xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

“ภูมิใจไทย”แหลมเกิน“พรรคร่วม” “ตักตวง–โกยคะแนน”สู่เป้าใหญ่

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - วัดกันใน3พรรคใหญ่ ที่เป็น“รัฐบาล”พรรคพลังประชารัฐ พรรคประชาธิปัตย์ และพรรคภูมิใจไทย ให้คะแนน ตัดเกรด นับตั้งแต่ขึ้นเรือเหล็กบริหารประเทศมา 3-4 เดือน ดูเหมือนพรรคเสี่ยหนู อนุทิน ชาญวีรกูล จะทำการตลาดได้เข้าเป้ามากที่สุด

บรรดาเสนาบดีในสัดส่วนโควตาพรรคภูมิใจไทย ที่เคยโนเนมไม่เป็นที่รู้จัก แป๊บเดียวติดหูคนจนคุ้นโดยเฉพาะมวยแทนอย่าง “มนัญญา ไทยเศรษฐ์”ที่จับพลัดจับผลูได้ขึ้นมาเป็นรมช.เกษตรและสหกรณ์ แทนพี่ชาย"ชาดา ไทยเศรษฐ์" ส.ส.อุทัยธานี ที่ติดแบล็กลิสต์เรื่องภาพลักษณ์ วันนี้ไม่มีใครไม่รู้จัก

จาก “นัมเบอร์ทรี”ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ต่อจาก "เฉลิมชัย ศรีอ่อน" รมว.เกษตรและสหกรณ์ "ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า" รมช.เกษตรและสหกรณ์ เนื้องานที่พรรคภูมิใจไทย ในวันแรกได้แทบไม่เหลือ มีแต่กรม กอง ที่พรรคใหญ่อย่างพรรคประชาธิปัตย์ และพรรคพลังประชารัฐ ไม่พิศวาส แต่ตอนนี้ใช้ของบนหน้าตักที่มี กลายเป็นรัฐมนตรีที่เด่นที่สุดในกระทรวงพญานาคไปแล้ว

ทีมการตลาดยี่ห้อภูมิใจไทย เซตบทให้“มนัญญา”สวมบทหญิงเหล็ก กระโดดจับเรื่องสารพิษอันตรายทางภาคการเกษตร 3 ชนิด ได้แก่ พาราควอต ไกลโฟเซต และ คลอร์ไพริฟอส ที่ภาคประชาชนเห็นพ้องให้ยกเลิก แต่ไม่มีใครทำได้ แม้แต่ในช่วงที่ยังเป็น คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) มี มาตรา 44 “อ.ยักษ์”วิวัฒน์ ศัลยกำธร ตอนเป็น รมช.เกษตรและสหกรณ์ ลุยแทบตาย แต่ไม่สำเร็จ เพราะสะดุดที่ชั้น“คณะกรรมการวัตถุอันตราย”ซึ่งทุนใหญ่คอนโทรลกรรมการหลายคนอยู่

แต่มาถึงยุคนี้ ทีมงานบุรีรัมย์สั่งลุย ให้ “มนัญญา”เดินบทบู๊เต็มที่ โดยมี “เสี่ยหนู”อนุทิน ชาญวีรกุล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.สาธารณสุข ที่มีความเกี่ยวพันกับเรื่องสารพิษอันตราย ในแง่สุขภาพประชาชน มาคอยซัพพอร์ต ให้เป็นระยะ ไม่ให้หายไปจากกระแส

พ่วงด้วยทีมงานนักวิชาการ ภาคประชาสังคม ในบทกองเชียร์ คอยกดดันผู้ที่มีส่วนทำให้การยกเลิกสารพิษอันตรายเป็นหมัน หวังปลดล็อกให้ได้

กระทุ้งกันทุกวัน โดยเฉพาะการใช้เสียงส่วนใหญ่ในสังคมมาสนับสนุน บีบกระทรวงและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทางอ้อม แม้แต่เจ้ากระทรวงเกษตรและสหกรณ์อย่าง “เฉลิมชัย”เรื่อยไปถึง “สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ”รมว.อุตสาหกรรม โดนกระแสกดดันกันหมด จนไม่มีใครกล้าเห็นต่าง

