ผู้จัดการรายวัน 360-"สนธิรัตน์"นั่งหัวโต๊ะถก3หน่วยงาน "กกพ.-ปตท.-กฟผ." แก้ปมนำเข้าแอลเอ็นจีของกฟผ. 1.5 ล้านตัน สั่งให้ทุกฝ่ายสรุปแนวทางร่วมกัน โดยคำนึงถึงผลประโยชน์ของประเทศ ขีดเส้นส่งรายงานสัปดาห์หน้า พร้อมวาง 3 เงื่อนไขก่อนไฟเขียวบริษัท ปตท.น้ำมันและการค้าปลีก (OR) เข้าตลาดหุ้น
นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รมว.พลังงาน เปิดเผยว่า ในการประชุมร่วมกับคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) และการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เพื่อพิจารณาเรื่องการนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว (แอลเอ็นจี) ปริมาณไม่เกิน 1.5 ล้านตันของ กฟผ. วานนี้ (19 ส.ค.) ได้สั่งให้ทุกฝ่ายไปสรุปแนวทางดำเนินการร่วมกัน โดยคำนึงถึงผลประโยชน์ของประเทศชาติโดยรวม และไม่เป็นภาระค่าไฟฟ้าในอนาคต คาดว่าจะได้รับรายงานแนวทางดังกล่าวภายในสัปดาห์หน้า
สำหรับเป้าหมายหลักของเรื่องนี้ คือ ไทยต้องการเป็นผู้นำพลังงานก๊าซฯ ในภูมิภาคนี้ หรือฮับแอลเอ็นจี ไม่ใช่ประเด็นว่าจะนำเข้า หรือไม่นำเข้าแอลเอ็นจี ดังนั้น จึงต้องพิจารณาว่าจากโครงสร้างธุรกิจก๊าซในปัจจุบันจะต้องดำเนินการอย่างไร เพื่อให้ไปสู่เป้าหมายดังกล่าว โดยให้ทุกฝ่ายถอยความเป็นองค์กรลง ไม่ว่าจะเป็น ปตท. กฟผ. แล้วหาแนวทางร่วมกันต่อไป ส่วนการจะนำเข้าแอลเอ็นจีได้ทันปีนี้หรือไม่ หรือจะดำเนินการได้เมื่อไร เป็นเรื่องเล็ก อย่างมองแค่เอาเข้ามาหรือไม่เข้า เอาหลักการก่อน หรืออะไรที่ตอบโจทย์การเป็นประเทศผู้นำไม่ได้ อย่าทำ
ที่ผ่านมา กฟผ. ได้คัดเลือกผู้ชนะการประมูลจัดหาและนำเข้าแอลเอ็นจี ปริมาณไม่เกิน 0.8 -1.5 ล้านตันต่อปี โดยบริษัท ปิโตรนาส แอลเอ็นจี ประเทศมาเลเซีย เป็นผู้ชนะ ในปริมาณ 1.2 ล้านตันต่อปี จากผู้ยื่นข้อเสนอการแข่งขันด้านราคาจำนวน 12 ราย เนื่องจากปิโตรนาส เสนอราคานำเข้าต่ำที่สุด แต่ยังไม่สามารถลงนามสัญญาซื้อขายแอลเอ็นจีกับบริษัทคู่ค้าที่ชนะการประมูลได้ตามแผนในช่วงเดือนมิ.ย.ผ่านมา เพราะติดปัญหาไม่ใช้ก๊าซฯ ก็ต้องชำระเงิน (Take or Pay) และตามแผน กฟผ. จะเริ่มนำเข้าแอลเอ็นจีล็อตแรกเดือน ก.ย.นี้
นายสนธิรัตน์กล่าวว่า ในการหารือร่วมกับนายชาญศิลป์ ตรีนุชกร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ปตท. (PTT) และผู้บริหารบริษัท ปตท.น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) (OR) เมื่อวันที่ 16 ส.ค.ที่ผ่านมา ได้มอบหมายนโยบาย ปตท. หากต้องการจะนำ OR เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ จะต้องตอบโจทย์ 3 เรื่องด้วยกัน คือ 1.ความมั่นคงพลังงานของประเทศ 2.การสร้างความเข้มแข็งเศรษฐกิจฐานรากตามแนวทางนโยบายนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ได้สั่งการไว้ ที่ต้องการให้ OR ใช้ความเข้มแข็ง มาช่วยเหลือพี่น้องประชาชน ก็จะเกิดประโยชน์อย่างแท้จริง และ3.ความเข้มแข็งในการเติบโตในต่างประเทศ หากสามารถดำเนินการได้ทั้งหมดนี้ กระทรวงพลังงานก็ไม่ปฏิเสธถ้า ปตท. จะนำ OR เข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้น ซึ่งคาดว่าจะดำเนินการได้ในต้นปีหน้า
"การขยายธุรกิจต่างประเทศ ถือเป็นหัวใจสำคัญของ OR ที่จะต้องไปโตต่างประเทศอย่างเข้มแข็ง ตอนนี้ก็เริ่มออกไปลงทุนแล้ว เช่น ลาว กัมพูชา และเมียนมา อีกทั้งยังมีแผนจะไปจีน อินเดีย ซึ่ง OR ในอนาคต จะสามารถเป็นศูนย์กลางธุรกิจน้ำมันและค้าปลีก จึงมีอีกหลายเรื่องที่จะต้องดำเนินการเพื่อไปสู่เป้าหมาย ส่วนในไทย ก็อยากเห็นการเติบโตของORแล้วอุ้มเศรษฐกิจฐานรากเป็นศูนย์กลางชุมชน ไม่ใช่แค่เป็นสถานีบริการน้ำมัน ล่าสุด OR มีการจัดทำโครงการไทยเด็ด ที่นำสินค้าชุมชนเข้ามาวางจำหน่ายในสถานีบริการน้ำมัน อนาคตจะมีการทำเรื่องปุ๋ยสั่งตัด ตามนโยบายของนายกรัฐมนตรี"นายสนธิรัตน์กล่าว
นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รมว.พลังงาน เปิดเผยว่า ในการประชุมร่วมกับคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) และการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เพื่อพิจารณาเรื่องการนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว (แอลเอ็นจี) ปริมาณไม่เกิน 1.5 ล้านตันของ กฟผ. วานนี้ (19 ส.ค.) ได้สั่งให้ทุกฝ่ายไปสรุปแนวทางดำเนินการร่วมกัน โดยคำนึงถึงผลประโยชน์ของประเทศชาติโดยรวม และไม่เป็นภาระค่าไฟฟ้าในอนาคต คาดว่าจะได้รับรายงานแนวทางดังกล่าวภายในสัปดาห์หน้า
สำหรับเป้าหมายหลักของเรื่องนี้ คือ ไทยต้องการเป็นผู้นำพลังงานก๊าซฯ ในภูมิภาคนี้ หรือฮับแอลเอ็นจี ไม่ใช่ประเด็นว่าจะนำเข้า หรือไม่นำเข้าแอลเอ็นจี ดังนั้น จึงต้องพิจารณาว่าจากโครงสร้างธุรกิจก๊าซในปัจจุบันจะต้องดำเนินการอย่างไร เพื่อให้ไปสู่เป้าหมายดังกล่าว โดยให้ทุกฝ่ายถอยความเป็นองค์กรลง ไม่ว่าจะเป็น ปตท. กฟผ. แล้วหาแนวทางร่วมกันต่อไป ส่วนการจะนำเข้าแอลเอ็นจีได้ทันปีนี้หรือไม่ หรือจะดำเนินการได้เมื่อไร เป็นเรื่องเล็ก อย่างมองแค่เอาเข้ามาหรือไม่เข้า เอาหลักการก่อน หรืออะไรที่ตอบโจทย์การเป็นประเทศผู้นำไม่ได้ อย่าทำ
ที่ผ่านมา กฟผ. ได้คัดเลือกผู้ชนะการประมูลจัดหาและนำเข้าแอลเอ็นจี ปริมาณไม่เกิน 0.8 -1.5 ล้านตันต่อปี โดยบริษัท ปิโตรนาส แอลเอ็นจี ประเทศมาเลเซีย เป็นผู้ชนะ ในปริมาณ 1.2 ล้านตันต่อปี จากผู้ยื่นข้อเสนอการแข่งขันด้านราคาจำนวน 12 ราย เนื่องจากปิโตรนาส เสนอราคานำเข้าต่ำที่สุด แต่ยังไม่สามารถลงนามสัญญาซื้อขายแอลเอ็นจีกับบริษัทคู่ค้าที่ชนะการประมูลได้ตามแผนในช่วงเดือนมิ.ย.ผ่านมา เพราะติดปัญหาไม่ใช้ก๊าซฯ ก็ต้องชำระเงิน (Take or Pay) และตามแผน กฟผ. จะเริ่มนำเข้าแอลเอ็นจีล็อตแรกเดือน ก.ย.นี้
นายสนธิรัตน์กล่าวว่า ในการหารือร่วมกับนายชาญศิลป์ ตรีนุชกร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ปตท. (PTT) และผู้บริหารบริษัท ปตท.น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) (OR) เมื่อวันที่ 16 ส.ค.ที่ผ่านมา ได้มอบหมายนโยบาย ปตท. หากต้องการจะนำ OR เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ จะต้องตอบโจทย์ 3 เรื่องด้วยกัน คือ 1.ความมั่นคงพลังงานของประเทศ 2.การสร้างความเข้มแข็งเศรษฐกิจฐานรากตามแนวทางนโยบายนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ได้สั่งการไว้ ที่ต้องการให้ OR ใช้ความเข้มแข็ง มาช่วยเหลือพี่น้องประชาชน ก็จะเกิดประโยชน์อย่างแท้จริง และ3.ความเข้มแข็งในการเติบโตในต่างประเทศ หากสามารถดำเนินการได้ทั้งหมดนี้ กระทรวงพลังงานก็ไม่ปฏิเสธถ้า ปตท. จะนำ OR เข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้น ซึ่งคาดว่าจะดำเนินการได้ในต้นปีหน้า
"การขยายธุรกิจต่างประเทศ ถือเป็นหัวใจสำคัญของ OR ที่จะต้องไปโตต่างประเทศอย่างเข้มแข็ง ตอนนี้ก็เริ่มออกไปลงทุนแล้ว เช่น ลาว กัมพูชา และเมียนมา อีกทั้งยังมีแผนจะไปจีน อินเดีย ซึ่ง OR ในอนาคต จะสามารถเป็นศูนย์กลางธุรกิจน้ำมันและค้าปลีก จึงมีอีกหลายเรื่องที่จะต้องดำเนินการเพื่อไปสู่เป้าหมาย ส่วนในไทย ก็อยากเห็นการเติบโตของORแล้วอุ้มเศรษฐกิจฐานรากเป็นศูนย์กลางชุมชน ไม่ใช่แค่เป็นสถานีบริการน้ำมัน ล่าสุด OR มีการจัดทำโครงการไทยเด็ด ที่นำสินค้าชุมชนเข้ามาวางจำหน่ายในสถานีบริการน้ำมัน อนาคตจะมีการทำเรื่องปุ๋ยสั่งตัด ตามนโยบายของนายกรัฐมนตรี"นายสนธิรัตน์กล่าว