xs
xsm
sm
md
lg

อันตราย...ที่มากับ “คนรุ่นใหม่”

เผยแพร่:   โดย: ทับทิม พญาไท

เฉินหลง
ไหนๆ ก็แวะไปฮ่องกงกันไปแล้วเมื่อวานนี้...ปิดฉากสัปดาห์นี้ เลยคงต้องขออนุญาตปิดกันที่ฮ่องกงนี่แหละ เพราะไม่เพียงแต่ฉากสถานการณ์อันสับสนวุ่นวาย น่าจะใกล้ปิดฉาก ปิดผ้าม่านกั้งกันเต็มที (เห็น “ข่าวล่า-มาเรือ” ในซีเอ็นเอ็นอยู่แวบๆ ดูเหมือนจะเริ่มเกิดรายการลงมือ ลงตีน กันมั่งแล้ว) แต่นอกเหนือไปจากนั้น...มันยังมีสิ่งที่น่าคิด สะกิดใจ น่าเก็บเอามาเป็นอุทาหรณ์สอนใจอยู่ไม่น้อยเช่นกัน โดยเฉพาะสำหรับประเทศไทยแลนด์ แดนสยาม ของหมู่เฮาทั้งหลาย ที่บรรยากาศความขัดแย้งแตกต่างระหว่าง “ไดโนเสาร์” กับ “กะปอม” มันชักจะเป็นอะไรที่ “เอาเรื่อง” ยิ่งขึ้นเรื่อยๆ...

คือสิ่งที่บรรดาชาวฮ่องกง โดยเฉพาะ “คนรุ่นเก่า” ที่มีการเติบโตทาง “วุฒิภาวะ” พอสมควรแล้ว ตลอดไปจนถึง “ชาวจีน” ไม่ว่าจะอยู่ใน “แผ่นดินใหญ่” หรืออยู่ที่ไหนๆ ก็แล้วแต่ ออกจะ “งงง์ง์ง์ๆ” กับบรรดา “กุมารฮ่องกง” ประเภท “คนรุ่นใหม่” ทั้งหลาย มันค่อนข้างสะท้อนให้เห็นอย่างชัดเจน จากเหตุการณ์การประท้วงที่ฮ่องกงคราวนี้ เรียกว่า...คิดไม่ออก-บอกไม่ถูก ว่าอะไรกันแน่ที่ถึงได้ทำให้บรรดาเด็กๆ ชาวฮ่องกง ออกอาการก้าวร้าว เหี้ยมเกรียม ไม่สนใจเหตุผล ไม่หวั่นเกรงหน้าอินทร์หน้าพรหม พร้อมที่จะเป็น-จะตาย เพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งที่ตัวเองเรียกร้องต้องการ อันเป็นสิ่งที่ออกจะเสื่อมทรุด เสื่อมโทรม แทบจะล้าสมัย หมดสมัย ไปแล้วก็ว่าได้ นั่นก็คือสิ่งที่เรียกว่า “ประชาธิปไตยเสรี” หรือ “เสรีนิยมประชาธิปไตย” ที่ผู้นำรัสเซียท่านเพิ่ง “ฟันธง” ลงไปเมื่อไม่นานมานี้ ว่ากำลังจะ “พ้นสมัย” ไปในอีกไม่นาน-ไม่ช้า...

ขณะที่ “ประชาธิปไตยแบบรวมศูนย์” หรือระบบคอมมิวนิสต์ของจีนแผ่นดินใหญ่เขานั่นแหละ กลับเป็นอะไรที่ยิ่งใหญ่เกรียงไกรยิ่งขึ้นเรื่อยๆ กลายเป็นสิ่งที่ทำให้ประเทศจีน ซึ่งเคยเจอเข้ากับ “เรือปืน” ของพวกฝรั่งแค่ไม่กี่ลำ ก็แทบ “เดี้ยง” ไปทั้งประเทศ เมื่อไม่กี่ร้อยปีเท่านั้นเอง ส่งผลให้บรรดา “คนจีน” ทั้งหลาย ไม่ว่าจะชาวฮ่องกง หรือชาวแผ่นดินใหญ่ก็แล้วแต่ ถูกตีค่าตีราคาไม่ต่างไปจาก “สุนัข” เอาเลยถึงขั้นนั้น ถึงได้มีป้ายประกาศในเขตยึดครองของพวกฝรั่งในเมืองจีน “ห้ามคนจีนและสุนัขเข้า” อะไรทำนองนั้น แต่มาถึงทุกวันนี้...ย่อมมิอาจปฏิเสธได้เลยว่า ก็ด้วย “ประชาธิปไตยแบบรวมศูนย์” ของพรรคคอมมิวนิสต์จีนนั่นเอง ที่ทำให้ประเทศจีน แทบจะกลายเป็น “มหาอำนาจอันดับหนึ่ง” แซงหน้าประมุขโลกอย่างคุณพ่ออเมริกาไปแล้ว โดยเฉพาะในทางเศรษฐกิจ ทำให้คนจีนไม่ว่าอยู่ ณ แห่งหนตำบลใดก็แล้วแต่ สามารถยืดอก พูดจาภาษาจีนชนิดล้งๆ เล้งๆ ได้ทั่วทั้งโลก...

