**เหตุการณ์ลอบวางระเบิด และวางเพลิงป่วนกรุงหลายจุดในเวลาไล่เลี่ยกัน เมื่อวันศุกร์ที่ 2 สิงหาคม ที่ผ่านมา แม้ว่าจะไม่สร้างความเสียหายในชีวิตและทรัพย์สินมากนัก แต่ก็สามารถสร้างความเสียหายในด้านภาพลักษณ์ให้กับประเทศได้ไม่น้อย เพราะในช่วงเวลาดังกล่าว เป็นช่วงที่ประเทศไทยในฐานะประธานอาเซียน เป็นเจ้าภาพการประชุม ระดับรัฐมนตรีต่างประเทศในกลุ่มอาเซียน และการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนกับประเทศคู่เจรจา เช่น สหรัฐอเมริกา จีน และญี่ปุ่น เป็นต้น
เรียกว่าเป็นงานใหญ่ ที่มีสื่อต่างประเทศรวมทั้งเจ้าหน้าที่จากทั่วโลก เดินทางเข้ามาร่วมการประชุมดังกล่าวจำนวนมาก และเมื่อเกิดเหตุ ย่อมต้องเป็นข่าวกระจายออกไปทั่วโลกเช่นเดียวกัน
แม้ว่านาทีนี้ยังไม่อาจสรุปได้ว่าเป็นฝีมือใคร หรือยังไม่ปักใจว่า "ฝ่ายไหน" อยู่เบื้องหลังในเหตุการณ์ป่วนเมืองคราวนี้
อย่างไรก็ดี เท่าที่พิจารณาจากน้ำหนักเท่าที่เห็นในเวลานี้เหมือนกับว่า ผู้อยู่เบื้องหลังมีเจตนา "ดิสเครดิต" รัฐบาลชุดนี้ โดยเฉพาะการพ่งเป้าไปที่ "บิ๊กตู่" พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ทั้งในฐานะนายกรัฐมนตรี และในฐานะที่กำกับดูแลงานด้านความมั่นคงอย่างเบ็ดเสร็จ ควบคุมงานทั้งทหาร ตำรวจ และ กรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) อยู่ในเวลานี้
อีกทั้งเหตุการณ์ยังเกิดขึ้นในช่วงก่อนที่นายกฯ จะเดินทางไปมอบนโยบายกับข้าราชการตำรวจ ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติเพียงไม่กี่ชั่วโมง และคนร้ายก็ได้ลงมือวางระเบิดปลอมที่ป้ายสำนักงานตำรวจฯ เรียกว่า มีเจตนาเย้ยกันเห็นๆ และแม้ว่าหลังจากนั้น จะสามารถจับผู้ต้องสงสัยกันแทบจะทันควัน ก็น่าจะทราบเบาะแสเพิ่มเติมตามมาได้
ทันทีที่สิ้นเสียงระเบิด ฝ่ายที่ออกตัวเร็ว เช่น พวกพรรคฝ่ายค้าน ไม่ว่าจะเป็นพรรคเพื่อไทย พรรคอนาคตใหม่ หรือแม้แต่พรรคเสรีรวมไทย แม้จะบางพรรค คือพรรคเพื่อไทย จะออกมาประณามเหตุการณ์ระเบิด แต่ก็มีประเด็นที่น่าจับตาก็คือ กรณีของ คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานยุทธศาสตร์ของพรรค ที่ใช้คำพูดแปลกๆ คือ "ขอประณามคนที่ได้ประโยชน์จากเหตุการณ์ในครั้งนี้" รวมไปถึง พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย ที่ตั้งข้อสังเกตในทำนองว่า อาจเป็นฝีมือของฝ่ายรัฐบาลเพื่อ"จงใจสร้างสถานการณ์" เพื่อหวังผลบางอย่างตามมา ซึ่งก็ถูกตอบโต้กลับมา
