xs
xsm
sm
md
lg

รอผลตรวจ DNA 2 ผู้ต้องสงสัยป่วนหน้าสตช. โยงบึ้มกทม.หรือไม่

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


ตร.เผยใช้อำนาจตามพ.ร.ก.ฉุกเฉิน ควบคุมตัว 2 ผู้ต้องหา ซุกวัตถุต้องสงสัย หน้าป้ายสตช. 7 วัน อยู่ระหว่างกระบวนการซักถาม ยันปลอดภัยดี พฐ. คาด 2 วันรู้ผลตรวจ "ดีเอ็นเอ" คู่หูป่วนหน้าสตช. โยงบึ้มกทม.หรือไม่ ก่อนตั้งข้อหา ด้านแหล่งข่าวฝ่ายความมั่นคงเชื่อเหตุบึ้มกทม.ไม่เกี่ยวไฟใต้ คาดกลุ่มก่อเหตุแค่มือรับจ้าง ส่วนระเบิดปิงปอง ทำคนเจ็บ 4 ราย ที่ พระราม 9 ของเด็กช่างกลซุกซ่อนไว้ ขณะที่สถานการณ์ใต้ยังร้อนแรง มีลอบวางระเบิดตู้เอทีเอ็ม "ไอแบงก์" ที่ จ.ปัตตานี และก่อเหตุป่วนเผายางรถโปรยตะปูเรือใบอีกหลายจุด

วานนี้ (4 ส.ค.) พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษก ตร. เปิดเผยถึงความคืบหน้าเกิดเหตุระเบิดหลายจุดในพื้นที่ กทม. เมื่อวันที่ 2 ส.ค. ที่ผ่านมา กรณีที่มีการควบคุมตัวของผู้ต้องหา 2 คน ที่นำวัตถุต้องสงสัยมาวางไว้ที่ ป้ายสำนักงานตำรวจแห่งชาติว่า หลังจากเจ้าหน้าที่ เข้าจับกุมผู้ต้องหาทั้ง 2 ราย ตามหมายจับที่ศาลได้อนุมัติให้ ตาม พ.ร.ก.บริหารราชในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 และได้ให้อำนาจสามารควบคุมตัวไว้ได้ 7 วัน หลังจากจับกุมตัวได้นั้น ขณะนี้อยู่ระหว่างการควบคุมตัวไปเพื่อทำการสืบสวนสอบสวน และขยายผลเป็นเวลา 7 วัน (2-8 ส.ค.)

"ขณะนี้ทั้ง 2 รายถูกควบคุมตัวไว้ตั้งแต่ วันที่ 2 ส.ค. มีการตรวจร่างกาย และเข้าสู่กระบวนการซักถาม โดยในส่วนของสิทธิผู้ต้องหาขั้นพื้นฐาน ที่จะได้รับการเยี่ยมของญาตินั้น บิดา มารดา และภรรยา สามารถติดต่อเยี่ยมได้ตามปกติ โดยมีแนวทางการปฏิบัติในการเยี่ยมญาติจากเจ้าหน้าที่เกี่ยวข้อง" รองโฆษก ตร.ระบุ

พ.ต.อ.กฤษณะ กล่าวว่า ล่าสุดพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ได้กำชับมายัง พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. ให้ทำงานด้วยความเป็นมืออาชีพ ยึดหลักกฎหมาย ระเบียบข้อบังคับ สามารถตรวจสอบได้ และเป็นที่พึ่งของประชาชนได้อย่างแท้จริง โดย ผบ.ตร.ได้กำชับและสั่งการให้เจ้าหน้าที่เกี่ยวข้อง ทำการสืบสวนสอบสวนด้วยความรวดเร็วโปร่งใสเป็นธรรม ยึดหลักกฎหมาย สิทธิขั้นพื้นฐานของผู้ต้องหาที่ควรได้รับ นำพยานหลักฐานในทางนิติวิทยาศาสตร์มาเชื่อมโยงถึงการกระทำความผิดเป็นสำคัญ เพื่อทำความจริงให้ปรากฏ เกิดความเชื่อมั่นและตอบคำถามให้กับสังคมได้