และก็ด้วย “ประชาธิปไตยแบบรวมศูนย์” ของพรรคคอมมิวนิสต์จีนเขาอีกนั่นแหละ...ที่ทำให้เกิดตัวเลข สถิติที่สามารถยืนยันได้ พิสูจน์ได้ ดังที่ “สำนักงานสถิติแห่งชาติจีน” (National Bureau of Statistics-NBS) เขาเพิ่งออกมาแจกแจงเป็นข่าวใน “ผู้จัดการ” ไปเมื่อวันวาน ว่าจาก “รายได้โดยเฉลี่ยต่อหัว” ของบรรดาคนจีนเมื่อปี พ.ศ. 2492 ที่เคยอยู่ในระดับ 49.7 หยวนต่อปี มาถึงช่วงหลังๆ นี้ หรือเมื่อปี พ.ศ. 2561 สามารถพุ่งพรวดๆ พราดๆ ขึ้นไปเป็น 28,200 หยวน หรือประมาณ 1.41 แสนบาทต่อคน/ต่อปี คิดเป็นอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นเกือบ 60 เท่า ชนิดที่นักคิด นักวิชาการ ผู้เคยเป็นถึงอดีตรัฐมนตรีแรงงานอเมริกัน “นายโรเบิร์ต ไรซ์” ถึงกับต้องนำเอาไปเทียบเคียงกับ “ประชาธิปไตยเสรีนิยม” ของอเมริกา เมื่อแค่ไม่กี่เดือนที่ผ่านมา โดยสรุปให้เห็นประมาณว่า ด้วยเหตุเพราะประชาธิปไตยเสรีของอเมริกา ที่มุ่งเพิ่มผลตอบแทนให้กับบรรดาบริษัทเจ้าของกิจการ ผู้ถือหุ้นทั้งหลายเป็นหลัก อเมริกาก็เลย “รวย” อยู่แค่ 500 บริษัท หรือในหมู่ผู้คนแค่ 1 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นเอง ขณะที่ “ประชาธิปไตยรวมศูนย์” แบบจีน ที่มุ่งเพิ่มรายได้และผลตอบแทนให้กับประชาชนโดยทั่วไปมาโดยตลอด 40 กว่าปี จึงส่งผลให้ประชาชนชาวจีนไม่น้อยกว่า 100 ล้านคนในทุกวันนี้ กลายเป็นผู้ที่สามารถก้าวข้าม “ความยากจน” ไปแล้วด้วยกันทั้งสิ้น...

แต่แม้ว่าประเทศจีนทุกวันนี้...จะยิ่งใหญ่เกรียงไกรถึงเพียงไหน จะกลายเป็น “หัวรถจักรของเศรษฐกิจโลก” เป็นประเทศมหาอำนาจระดับแนวหน้ามีเกียรติยศและศักดิ์ศรี ไม่น้อยไปกว่ามหาอำนาจอย่างอเมริกา แถมยังเป็นประเทศที่พยายามแสดงออกถึงความตระหนักต่อความรับผิดชอบร่วมกันของโลก ด้วยการหันมาให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมอย่างจริงๆ จังๆ เป็นประเทศที่ได้ชื่อว่าพร้อมจัดการกับการคดโกง ทุจริตประพฤติมิชอบ ชนิดหน้าไหนก็มิอาจละเว้น ฯลฯ แต่สิ่งเหล่านี้...กลับไม่ได้ก่อให้เกิดความภาคภูมิใจความชื่นชม ยินดีต่อบรรดาผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็น “คนจีน” ด้วยกัน อย่างบรรดากุมารฮ่องกงทั้งหลายเอาเลยแม้แต่น้อย...