**คำพูดของฝ่ายค้านดังกล่าว แม้ยังไม่อาจสรุปได้ว่ามีเจตนาแบบไหน แต่การพูดแบบนี้มองอีกมุมหนึ่งมันก็เหมือนกับว่า "ชิงกล่าวหาคนอื่นก่อน" เพื่อให้อีกฝ่ายต้องชี้แจงก่อน หรือไม่ก็เป็นการ "กลบเกลื่อน" ข้อสงสัยบางอย่างก็เป็นได้
อย่างไรก็ดี หากพิจารณาจากความเป็นจริงเหตุการณ์ลอบวางระเบิดหากบอกว่ารัฐบาลอยู่เบื้องหลังในการสร้างสถานการณ์ และได้ประโยชน์จากเหตุการณ์ดังกล่าว ก็น่าจะสรุปไว้ล่วงหน้าว่า "ไม่น่าจะใช่" เพราะมองด้วยความเป็นจริงแล้ว มัน"ไม่คุ้ม" แม้ว่าจะบอกว่าความเสียหายด้านชีวิตและทรัพย์สินมีไม่มาก แต่ไม่อาจเทียบกันได้ความเสียหายด้านภาพลักษณ์ และเสียเครดิตอย่างแรง และยิ่ง เวลานี้ นายกฯ เป็นผู้ลงมาควบคุมดูแลหน่วยงานด้านความมั่นคงอย่างเบ็ดเสร็จ มันก็เหมือนการหยามหน้ากันโดยตรง
และที่สำคัญ ยังเป็นการลงมือในช่วงที่ไทยเป็นประธานอาเซียน มีการพบปะกับรัฐมนตรีต่างประเทศมหาอำนาจของโลกพอดี มันก็ยิ่งไม่คุ้มค่า และไม่มีทางเป็นไปได้ ดังนั้น การพูดแบบนี้ของพรรคฝ่ายค้าน โดยเฉพาะคำพูดของ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย ที่ด่วนกล่าวหาแบบนี้ถือว่า "ไม่ฉลาด" เอาเสียเลย
อย่างไรก็ดี หากพิจารณาชั่งน้ำหนักว่า น่าจะเป็นฝีมือของ "ฝ่ายไหน" หากมองว่ามีเจตนาที่จะทำลายใคร หรือ "ดิสเครดิต" ฝ่ายไหนในช่วงเวลาแบบนี้ เชื่อว่าคนส่วนใหญ่ก็น่าจะมองออก โดยเฉพาะการ "คงอยู่ของลุงตู่" เพราะยิ่งอยู่นาน มันก็ยิ่งส่งผลกระทบอย่างรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ ในแบบที่ว่าอาจแตกสลายจนค่อยๆ สูญพันธุ์ไปเลยก็ได้ หากสภาพการเมืองยังเป็นอยู่แบบนี้
ขณะเดียวกันสำหรับ "ลุงตู่" หรือ"บิ๊กตู่" เชื่อว่า นาทีนี้คงต้องมีการสั่งการแบบกำชับกันเป็นการภายใน เพื่อรับมือและป้องกันกันอย่างรัดกุมมากขึ้นกว่าเดิม อย่างไรก็ดี ในเมื่อตัวเองเป็นผู้ควบคุมอย่างเบ็ดเสร็จแบบครบวงจร มันก็น่าจะวางใจได้ในระดับหนึ่ง อีกทั้งด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ ที่มีเชื่อว่าสามารถติดตามจับกุมคนร้ายได้ไม่ยากนัก เนื่องจากเชื่อว่าเวลานี้เจ้าหน้าที่ได้เจอ"เบาะแส" และหลักฐานจากคนร้ายได้จำนวนมาก เพื่อเชื่อมโยงไปถึงตัวผู้บงการต่อไป
แต่ที่ต้องจับตาก็คือ การควบคุมรักษาความสงบไม่ให้เกิดเหตุแบบนี้ขึ้นมาอีก ขึ้นอยู่กับว่าจะสามารถป้องกันได้ดีแค่ไหน ขณะเดียวกันงานนี้เฉพาะหน้าต้องจับกุมคนร้ายให้ได้ก่อน เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับชาวบ้าน และยังเป็นการ "สะกด"ไอ้โม่งที่บงการให้อยู่ขอบเขตจำกัด เพราะเป้าหมายเพื่อสร้างความปั่นป่วน ทำลายเครดิต ทำลายเศรษฐกิจ
**แม้ว่าคำพูดที่บอกว่า "ความสงบต้องจบที่ลุงตู่" จะเป็นการเยาะเย้ยที่ไม่สร้างสรรค์ แต่ถ้ายังคุมไม่อยู่ ยังเกิดขึ้นต่อเนื่อง มันก็ยุ่งแน่นอน !!
