xs
xsm
sm
md
lg

บทความ

x

ระวัง...ระเบิดทางเศรษฐกิจ!!!

เผยแพร่:   โดย: ทับทิม พญาไท

ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐอเมริกา
มาวันนี้...คงต้อง “เปิดเล้าไก่” บินไปดูเรื่องเงินๆ-ทองๆ กันดีกว่า เพราะช่วงระหว่างนี้ เรื่องของ “สงครามการเงิน” (Currency War) ที่อาจหนักหนาสาหัส ไม่น้อยไปกว่า “สงครามเลือด” มันเริ่มจะมีใครต่อใครประเภทผู้เชี่ยวชาญชำนาญการ ในเรื่องทำนองนี้ ชักออกมาพูดถึง กล่าวขวัญถึงอย่างเป็นระบบ เป็นกิจการ และเริ่มพูดกันถี่ๆยิ่งขึ้นเรื่อยๆ...

อย่างที่เคยหยิบมาเล่าสู่กันฟังไปเมื่อช่วงกลางๆ เดือนที่แล้วนั่นแหละว่า ขนาดระดับหัวหน้ายุทธศาสตร์และวิจัยของกลุ่มบริษัทธนาคารข้ามชาติสัญชาติสวิส “นายChristian Gattiker” แห่งบริษัท “Julius Baer Group” เขาถึงกับออกมา “ฟันเฟิร์ม” เอาไว้แบบเดียวกับ “หมอลักษณ์-หมอกฤษณ์” ในบ้านเราเอาเลยว่า ในอีกไม่นาน-ไม่ช้า หรือไม่เกินอีก 2-3 ปีข้างหน้า “สงครามการค้า” ระหว่างจีนและอเมริกา จะนำไปสู่ “สงครามการเงิน” อย่างชนิดเต็มรูปแบบ!!!

และดูเหมือนว่า...การ “ฟันเฟิร์ม” กันในลักษณะเช่นนี้ ก็ยังไม่มีใครคิดจะลุกขึ้นมาค้าน ขึ้นมาเถียงแบบที่ “โหรวารินทร์” ต้องลุกขึ้นมาโต้กับ “โหรโสรัจจะ” อย่างในบ้านเราอะไรทำนองนั้น เนื่องจากเมื่อมันมีข่าวคราวความเคลื่อนไหวจำนวนไม่น้อย ซึ่งออกจะเป็นตัว “เพิ่มน้ำหนัก” ให้กับการ “ฟันเฟิร์ม” ไปในลักษณะที่ว่า โดยเฉพาะหลังจากที่ประธาน “ธนาคารกลางของสหรัฐฯ” หรือที่เรียกกันสั้นๆ ว่า “เฟด” อย่าง “นายJerome Powell” ได้ออกอาการคล้ายๆ กับถูก “บีบไข่” โดยยอมประกาศลดดอกเบี้ยเงินฝากลงไปเป็นครั้งแรกในรอบ 10 ปี อันเป็นไปตามความปรารถนา ความต้องการของ “ทรัมป์บ้า” ประธานาธิบดีอเมริกันที่เป็นผู้ตั้งไข่ หรือผู้เสนอชื่อแต่งตั้งประธานธนาคารกลางรายนี้มากับมือ...