บรรดาข้อเขียน บทความ บทสนทนาแลกเปลี่ยนของบรรดากุมารฮ่องกงทั้งหลาย เท่าที่ปรากฏอยู่ใน “โลกโซเชียล มีเดีย” จำนวนไม่น้อย กลับเต็มไปด้วยความรังเกียจ เดียดฉันท์ การดูหมิ่น ดูแคลน ไปจนถึงขั้นโกรธ เกลียด เคียดแค้นพยาบาทต่อคอมมิวนิสต์จีนเอาเลยก็ยังมี โดยกลับหันไปชื่นชม ยกย่องสรรเสริญต่อบรรดาพวก “ฝรั่ง” ที่เคยไล่กระทืบบรรพบุรุษตัวเองเหมือนหมู เหมือนหมา กลับหันไปเรียกร้องปรารถนาและต้องการ สิ่งที่เรียกว่า “ประชาธิปไตยเสรี” แบบฝรั่ง ชนิดที่ทำให้บรรดาคนจีนด้วยกันเอง โดยเฉพาะประเภท “คนรุ่นเก่า” ทั้งหลาย อดไม่ได้ที่จะมึนซ์ซ์ซ์ๆ งงง์ง์ง์ๆ ต่อแนวคิดและทัศนคติของเด็กๆ เหล่านี้ขึ้นมามิได้ แม้แต่ดาราหนังกังฟูฮ่องกง อย่างคุณน้า “เฉินหลง” ยังอดไม่ได้ที่จะต้อง “รำพึง” ออกมาดังๆ ต่อการอุบัติขึ้นมาของม็อบฮ่องกง ต่อการลุกฮือของบรรดาเด็กๆ ชาวฮ่องกง ที่แทบไม่ต่างไปจากการอุบัติขึ้นมาของ “มนุษย์ต่างดาว” ทำนองนั้น คือแม้จะเป็น “คนจีน” ด้วยกัน ไม่ว่าจะฮ่องกง หรือแผ่นดินใหญ่ก็แล้วแต่ แต่คล้ายๆ จะ “พูดกันคนละภาษา” ยิ่งขึ้นเรื่อยๆ...

แน่ล่ะว่า...สิ่งเหล่านี้ คงไม่ได้อุบัติขึ้นแต่เฉพาะในเกาะฮ่องกงเท่านั้น แต่มันได้เกิดขึ้นมาใน “โลกเสมือนจริง” หรือ “โลกโซเชียล มีเดีย” ทั้งหลายมานานแล้ว โลกที่ “กลุ่มคนบางกลุ่ม” สามารถอาศัยเครื่องมือสื่อสารที่ก้าวล้ำนำสมัย กระทำการ “ปรุงแต่ง” อารมณ์ความรู้สึกของผู้ที่หลุดเข้าไปในโลกใบนี้ให้เป็นไปตามที่ตัวเองต้องการ อย่างที่หนังสารคดีล่าสุดเรื่อง “The Great Hacker” ของ “Netflix” ได้แฉโพยให้เห็นถึงพฤติกรรมของบริษัทอังกฤษ ชื่อว่า “เคมบริดจ์ แอนะลิติกา” ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการบิดเบือน เบี่ยงเบนการลงประชามติ “เบร็กซิต” ในอังกฤษ หรือการเลือกตั้งประธานาธิบดีอเมริกาครั้งล่าสุดนั่นเอง...

ด้วยขีดความสามารถของกระทำการในลักษณะเช่นนี้นี่แหละ...ที่มันเลยถึงก่อให้เกิด “มนุษย์ต่างดาว” ก่อให้เกิด “เด็กฮ่องกง” ที่ไม่คิดว่าตัวเองเป็น “คนจีน” หรือแม้กระทั่งก่อให้เกิด “กะปอม” ที่พร้อมจะแจกกล้วย แจกผลไม้รวม ให้กับบรรดา “ไดโนเสาร์” ในบ้านเรา จนส่งผลให้ผู้ซึ่งต้องมีหน้าที่รับผิดชอบด้านความมั่นคงโดยรวม อย่าง “บิ๊กแดง” หรือ “พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์” ในฐานะผู้บัญชาการทหารบก ท่านเลยอดไม่ได้ที่จะต้องออกมาเตือนให้เห็นถึง “อันตราย” ของสงครามไซเบอร์ หรือสงครามไฮบริดก็แล้วแต่ โดยถ้าหากไม่คิดจะ “เปิดใจ” รับฟังเอาไว้มั่ง วันใด-วันหนึ่ง...เราอาจหนีไม่พ้นต้องมึนซ์ซ์ซ์ๆ งงง์ง์ง์ๆ ไม่ต่างไปจาก “เฉินหลง” เอาเลยก็ไม่แน่!!!
กำลังโหลดความคิดเห็น