รองโฆษก ตร. กล่าวอีกว่า ทั้งผู้ต้องหา 2 ราย ปลอดภัยดี ขณะนี้อยู่ภายใต้การดูแลของ จนท. ยืนยันได้รับสิทธิของผู้ถูกซักถามตามปกติ และใช้มาตรฐานเดียวกันกับผู้ควบคุมรายอื่น เจ้าหน้าที่ได้ทำการควบคุมโดยปฏิบัติตามกรอบกฎหมาย และจัดให้ได้รับสิทธิของผู้ถูกควบคุมตามปกติ ไม่ได้เป็นไปตามข่าวลืออื่นๆ ตามที่ปรากฏในโลกโซเชียลฯ แต่อย่างใด ขอเวลาให้เจ้าหน้าที่ในการทำงาน ขอให้เชื่อมั่น และติดตามข่าวสารที่ถูกต้องจากทางราชการเท่านั้นพร้อมกันนี้ หากประชาชนมีข้อมูลหรือเบาะแสที่เกี่ยวข้องก็สามารถโทรที่ หมายเลขสายด่วน 191,1599 ตลอด 24 ชม.

รอผลตรวจดีเอ็นเอ 2 ผู้ต้องหา

วันเดียวกันนี้ ที่กองบังคับการสืบสวนสอบสวน กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บก.สส.บชน.) มีรายงานว่า ทีมสืบสวนคดีคนร้ายลอบวางระเบิดหลายจุดทั่ว กทม. มีการประชุมเพื่อสรุปผลความคืบหน้าการติดตามตัวคนร้าย โดยทีมสืบสวนแจ้งว่าความคืบหน้าในคดีนี้ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. จะเป็นผู้ให้ข้อมูล แต่เพียงผู้เดียว

พล.ต.ต.ทิวธวัช นครศรี ผู้บังคับการกองพิสูจน์หลักฐานกลาง (ผบก.พฐก.) กล่าวว่า ขณะนี้เจ้าหน้าที่ได้เก็บตัวอย่างดีเอ็นเอ ของผู้ต้องสงสัย 2 คน ที่ถูกควบคุมตัวไว้ที่ศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ส่วนหน้า จ.ยะลา เรียบร้อยแล้ว และนำไปเปรียบเทียบกับฐานข้อมูล ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อหาว่า กลุ่มบุคคลดังกล่าวเคยมีประวัติความเกี่ยวข้องกับคดีในพื้นที่ภาคใต้ หรือคดีอื่นๆ หรือไม่

นอกจากนี้ จะนำตัวอย่างดีเอ็นเอที่ได้ไปเปรียบเทียบกับพยานหลักฐานที่เก็บได้ในที่เกิดเหตุ ทั้งจากตัววัตถุระเบิด และอุปกรณ์ต่างๆ ที่อยู่หน้าสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยคาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 2-3 วัน ก็จะทราบว่า ตัวอย่างดีเอ็นเอ ของผู้ต้องสงสัย 2 คน จะตรงกับเหตุที่หน้าสำนักงานตำรวจแห่งชาติ หรือไม่ ก่อนจะส่งข้อมูลดังกล่าวให้คณะทำงานในคดีตั้งข้อหา ตามขั้นตอนต่อไป