ไม่เพียงความเคลื่อนไหวของธนาคารกลางสหรัฐฯ...ที่ออกไปทางไม่ได้คิดจะ “ขัดใจ” ต่อผู้นำอเมริกา แม้ออกจะขัดแย้งกับข้อมูล ข้อเท็จจริงทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ อยู่บ้าง แต่ยังมีความเคลื่อนไหวในรูปแบบอื่นๆ อีกเยอะแยะมากมาย ที่ทำให้ใครต่อใครค่อนข้างเชื่อๆ กันว่า ความพยายามที่จะทำให้ “ค่าเงินดอลลาร์” อ่อนๆ ลงมา เพื่อเพิ่มอำนาจแข่งขันทางการค้า ไปจนถึงเพื่อลดการขาดดุลการค้าของสหรัฐฯ ต่อจีนและประเทศอื่นๆ คือสิ่งที่ผู้นำอเมริกา อย่าง “ทรัมป์บ้า” ปรารถนาและต้องการเอามากๆ เช่นกรณีความพยายามแก้ไขกฎระเบียบบางอย่าง เพื่อให้ “กระทรวงพาณิชย์” ของ “เหยี่ยวการค้า” อย่าง “นายวิลเบอร์ รอส” กลายมาเป็นผู้ประเมินและตรวจสอบ ว่ามีประเทศใดที่กำลัง “ปั่นค่าเงิน” เพื่อช่วงชิงความได้เปรียบจากการค้า-ขายกับสหรัฐฯ แทนที่กระทรวงการคลัง ทั้งนั้น ทั้งนี้...เพื่อที่จะได้งัดมาตรการขึ้นภาษีศุลกากรต่อสินค้าประเทศนั้นๆ แบบเดียวกับที่ขึ้นภาษีสินค้าจีนไม่รู้กี่ระลอกต่อกี่ระลอก ล่าสุดก็คือสินค้ามูลค่าอีกประมาณ 300,000 ล้านดอลลาร์ ชนิดแทบไม่มีอะไรจะขึ้นอีกต่อไปแล้ว...

ไปจนถึงพฤติกรรมและการแสดงออกของตัว “ทรัมป์บ้า” เอง...ที่มักหยิบเอาสิ่งที่เรียกว่า “อัตราการแลกเปลี่ยนที่ไม่เป็นธรรม” มาใช้กล่าวหา เล่นงาน ประเทศต่างๆ ถึงขั้น “ทวีต” ด่าประธานธนาคารกลางยุโรปแบบชนิดซึ่งๆ หน้า ที่เคยคิดลดอัตราดอกเบี้ยเงินฝากลงต่ำกว่า “ศูนย์” เป็นต้น ฯลฯ บรรดาความเคลื่อนไหวต่างๆ เหล่านี้นี่แหละ ที่ทำให้ใครต่อใครค่อนข้างโน้มเอียงไปทางความเชื่อที่ว่า โอกาสที่ “สงครามการค้า” ของ “ทรัมป์บ้า” จะแปรรูป แปรร่างกลายไปเป็น “สงครามการเงิน” อย่างเต็มรูปแบบ ย่อมมีความเป็นไปได้สูงเอามากๆ...

ชนิดที่คอลัมนิสต์ในสื่อทางการของจีน อย่าง “นายHu Weijia” ซึ่งได้ร่ายข้อเขียน บทความ เรื่อง “Currency war can only to collapse of US dollar” หรือเรื่อง “สงครามการเงินมีแต่จะนำไปสู่ความล่มสลายของเงินดอลลาร์” อะไรประมาณนั้น เอาไว้ในเว็บไซต์ “Global Times” เมื่อช่วงวันพฤหัสฯ (1 ส.ค.) ที่ผ่านมา ถึงกับต้องย้อนกลับไปหยิบเอาฉากเหตุการณ์ยุครัฐบาลประธานาธิบดี “เรแกน” โน่นเลย คือฉากเหตุการณ์ที่รัฐบาลสหรัฐฯ สามารถบีบบังคับให้บรรดาประเทศยักษ์ใหญ่ทางเศรษฐกิจ ไม่ว่าฝรั่งเศส เยอรมนี ญี่ปุ่น และอังกฤษ ร่วมลงนามในข้อตกลงหรือปฏิญญา ที่เรียกว่า “The Plaza Accord” เมื่อช่วงวันที่ 22 กันยายน ค.ศ. 1985 ที่โรงแรมพลาซา นครนิวยอร์ก เพื่อให้ญี่ปุ่นและเยอรมนีต้อง “เพิ่มค่าเงิน” ของตัวเองเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์ จนนำไปสู่ภาวะ “ฟองสบู่แตก” ในญี่ปุ่นในเวลาต่อมา มาใช้เป็นตัวอธิบายถึงทิศทางแนวทางของรัฐบาล “ทรัมป์บ้า” ในทุกวันนี้ หรือในอนาคตอันใกล้...