เรียกว่าเป็นงานใหญ่ ที่มีสื่อต่างประเทศรวมทั้งเจ้าหน้าที่จากทั่วโลก เดินทางเข้ามาร่วมการประชุมดังกล่าวจำนวนมาก และเมื่อเกิดเหตุ ย่อมต้องเป็นข่าวกระจายออกไปทั่วโลกเช่นเดียวกัน
แม้ว่านาทีนี้ยังไม่อาจสรุปได้ว่าเป็นฝีมือใคร หรือยังไม่ปักใจว่า "ฝ่ายไหน" อยู่เบื้องหลังในเหตุการณ์ป่วนเมืองคราวนี้
อย่างไรก็ดี เท่าที่พิจารณาจากน้ำหนักเท่าที่เห็นในเวลานี้เหมือนกับว่า ผู้อยู่เบื้องหลังมีเจตนา "ดิสเครดิต" รัฐบาลชุดนี้ โดยเฉพาะการพ่งเป้าไปที่ "บิ๊กตู่" พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ทั้งในฐานะนายกรัฐมนตรี และในฐานะที่กำกับดูแลงานด้านความมั่นคงอย่างเบ็ดเสร็จ ควบคุมงานทั้งทหาร ตำรวจ และ กรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) อยู่ในเวลานี้
อีกทั้งเหตุการณ์ยังเกิดขึ้นในช่วงก่อนที่นายกฯ จะเดินทางไปมอบนโยบายกับข้าราชการตำรวจ ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติเพียงไม่กี่ชั่วโมง และคนร้ายก็ได้ลงมือวางระเบิดปลอมที่ป้ายสำนักงานตำรวจฯ เรียกว่า มีเจตนาเย้ยกันเห็นๆ และแม้ว่าหลังจากนั้น จะสามารถจับผู้ต้องสงสัยกันแทบจะทันควัน ก็น่าจะทราบเบาะแสเพิ่มเติมตามมาได้
ทันทีที่สิ้นเสียงระเบิด ฝ่ายที่ออกตัวเร็ว เช่น พวกพรรคฝ่ายค้าน ไม่ว่าจะเป็นพรรคเพื่อไทย พรรคอนาคตใหม่ หรือแม้แต่พรรคเสรีรวมไทย แม้จะบางพรรค คือพรรคเพื่อไทย จะออกมาประณามเหตุการณ์ระเบิด แต่ก็มีประเด็นที่น่าจับตาก็คือ กรณีของ คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานยุทธศาสตร์ของพรรค ที่ใช้คำพูดแปลกๆ คือ "ขอประณามคนที่ได้ประโยชน์จากเหตุการณ์ในครั้งนี้" รวมไปถึง พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย ที่ตั้งข้อสังเกตในทำนองว่า อาจเป็นฝีมือของฝ่ายรัฐบาลเพื่อ"จงใจสร้างสถานการณ์" เพื่อหวังผลบางอย่างตามมา ซึ่งก็ถูกตอบโต้กลับมา
**คำพูดของฝ่ายค้านดังกล่าว แม้ยังไม่อาจสรุปได้ว่ามีเจตนาแบบไหน แต่การพูดแบบนี้มองอีกมุมหนึ่งมันก็เหมือนกับว่า "ชิงกล่าวหาคนอื่นก่อน" เพื่อให้อีกฝ่ายต้องชี้แจงก่อน หรือไม่ก็เป็นการ "กลบเกลื่อน" ข้อสงสัยบางอย่างก็เป็นได้
อย่างไรก็ดี หากพิจารณาจากความเป็นจริงเหตุการณ์ลอบวางระเบิดหากบอกว่ารัฐบาลอยู่เบื้องหลังในการสร้างสถานการณ์ และได้ประโยชน์จากเหตุการณ์ดังกล่าว