ส่วนความคืบหน้าการเก็บพยานหลักฐานในที่เกิดเหตุ จากเหตุระเบิดตามจุดต่างๆ ทั่วกทม.ขณะนี้ เจ้าหน้าที่ได้มีการนำชิ้นส่วนระเบิด มาตรวจหาลายนิ้วมือแฝง และเก็บตัวอย่าง ดีเอ็นเอ ขณะนี้พบว่ามีชุดตัวอย่างดีเอ็นเอ และลายนิ้วมือจากกลุ่มบุคคลจำนวนหนึ่ง แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยได้ เนื่องจากอยู่ระหว่างการตรวจสอบเปรียบเทียบกับฐานข้อมูลที่มี และต้องนำรายงานส่งให้คณะทำงานตรวจสอบเพิ่มเติม ส่วนการตรวจสอบลักษณะเฉพาะของวัตถุระเบิด ยืนยันว่า การทำงานมีความคืบหน้าไปมาก เนื่องจากวัตถุระเบิดบางชิ้น ไม่เกิดการระเบิด จึงทำให้สามารถตรวจสอบหาลักษณะเฉพาะของระเบิดได้ ส่วนระเบิดที่มีการทำงานไปแล้ว ก็จะนำมาประกอบเพิ่มเติม เพื่อหาลักษณะเทียบเคียงกับลักษณะเฉพาะของมือระเบิดในพื้นที่ต่างๆ และใช้ในการดำเนินคดีหากมีการจับกุมผู้ต้องหาหรือผู้ต้องสงสัยได้

ชี้เหตุบึ้มกรุงไม่เกี่ยวไฟใต้

แหล่งข่าวความมั่นคง เผยความคืบหน้าการสืบสวน เหตุการณ์การลอบวางระเบิดหลายจุดในพื้นที่ กทม. เมื่อ วันที่ 1-2 ส.ค.ที่ผ่านมาว่า ในส่วนของ เหตุระเบิด ที่ซอยพระราม 9 แยก 57/1 (ซอยวิเศษสุข) พื้นที่ สน.หัวหมาก มีผู้ได้รับบาดเจ็บ 4 รายนั้น ตำรวจ สน.หัวหมาก ได้ควบคุมตัว นายดนุนัล เลี้ยงสอน อายุ 19 ปี และเยาวชนชาย อายุระหว่าง 15-17 ปี รวม 7 คน เป็นนักเรียนสถาบันอาชีวะแห่งหนึ่ง มาสอบปากคำ พร้อมของกลางระเบิดแบบประดิษฐ์ทำเอง 1 ลูก อาวุธปืนปากกา 1 กระบอก เครื่องกระสุนปืนขนาด .38 จำนวน 1 นัด และอาวุธมีด 2 เล่ม ซึ่งหนึ่งในผู้ต้องหา สารภาพว่าระเบิดปิงปองที่พบ และเกิดระเบิดขึ้นนั้น ทางกลุ่มได้นำไปซุกซ่อนในจุดดังกล่าว

เพื่อเตรียมไว้ป้องกันตัว โดยไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุระเบิดในจุดอื่นๆ แต่อย่างใด เบื้องต้น เจ้าหน้าที่ได้แจ้งข้อหาร่วมกันมีอาวุธปืน และเครื่องกระสุนปืน ร่วมกันมีวัตถุระเบิดไว้ในความครอบครอง และ พกพา ก่อนเตรียมนำตัวผู้ต้องหาทั้งหมดไปขอส่งสถานพินิจฯเพื่อดำเนินคดี

ขณะที่การสอบสวนเหตุการณ์ในจุดอื่นๆ ราว 10 จุด ที่ได้จับกุมตัว นายลูไซ แซแง อายุ 23 ปี และ นายวิลดัน มาหะ อายุ 29 ปี ชาวนราธิวาส ผู้ต้องสงสัยที่นำระเบิดมาวางหน้าป้ายสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้ที่ จ.ชุมพร นั้น ปรากฏว่า ผู้ต้องสงสัย ได้รับสารภาพว่าเป็นคนก่อเหตุที่หน้าป้ายสำนักงานตำรวจแห่งชาติจริง โดยก่อเหตุเพียงแค่จุดเดียว ไม่เกี่ยวข้องกับจุดอื่นๆ และยังไม่เปิดเผยถึงมูลเหตุจูงใจ

