นของขวัญติดไม้ ติดมือ ไปฝากกษัตริย์ “ซัลมาน” แห่งซาอุฯ อีกด้วย แนวโน้มของความพยายามลดความตึงเครียด ลดบรรยากาศการเผชิญหน้าภายในภูมิภาคระหว่างพี่เบิ้มแห่งตะวันออกกลางอย่างซาอุฯ กับพันธมิตรผู้ยืนหยัดเคียงบ่า เคียงไหล่กับรัสเซียอย่างอิหร่าน ก็ชักจะเป็นรูปเป็นร่าง เป็นเนื้อ เป็นหนัง ยิ่งขึ้นเรื่อยๆ...

โดยเฉพาะเมื่อโฆษกกระทรวงการต่างประเทศอิหร่าน “นายSeyed Abbas Mousavi” ได้ออกมายืนยันเมื่อช่วงวันอังคาร (22 ต.ค.) ที่ผ่านมา ยอมรับว่ามี “คนกลาง” ไม่ว่าจะหมายถึงผู้นำอิรัก ปากีสถาน หรือใครๆ ก็แล้วแต่ ที่พยายามหาทางให้เกิดการพบปะเจรจาระหว่างรัฐบาลซาอุฯ กับรัฐบาลอิหร่าน เพื่อลดความตึงเครียด และคลี่คลายข้อขัดแย้งต่างๆ ภายในภูมิภาค อันเป็นสิ่งที่ผู้นำทุกระดับของอิหร่าน ไม่ว่ารัฐมนตรีต่างประเทศ ประธานาธิบดี ไปจนถึงผู้นำสูงสุดทางจิตวิญญาณ ฯลฯ ได้ออกมาแสดงท่าทีตอบรับต่อความริเริ่มในลักษณะเช่นนี้ อย่างเป็นเอกภาพ...

โดยความริเริ่มดังกล่าว...ไม่เพียงแต่อาจนำไปสู่กระบวนการฟื้นฟูสันติภาพให้ประเทศเยเมน เช่นเดียวกับซีเรียเท่านั้น ยังอาจนำไปสู่ “ความหวัง” ในการร่วมมือ ร่วมใจ ระหว่างประเทศในภูมิภาคเดียวกัน ที่จะสร้างเสถียรภาพและความมั่นคง ปลอดภัย ให้กับเส้นทางขนส่งน้ำมัน อันเป็นเส้นเลือดใหญ่ของประเทศผู้ผลิตน้ำมันในแถบนี้ โดยไม่ต้องไปลากเอาประเทศมหาอำนาจใดๆ เข้ามาเกี่ยวข้องด้วยเลย หรือเป็นไปตามโครงการข้อเสนอแนะของประเทศอิหร่าน ที่เรียกๆ กันว่า “HOPE” (Hormuz Peace Endeavor)นั่นเอง แนวโน้มแห่งสันติภาพ จึงกลายเป็นสิ่งที่เริ่มเข้ามาแทนที่แนวโน้มแห่งสงคราม เช่นเดียวกับบทบาทของรัสเซียและจีน ที่เริ่มเข้ามาแทนที่บทบาทของอเมริกา ไปด้วยประการละฉะนี้ ชนิดที่คอลัมนิสต์ “Newsweek” อย่าง “นายArial Cohen” ถึงกับออกมา “ฟันธง” แบบมิดด้าม เต็มด้าม ว่าการถอนทหารอเมริกันออกจากประเทศซีเรียคราวนี้ อาจถือเป็น “ภาพตัวอย่าง...ที่แสดงให้เห็นอย่างชัดเจน ว่าอเมริกาได้หมดบทบาทไปจากภูมิภาคตะวันออกกลางเป็นที่เรียบร้อยแล้ว” หรือทำให้ “ยุทธศาสตร์ของอเมริกา” ในฐานะผู้ควบคุม ดูแลโลกทั้งโลก ซึ่งถูกสร้าง ถูกออกแบบมาโดยผู้คนถึง 4 รุ่น เป็นอย่างน้อย นับตั้งแต่ปี ค.ศ. 1945 เป็นต้นมา ได้หมดสภาพลงไปแล้ว โดยมีมหาอำนาจคู่แข่ง อย่างรัสเซียและจีน ผงาดเข้ามาแทนที่ ในฐานะผู้คลี่คลายปัญหาต่างๆ ของโลก ด้วยยุทธศาสตร์ชนิดใหม่ หรือจะเรียกว่าด้วย “ระเบียบโลกแบบใหม่” ก็ตามที...
กำลังโหลดความคิดเห็น