อย่างที่รู้กัน เรื่องนี้ใครทะลึ่งเป็นแกะดำ สนับสนุนให้ยังใช้ 3 ชนิดนี้อยู่ ถือว่าสวนทางสังคม ส่งผลต่อคะแนนนิยมและภาพลักษณ์ตัวรัฐมนตรี เวลาไมค์จ่อปากเลยต้องเอาด้วยกับพรรคภูมิใจไทย ทั้งที่ความจริงก็กล้าๆ กลัวๆ อยู่เหมือนกัน

ขนาด “บิ๊กตู่”พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ยังไม่ลงมาเบรก หรือแตะต้องเรื่องนี้ที่พรรคภูมิใจไทยกำลังเดินหน้าเต็มพิกัด

งานนี้โอกาสที่ “คณะกรรมการวัตถุอันตราย”จะยกเลิกสารเคมี 3 ชนิดสำเร็จจึงมีสูง และผลงานเรื่องนี้จะกลายเป็นผลงานชิ้นโบแดงชิ้นแรกของ“ภูมิใจไทย” ในฐานะรัฐบาล

คนจะจำ“มนัญญา”และ “อนุทิน”มากกว่าจะจำว่าเป็นผลงานรัฐบาล ในฐานะที่ลงมาขับเคลื่อนเองอย่างจริงจัง บู๊ ล้าง ผลาญ จนปลดล็อกสิ่งที่แม้แต่ยุคคสช.ยังทำไม่ได้

อัปเลเวลให้นักการเมืองที่เพิ่งจะลงสนามระดับชาติครั้งแรกอย่าง“มนัญญา”ให้เป็นที่รู้จักของสังคมในเวลาอันรวดเร็ว

นอกจากนี้ ต้องยอมรับว่า พรรคภูมิใจไทยเป็นพรรคที่บริหารจัดการ “หน้าตัก”ที่ตัวเองได้รับการจัดสรรได้อย่างคุ้มค่า อย่างที่กระทรวงคมนาคม ขั้วอำนาจใหม่อย่างค่ายบุรีรัมย์ ลุยรื้อโปรเจกต์เก่าๆ ที่ทำไว้ในช่วงที่ “เฮียกวง”สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี หัวหน้าทีมเศรษฐกิจยุคนั้นวางเอาไว้เพียบ

อย่างโครงการศูนย์การค้า “เซ็นทรัล วิลเลจ”ของเครือเซ็นทรัล ใกล้กับท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ที่ก่อสร้างไปจน 70% อยู่ๆ ก็เกิดข้อพิพาททางกฎหมาย เรื่องการรุกล้ำลำรางสาธารณะหรือใกล้รันเวย์มากเกินไป ออกมาดื้อๆ โดยมีทอท.ที่แต่ไหนแต่ไรนิ่งไม่หือ ไม่อือ ออกมาเทกแอกชัน ชนกับเอกชน หลัง“เสี่ยโอ๋”ศักดิ์สยาม ชิดชอบ มาเป็นนายใหม่ ในตำแหน่งรมว.คมนาคม

สู้กันจนขึ้นศาลปกครอง ตามคิวที่รู้กันวงใน โครงการใหญ่ของเครือเซ็นทรัล มาสะดุดเพราะทุนใหญ่สายสัมพันธ์อันดีกับพรรคภูมิใจไทยได้รับผลกระทบจากศูนย์การค้านี้ มันเลยเกิดศึก“ช้างชนช้าง”กันลั่นทุ่งลาดกระบัง

ไม่หยุดแค่นั้น “เสี่ยโอ๋”ยังแท็กทีม “อนุทิน”ในฐานะรองนายกรัฐมนตรี กำกับดูแลกระทรวงคมนาคม ไล่บี้ผู้ชนะการประมูลโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน อย่าง “CPH”ที่ออกอาการโลเล ไม่ยอมเซ็นสัญญา เพราะกังวลเรื่องความเสี่ยงที่จะต้องแบกค่าปรับบานตะไท หากมีการส่งมอบพื้นที่ล่าช้า