"การสอบสวนในเชิงลึก พบว่าผู้ต้องสงสัยมีชื่ออยู่ในแนวร่วมกลุ่มก่อความไม่สงบพื้นที่ชายแดนภาคใต้จริง แต่เป็นเพียงระดับปฏิบัติการ ไม่ใช่ระดับแกนนำอย่างที่มีกระแสข่าว อีกทั้งรูปแบบการก่อเหตุ ค่อนข้างแตกต่างจากในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ ที่เมื่อหลังก่อเหตุแล้วจะมีการประกาศความรับผิดชอบจากทางกลุ่ม แต่เหตุการณ์ที่ กทม. ผู้ต้องสงสัยก็ไม่ทราบเกี่ยวกับการก่อเหตุในจุดอื่นๆ และไม่ประกาศความรับผิดชอบแต่อย่างใด จึงคาดว่า ผู้ต้องสงสัยอาจรับจ้างจากกลุ่มอื่นที่ไม่เกี่ยวกับปัญหาในชายแดนภาคใต้มาก่อเหตุสร้างสถานการณ์เท่านั้น"

นอกจากนี้ ยังมีรายงานว่า รัฐบาลได้สั่งการให้ สตช. ดูแลและให้ความเป็นธรรมแก่ผู้ต้องสงสัยตามหลักสากล โดยไม่มีการซ้อม ตามที่ญาติผู้ต้องสงสัยแสดงความเป็นห่วง พร้อมทั้งกำชับให้ทุกภาคส่วนเร่งตามตัวผู้ก่อเหตุรายอื่นมาสอบสวนหาข้อเท็จจริงและดำเนินคดีต่อไป

ด้านพล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร ที่ปรึกษาพรรคเพื่อไทย ในฐานะ ที่ปรึกษาคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้านและการมีส่วนร่วมของภาคประชาชนที่มี พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง เลขาธิการพรรคประชาชาติ เป็นประธาน กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า การที่ฝ่ายความมั่นคง พยายามเชื่อมโยงเหตุระเบิดในกทม. กับผู้ก่อความไม่สงบใน 3 จังหวัดภาคใต้นั้น แม้เบื้องต้นจะมีภาพของความเชื่อมโยงจากการจับคนร้าย แต่เมื่อเทียบอนุภาพ ระหว่างเหตุที่เกิดขึ้น กทม. กับการลอบวางระเบิดตู้เอทีเอ็ม ในพื้นที่ 3 อำเภอของจังหวัดปัตตานี ในช่วงกลางดึกที่ผ่านมา ยังต่างกันมาก ตนยังให้น้ำหนักของเหตุที่เกิดขึ้นในกทม. เป็นเรื่องการดิสเครดิตรัฐบาล หรือความพยายามเบี่ยงเบนประเด็นจากปัญหาภายในมากกว่า ดังนั้น ในกรณีนี้เจ้าหน้าที่ต้องระมัดระวัง โดยเฉพาะในเรื่องสิ่งบอกเหตุ ถ้าน้ำหนักของพยานหลักฐานในการเชื่อมโยงไม่เพียงพอ จะเป็นอันตรายมาก เพราะนั่นจะเป็นการยั่วยุ ทำให้มีการตอบโต้ ด้วยการก่อเหตุเพื่อแสดงออก และอาจทำให้เหตุการณ์ในพื้นที่ 3 จังหวัดภาคใต้ทวีความรุนแรงขึ้นได้

ระเบิดATM ” ไอแบงก์” ปัตตานี

เมื่อช่วงกลางดึกของคืนวันที่ 3 ส.ค.ที่ผ่านมา หน่วยเฉพาะกิจทหารพราน 43 ฉก.ทพ. 43 ได้รับแจ้งว่า มีเหตุการณ์ก่อกวนในพื้นที่ อ.โคกโพธิ์ จ.ปัตตานี โดยมีเสียงคล้ายระเบิดใน ต.นาประดู่ และพบว่ามีการเผายางรถยนต์ บนถนนสาย 409 บริเวณหน้าโรงเรียนอาซิสสถาน ต.นาประดู่ บริเวณถนนสาย 42 บ้านชะเมา ต.นาเกตุ และ บนถนนสาย 42 แยกตัดคลองชลประทาน บ้านโพธิ์ ต.นาเกตุ อ.โคกโพธิ์ จ.ปัตตานี และโปรยตะปูเรือใบ อีกหลายจุด

