วานนี้ (3 ก.ย.) ที่ กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) พ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดี ดีเอสไอ พร้อมด้วยพ.ต.ท.วรรณพงษ์ คชรักษ์ ผอ.สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ พ.ต.ท.กรวัชร์ ปานประภากร รองอธิบดี ดีเอสไอ พ.ต.ท.เชน กาญจนาปัจจ์ ผอ.กองปฏิบัติการคดีพิเศษภาค พ.ต.ท.เสฏฐ์สถิตย์ สุวรรณกูด รอง ผอ.กองปฏิบัติการคดีพิเศษภาค ผู้ช่วยศาสตราจารย์ วรวีย์ ไวยวุฒิ ผอ.กองสารพันธุกรรม สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ ดร.สว่างทิตย์ ศรีกิจสุวรรณ หัวหน้าศูนย์วิจัยเฉพาะทางวิศวกรรมอวกาศและทะเล คณะวิศวกรรมศาสตร์ ม.เทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ และพ.ต.ต.นิรุท อินธิศร ผู้บังคับกองร้อย กองกำกับการ 3 กองบังคับการสนับสนุนทางอากาศ กองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน ร่วม แถลงความคืบหน้าการหายตัวของ นายพอละจี รักจงเจริญ หรือ บิลลี่ แกนนำประชาชนชาวกะเหรี่ยงบ้านโป่งลึก-บางกลอย ในพื้นที่อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน ตั้งแต่วันที่ 17 เม.ย.57 รวมเป็นเวลากว่า 5 ปี
พ.ต.อ.ไพสิฐ กล่าวว่า ตามที่คณะกรรมการคดีพิเศษ (กคพ.)ได้มีมติในการประชุม ครั้งที่ 1/2561 เมื่อวันที่ 28 มิ.ย.61 ให้การกระทำความผิดทางอาญาอื่นกรณีการหายตัวไปของ นายพอละจี รักจงเจริญ หรือ บิลลี่ เป็นคดีพิเศษ ที่ต้องสืบสวนและสอบสวนตาม พ.ร.บ.การสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ. 2547 สำหรับพฤติการณ์คือ นายพอละจี ถูก จนท.อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน จับกุมระหว่างนำน้ำผึ้งออกจากพื้นที่อุทยานฯ โดยไม่ได้รับอนุญาต เมื่อ17 เม.ย.57 โดยเจ้าหน้าที่ผู้ควบคุมตัวอ้างว่าได้ปล่อยตัว นายพอละจี ไปโดยไม่ได้ดำเนินคดี แต่น.ส.พิณนภา พฤกษาพรรณ ภรรยาของนายพอละจี และญาติ เชื่อว่านายพอละจี หายสาบสูญไปโดยถูกบังคับ
ทั้งนี้ ดีเอสไอ ได้สืบสวนสอบสวนโดยแต่งตั้งพนักงานอัยการจากสำนักงานอัยการสูงสุด เป็นที่ปรึกษาคดีพิเศษและมีการบูรณาการความร่วมมือกับหลายหน่วยงาน ร่วมกันสืบสวนสอบสวนต่อเนื่องมาโดยตลอด
กระทั่งวันที่ 26 เม.ย.62 และ เมื่อวันที่ 22-24 พ.ค.62 พนักงานสอบสวนดีเอสไอ ได้ใช้เครื่องยานยนต์สำรวจใต้น้ำ จากคณะวิศวกรรมศาสตร์ ม.เทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ และนักประดาน้ำ จากกองบังคับการสนับสนุนทางอากาศ กองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน ตรวจหาพยานหลักฐานที่พื้นที่ใต้น้ำ บริเวณสะพานแขวน เขื่อนแก่งกระจาน พบชิ้นส่วนกระดูก 2 ชิ้น ถังน้ำมันขนาด 200 ลิตร 1 ถัง เหล็กเส้น 2 เส้น ถ่านไม้ 4 ชิ้น และเศษฝาถังน้ำมัน จากนั้นได้ส่งให้สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ ทำการตรวจพิสูจน์ พบว่าวัตถุเป็นชิ้นส่วนกระดูกกะโหลกศีรษะข้างซ้ายของมนุษย์ มีรอยไหม้สีน้ำตาล ร่วมกับรอยแตกร้าว และการหดตัวของกระดูกจากการถูกความร้อน ที่อุณหภูมิ 200 - 300 องศาเซลเซียส ตรวจพบสารพันธุกรรม ตรงกับนางโพเราะจี รักจงเจริญ มารดาของ นายพอละจี่