“เสี่ยหนู-เสี่ยโอ๋”บีบรายวัน ให้ “CPH”ยอมเซ็นให้ได้ หรือไม่ก็ปล่อยมือไป เพื่อให้เอกชนรายที่ 2 เข้ามาแทน ซึ่งว่ากันว่า ก็คือเครือข่ายคอนเนกชั่นของตัวเองนั่นเอง

เรียกว่า ได้ทั้งขึ้นทั้งล่อง เพราะคนภายนอกจะมองว่า การที่พรรคภูมิใจไทย ออกมาบีบ “CPH”นั้นเพื่อให้ 1 ในโปรเจกต์ของอีอีซี สำเร็จลุล่วง ทั้งที่ความจริงมันมีอะไรมากกว่านั้นในกอไผ่

อย่างไรก็ดี การทำงาน “เชิงรุก”ทั้งในแง่ปฏิบัติการ และแง่ข่าวสารในลักษณะดังกล่าว มันทำให้เสนาบดีของพรรคภูมิใจไทย ดูมีผลงานจับต้องได้มากกว่าพรรคร่วมรัฐบาลด้วยกัน

พรรคพลังประชารัฐ ตอนนี้มีแค่บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และชิม ชอป ใช้ ซึ่งเป็นกลไกเท่าที่มีในมือที่พอทำได้ ขณะที่พรรคประชาธิปัตย์ ยังมุ่งเน้นเรื่องประกันราคาสินค้าเกษตร ซึ่งไม่ใช่ของใหม่และไม่วูบวาบ ยังติดเพดานความเป็นตัวเอง ทำให้ดูไม่โดดเด่น ตรงนี้มันเลยเป็นช่องให้“ภูมิใจไทย”โกยคะแนนปาดหน้า

“พรรคภูมิใจไทย”เล่นการเมืองแบบมียุทธศาสตร์ การไล่รื้อโครงการต่างๆ หลายคนอาจมองว่าเพื่อผลประโยชน์ตัวเองหรือไม่ แต่ในแง่ของนักลงทุน วันนี้ไม่มีอะไรการันตีได้ว่า อายุของรัฐบาลชุดนี้จะยาวหรือจะสั้น หรือจะเกิดอุบัติเหตุตอนไหน หากตักตวงหรือสร้างคะแนนนิยมให้ตัวเองได้ในจังหวะมีอำนาจ“มันต้องทำ”จะไม่มีมาเสียดายทีหลัง กำขี้ดีกว่ากำตด

หรือหาก“บิ๊กตู่”อยู่ยาวครบ 4 ปี จริงๆ มันยิ่งไม่เสียหาย มีแล้วให้ “เสี่ยหนู”และพรรคภูมิใจไทย ปั่นโปรไฟล์ตัวเองแบบนี้ไปเรื่อยๆ

อย่างที่รู้กัน มันไม่ใช่แค่ความฝันลมๆ แล้งๆ ของ “เสี่ยหนู”สำหรับการขึ้นไปเป็นนายกรัฐมนตรี แต่มันมีโอกาส หากวันข้างหน้าบรรดาบิ๊กท็อปบูต ต้องลงจากหลังเสือ ย่อมต้องหาคนที่ไว้วางใจได้มารับไม้ต่อ มากกว่าจะปล่อยเลยตามเลยให้ขั้วตรงข้าม

วัดกันเรื่องความไว้วางใจ ทหารมีให้ซีกพรรคภูมิใจไทย มากกว่าพรรคประชาธิปัตย์ เพราะคุ้นเคยกันมานานโดยเฉพาะกับ “บิ๊กป้อม”พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี กับทีมงานบุรีรัมย์

“เสี่ยหนู”เองก็เป็นของใหม่ที่ยังไม่ช้ำ และน่าลอง วันนี้มีโอกาสเลยต้องสำแดงให้เต็มที่ ตุนแต้มเอาไว้ใช้ ไม่ว่าการเลือกตั้งจะเกิดขึ้นช้าหรือเร็ว ต้องพร้อมตลอด




กำลังโหลดความคิดเห็น