แต่ด้วยเหตุเพราะความเป็นมหาอำนาจของสหรัฐฯ และอิทธิพลของเงินดอลลาร์ เมื่อกว่า 30 ปีที่แล้ว กับ ณ เมื่อถึงวินาทีนี้ มันอาจกลายเป็น “หนังคนละม้วน” ไปนานแล้ว ความพยายามที่จะทำให้เงินดอลลาร์อ่อนตัวลงมาแบบไม่ได้เป็นไปตามธรรมชาติ แต่เพียงเพื่อหาช่องทางในการเพิ่มอำนาจการแข่งขัน หรือเพื่อลดความเสียเปรียบดุลการค้าของอเมริกา จึงทำให้คอลัมนิสต์ อย่าง “นายHu Weijia” แกเลยตัดสินใจสรุปเอาเองว่า มีแต่จะทำให้ “บทบาทของเงินดอลลาร์” ซึ่งเคยครอบงำระบบการเงินโลกมาโดยตลอด ย่อมต้อง “เจ๊ง...กับ...เจ๊ง” อย่างมิพึงต้องสงสัย และโดยเฉพาะเมื่อคู่แข่ง หรือคู่กัดของอเมริกา ไม่ว่าในทางการค้า หรือในทางใดๆ ก็ตาม อย่างจีนนั้น... “ได้เตรียมพร้อมที่จะป้องกันความเสี่ยงอันจะเกิดขึ้นจากสงครามการเงินไว้เรียบร้อยแล้ว”...

จริง-ไม่จริง...ก็คงต้องคอยติดตามชมกันต่อไป แต่ที่แน่ๆ ก็คือ...ภายใต้บรรยากาศ “สงครามการค้า” ที่มันออกจะหนักหนาสาหัสอยู่แล้ว ไม่ใช่แต่เฉพาะระหว่าง “จีนกับอเมริกา” แต่กับโลกทั้งโลกเอาเลยก็ว่าได้ นอกจากไม่ได้แสดงให้เห็นถึงแนวโน้มในทางที่จะหาข้อยุติกันได้ง่ายๆ มีแต่จะแรงขึ้น-แรงขึ้น หรือมีแค่พักรบชั่วคราว แล้วต้องหันมาใส่กันใหม่ แถมอาจบานปลาย ปลายบานไปสู่ “สงครามการเงิน” ขึ้นมาเมื่อไหร่ก็ย่อมได้ อันนี้...ต้องเรียกว่า โอกาสที่จะฉิบหายวายวอดกันไปทั่วทั้งโลก โอกาสที่จะต้องหนักซะยิ่งกว่าเท่าที่เคยหนักๆ กันมาแล้ว ดูจะเริ่มปรากฏตัวขึ้นมารางๆ และนับวันจะชัดเจนยิ่งเข้าไปทุกที ด้วยเหตุนี้...สำหรับประเทศเล็กๆ อย่างไทยแลนด์ แดนสยาม ของหมู่เฮา คงต้องเตรียมตัว เตรียมใจ เอาไว้ซะแต่เนิ่นๆ เพราะไม่ว่า “ระเบิดการเมือง” จะกี่ลูกต่อกี่ลูกก็แล้วแต่ ยังไม่ถึงกับหนักหนาสาหัสมากมายสักเท่าไหร่ แต่ถ้าหากต้องเจอกับ “ระเบิดเศรษฐกิจ” นี่สิ!!! โอกาสที่จะต้องหงายท้อง หลับกลางอากาศ ไปไม่กลับ-หลับไม่ตื่น-ฟื้นไม่มี...ใช่ว่าจะไม่มีเอาเสียเลย...
กำลังโหลดความคิดเห็น