ในเวลาไล่เลี่ยกัน ได้เกิดเหตุคนร้ายลอบวางระเบิดหน้าตู้เอทีเอ็ม บริเวณหน้ามหาวิทยาลัยฟาฏอนี บ้านโสร่ง หมู่ 3 ต.เขาตูม อ.ยะรัง จ.ปัตตานี ทำให้ตู้เอทีเอ็มได้รับความเสียหาย กระจกแตก กระจายทั่วบริเวณประตูเข้าออก เจ้าหน้าที่ จึงได้กันเชือกไว้บริเวณจุดเกิดเหตุ ก่อนที่เจ้าหน้าที่ชุดพิสูจน์หลักฐาน จะเข้ามาตรวจสอบ

ต่อมา พล.ต.ต.ปิยะวัฒน์ เฉลิมศรี ผบก.ภ.จ.ปัตตานี และพล.ต.ปิยพงษ์ วงศ์จันทร์ ผบ.ฉก.ปัตตานี นำกำลังพร้อมด้วยชุดเก็บกู้วัตถุระเบิด เข้าตรวจสอบตู้เอทีเอ็ม ของธนาคารอิสลาม พบว่าคนร้ายได้นำระเบิดแสวงเครื่อง บรรจุในถังแก๊สปิกนิก น้ำหนักประมาณ 15 กก. จุดชนวนด้วยการลากสายไฟ แรงระเบิดทำให้ตู้ได้รับความเสียหายอย่างหนัก รวมไปถึงกำแพงของมหาวิทยาลัย เนื่องจากอยู่ติดกัน เจ้าหน้าที่ได้รวบรวมวัตถุพยานในที่เกิดเหตุไว้เป็นหลักฐาน

พล.ต.ต.ปิยะวัฒน์ กล่าวว่า จากการสอบสวนพยานให้การว่า คนร้ายแต่งชุดดำปิดบังใบหน้า พร้อมอาวุธ จำนวน 5 คน ได้บุกเข้ามาในป้อมยามของมหาวิทยาลัย และจับนายฟารุต สาเฮาะ อายุ 53 ปี ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของมหาวิทยาลัย ที่กำลังเข้าเวร มัดมือและเท้าไว้ ข่มขู่ห้ามส่งเสียง และขโมยปืนลูกซองไป คนร้ายอีกชุดนำระเบิดไปวางไว้ที่ ตู้เอทีเอ็ม ก่อนจะลากสายแล้วกดชนวนระเบิดทันที แล้วหลบหนีไป ซึ่งโชคดีที่ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต

หลังจากเข้าตรวจสอบ ได้สั่งการให้ชุดสืบสวนสอบสวนลงพื้นที่เพื่อหาพยานหลักฐานให้มากที่สุด เพื่อประกอบสำนวน และหาความเชื่อมโยงว่าจะเป็นคนร้ายกลุ่มเดียวกันหรือไม่กับที่เคยมีประวัติคดีความมั่นคงในพื้นที่ และเบื้องต้น หลังจากสืบสวนพอจะทราบตัว และกลุ่มแล้ว แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยได้

อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ได้มีการสนธิกำลังร่วมหลายหน่วยเข้าทำการปิดล้อมตรวจค้นพื้นที่เป้าหมายทั้ง 3 อำเภอ ซึ่งเป็นพื้นที่เกิดเหตุอย่างเข้มงวด เชื่อว่าเป็นการกระทำของกลุ่มก่อความไม่สงบพยายามสร้างสถานการณ์ และตอบโต้เจ้าหน้าที่ หลังจากก่อนหน้านี้ ได้มีการจับกุมแกนนำก่อเหตุความไม่สงบ
กำลังโหลดความคิดเห็น