"เมื่อพิจารณาจากสถานที่เกิดเหตุ พยานหลักฐานในสำนวนอื่นประกอบ พนักงานสอบสวนคดีพิเศษจึงเชื่อว่าวัตถุดังกล่าว เป็นกระดูกของนายพอละจี่ ที่เสียชีวิตแล้วโดยไม่ทราบวิธีที่ทำให้ตาย แต่นำมาเผาทำลายเพื่ออำพรางคดี ส่วนถังน้ำมัน เหล็กเส้น ถ่านไม้ และเศษฝาถังน้ำมัน ได้ส่งศูนย์พิสูจน์หลักฐาน 7 สำนักงานพิสูจน์หลักฐานตำรวจ ทำ การตรวจพิสูจน์หาร่องรอยการผ่านความร้อน และการผุกร่อน ขณะนี้อยู่ระหว่างการตรวจพิสูจน์" พ.ต.อ.ไพสิฐ กล่าว
นอกจากนี้ เมื่อวันที่ 28-30 ส.ค.62 พนักงานสอบสวนคดีพิเศษ ได้ร่วมกับนักประดาน้ำ ตรวจหาพยานหลักฐานที่พื้นที่ใต้น้ำบริเวณสะพานแขวน เขื่อนแก่งกระจาน พบชิ้นส่วนกระดูกเพิ่มเติมอีก 20 ชิ้น ซึ่งอยู่ในระหว่างการดำเนินการ ทั้งนี้ ดีเอสไอ เห็นว่า พฤติการณ์ของกลุ่มคนร้ายที่กระทำผิดครั้งนี้ เข้าข่ายลักษณะเป็นการฆาตกรรม โดยทรมานและการบังคับบุคคลให้สูญหาย ที่เป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง ตามอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการคุ้มครองบุคคลทุกคนจากการหายสาบสูญโดยถูกบังคับและคดีเป็นที่สนใจ หลังจากนี้ จะเร่งรัดสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อดำเนินคดีกับกลุ่มองค์กรที่กระทำความผิดโดยเร็ว
ด้านผู้ช่วยศาสตราจารย์วรวีย์ เผยว่า จากการพิสูจน์วัตถุพยานยืนยันว่า เป็นชิ้นส่วนกระดูกมนุษย์ พบรอยไหม้ และรอยแตกร้าว เมื่อผ่านการสกัดสารพันธุกรรมแบบพิเศษเรียกว่า ไมโตรคอนเดีย เป็นการสืบทอดทางมารดา มาสู่ลูก ซึ่งสารพันธุกรรมนี้ ตรงกับนางโพเราะจี มารดาของนายพอละจี ส่วนจะเป็นนายพอละจีหรือไม่ ขึ้นอยู่กับการสรุปของพนักงานสอบสวน ส่วนระยะเวลาของการเสียชีวิตนั้น จากการตรวจสอบกระดูกพบว่า เสียชีวิตมานานพอสมควรแต่ยังไม่สามารถระบุได้
ขณะที่ พ.ต.ท.เสฏฐ์สถิตน์ กล่าวว่า จากเดิมเอาผิดเจ้าหน้าที่ ในข้อหา ม.157 ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ แต่จะต้องเปลี่ยนเป็นคดีฆาตกรรม ส่วนจะฆาตกรรมด้วยวิธีใดนั้น จะต้องสืบสวนต่อไป ส่วนกลุ่มผู้ต้องสงสัย คดีนี้มีกลุ่มเป้าหมายอยู่แล้ว แต่ไม่ขอเปิดเผยจำนวนผู้ต้องสงสัยและรายละเอียด ส่วนหลักฐานที่พบจะเชื่อมโยงกับบุคคลใดก็ไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้
พ.ต.อ.ไพสิฐ กล่าวว่า ตามที่คณะกรรมการคดีพิเศษ (กคพ.)ได้มีมติในการประชุม ครั้งที่ 1/2561 เมื่อวันที่ 28 มิ.ย.61 ให้การกระทำความผิดทางอาญาอื่นกรณีการหายตัวไปของ นายพอละจี รักจงเจริญ หรือ บิลลี่ เป็นคดีพิเศษ ที่ต้องสืบสวนและสอบสวนตาม พ.ร.บ.การสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ. 2547 สำหรับพฤติการณ์คือ นายพอละจี ถูก จนท.อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน จับกุมระหว่างนำน้ำผึ้งออกจากพื้นที่อุทยานฯ โดยไม่ได้รับอนุญาต เมื่อ17 เม.ย.57 โดยเจ้าหน้าที่ผู้ควบคุมตัวอ้างว่าได้ปล่อยตัว นายพอละจี ไปโดยไม่ได้ดำเนินคดี แต่น.ส.พิณนภา พฤกษาพรรณ ภรรยาของนายพอละจี และญาติ เชื่อว่านายพอละจี หายสาบสูญไปโดยถูกบังคับ
ทั้งนี้ ดีเอสไอ ได้สืบสวนสอบสวนโดยแต่งตั้งพนักงานอัยการจากสำนักงานอัยการสูงสุด เป็นที่ปรึกษาคดีพิเศษและมีการบูรณาการความร่วมมือกับหลายหน่วยงาน ร่วมกันสืบสวนสอบสวนต่อเนื่องมาโดยตลอด