ก็น่าจะสรุปไว้ล่วงหน้าว่า "ไม่น่าจะใช่" เพราะมองด้วยความเป็นจริงแล้ว มัน"ไม่คุ้ม" แม้ว่าจะบอกว่าความเสียหายด้านชีวิตและทรัพย์สินมีไม่มาก แต่ไม่อาจเทียบกันได้ความเสียหายด้านภาพลักษณ์ และเสียเครดิตอย่างแรง และยิ่ง เวลานี้ นายกฯ เป็นผู้ลงมาควบคุมดูแลหน่วยงานด้านความมั่นคงอย่างเบ็ดเสร็จ มันก็เหมือนการหยามหน้ากันโดยตรง
และที่สำคัญ ยังเป็นการลงมือในช่วงที่ไทยเป็นประธานอาเซียน มีการพบปะกับรัฐมนตรีต่างประเทศมหาอำนาจของโลกพอดี มันก็ยิ่งไม่คุ้มค่า และไม่มีทางเป็นไปได้ ดังนั้น การพูดแบบนี้ของพรรคฝ่ายค้าน โดยเฉพาะคำพูดของ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย ที่ด่วนกล่าวหาแบบนี้ถือว่า "ไม่ฉลาด" เอาเสียเลย
อย่างไรก็ดี หากพิจารณาชั่งน้ำหนักว่า น่าจะเป็นฝีมือของ "ฝ่ายไหน" หากมองว่ามีเจตนาที่จะทำลายใคร หรือ "ดิสเครดิต" ฝ่ายไหนในช่วงเวลาแบบนี้ เชื่อว่าคนส่วนใหญ่ก็น่าจะมองออก โดยเฉพาะการ "คงอยู่ของลุงตู่" เพราะยิ่งอยู่นาน มันก็ยิ่งส่งผลกระทบอย่างรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ ในแบบที่ว่าอาจแตกสลายจนค่อยๆ สูญพันธุ์ไปเลยก็ได้ หากสภาพการเมืองยังเป็นอยู่แบบนี้
ขณะเดียวกันสำหรับ "ลุงตู่" หรือ"บิ๊กตู่" เชื่อว่า นาทีนี้คงต้องมีการสั่งการแบบกำชับกันเป็นการภายใน เพื่อรับมือและป้องกันกันอย่างรัดกุมมากขึ้นกว่าเดิม อย่างไรก็ดี ในเมื่อตัวเองเป็นผู้ควบคุมอย่างเบ็ดเสร็จแบบครบวงจร มันก็น่าจะวางใจได้ในระดับหนึ่ง อีกทั้งด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ ที่มีเชื่อว่าสามารถติดตามจับกุมคนร้ายได้ไม่ยากนัก เนื่องจากเชื่อว่าเวลานี้เจ้าหน้าที่ได้เจอ"เบาะแส" และหลักฐานจากคนร้ายได้จำนวนมาก เพื่อเชื่อมโยงไปถึงตัวผู้บงการต่อไป
แต่ที่ต้องจับตาก็คือ การควบคุมรักษาความสงบไม่ให้เกิดเหตุแบบนี้ขึ้นมาอีก ขึ้นอยู่กับว่าจะสามารถป้องกันได้ดีแค่ไหน ขณะเดียวกันงานนี้เฉพาะหน้าต้องจับกุมคนร้ายให้ได้ก่อน เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับชาวบ้าน และยังเป็นการ "สะกด"ไอ้โม่งที่บงการให้อยู่ขอบเขตจำกัด เพราะเป้าหมายเพื่อสร้างความปั่นป่วน ทำลายเครดิต ทำลายเศรษฐกิจ
**แม้ว่าคำพูดที่บอกว่า "ความสงบต้องจบที่ลุงตู่" จะเป็นการเยาะเย้ยที่ไม่สร้างสรรค์ แต่ถ้ายังคุมไม่อยู่ ยังเกิดขึ้นต่อเนื่อง มันก็ยุ่งแน่นอน !!