กระทั่งวันที่ 26 เม.ย.62 และ เมื่อวันที่ 22-24 พ.ค.62 พนักงานสอบสวนดีเอสไอ ได้ใช้เครื่องยานยนต์สำรวจใต้น้ำ จากคณะวิศวกรรมศาสตร์ ม.เทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ และนักประดาน้ำ จากกองบังคับการสนับสนุนทางอากาศ กองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน ตรวจหาพยานหลักฐานที่พื้นที่ใต้น้ำ บริเวณสะพานแขวน เขื่อนแก่งกระจาน พบชิ้นส่วนกระดูก 2 ชิ้น ถังน้ำมันขนาด 200 ลิตร 1 ถัง เหล็กเส้น 2 เส้น ถ่านไม้ 4 ชิ้น และเศษฝาถังน้ำมัน จากนั้นได้ส่งให้สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ ทำการตรวจพิสูจน์ พบว่าวัตถุเป็นชิ้นส่วนกระดูกกะโหลกศีรษะข้างซ้ายของมนุษย์ มีรอยไหม้สีน้ำตาล ร่วมกับรอยแตกร้าว และการหดตัวของกระดูกจากการถูกความร้อน ที่อุณหภูมิ 200 - 300 องศาเซลเซียส ตรวจพบสารพันธุกรรม ตรงกับนางโพเราะจี รักจงเจริญ มารดาของ นายพอละจี่
"เมื่อพิจารณาจากสถานที่เกิดเหตุ พยานหลักฐานในสำนวนอื่นประกอบ พนักงานสอบสวนคดีพิเศษจึงเชื่อว่าวัตถุดังกล่าว เป็นกระดูกของนายพอละจี่ ที่เสียชีวิตแล้วโดยไม่ทราบวิธีที่ทำให้ตาย แต่นำมาเผาทำลายเพื่ออำพรางคดี ส่วนถังน้ำมัน เหล็กเส้น ถ่านไม้ และเศษฝาถังน้ำมัน ได้ส่งศูนย์พิสูจน์หลักฐาน 7 สำนักงานพิสูจน์หลักฐานตำรวจ ทำ การตรวจพิสูจน์หาร่องรอยการผ่านความร้อน และการผุกร่อน ขณะนี้อยู่ระหว่างการตรวจพิสูจน์" พ.ต.อ.ไพสิฐ กล่าว
นอกจากนี้ เมื่อวันที่ 28-30 ส.ค.62 พนักงานสอบสวนคดีพิเศษ ได้ร่วมกับนักประดาน้ำ ตรวจหาพยานหลักฐานที่พื้นที่ใต้น้ำบริเวณสะพานแขวน เขื่อนแก่งกระจาน พบชิ้นส่วนกระดูกเพิ่มเติมอีก 20 ชิ้น ซึ่งอยู่ในระหว่างการดำเนินการ ทั้งนี้ ดีเอสไอ เห็นว่า พฤติการณ์ของกลุ่มคนร้ายที่กระทำผิดครั้งนี้ เข้าข่ายลักษณะเป็นการฆาตกรรม โดยทรมานและการบังคับบุคคลให้สูญหาย ที่เป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง ตามอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการคุ้มครองบุคคลทุกคนจากการหายสาบสูญโดยถูกบังคับและคดีเป็นที่สนใจ หลังจากนี้ จะเร่งรัดสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อดำเนินคดีกับกลุ่มองค์กรที่กระทำความผิดโดยเร็ว
ด้านผู้ช่วยศาสตราจารย์วรวีย์ เผยว่า จากการพิสูจน์วัตถุพยานยืนยันว่า เป็นชิ้นส่วนกระดูกมนุษย์ พบรอยไหม้ และรอยแตกร้าว เมื่อผ่านการสกัดสารพันธุกรรมแบบพิเศษเรียกว่า ไมโตรคอนเดีย เป็นการสืบทอดทางมารดา มาสู่ลูก ซึ่งสารพันธุกรรมนี้ ตรงกับนางโพเราะจี มารดาของนายพอละจี ส่วนจะเป็นนายพอละจีหรือไม่ ขึ้นอยู่กับการสรุปของพนักงานสอบสวน ส่วนระยะเวลาของการเสียชีวิตนั้น จากการตรวจสอบกระดูกพบว่า เสียชีวิตมานานพอสมควรแต่ยังไม่สามารถระบุได้
ขณะที่ พ.ต.ท.เสฏฐ์สถิตน์ กล่าวว่า จากเดิมเอาผิดเจ้าหน้าที่ ในข้อหา ม.157 ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ แต่จะต้องเปลี่ยนเป็นคดีฆาตกรรม ส่วนจะฆาตกรรมด้วยวิธีใดนั้น จะต้องสืบสวนต่อไป ส่วนกลุ่มผู้ต้องสงสัย คดีนี้มีกลุ่มเป้าหมายอยู่แล้ว แต่ไม่ขอเปิดเผยจำนวนผู้ต้องสงสัยและรายละเอียด ส่วนหลักฐานที่พบจะเชื่อมโยงกับบุคคลใดก็ไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้