xs
xsm
sm
md
lg

ออกจากขั้วของความขัดแย้ง แล้วนำประเทศเดินไปข้างหน้า

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


“หนึ่งความคิด”
“สุรวิชช์ วีรวรรณ”

การเปิดแถลงนโยบายของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา แม้จะมีบรรยากาศเก่าของนักการเมืองหน้าเดิมๆที่ใช้น้ำลายเป็นเชื้อเพลิงอยู่บ้างชนิดที่ได้ยินเสียงแล้ว ประชาชนบ่นเบื่อส่ายหน้าเหมือนกับพัดลม แต่ถ้ามองภาพโดยรวมก็ถือว่า สภาชุดนี้มีปรากฏการณ์ดีและนิมิตหมายที่ดีสำหรับสังคมไทยไม่น้อย

โดยเฉพาะเห็นการตอบโต้ที่สร้างสรรค์น้อมรับฟังข้อเสนอของฝ่ายค้านของรัฐบาลทั้งท่าทีของ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย พี่รอง 3 ป. กับ ทิม-พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ที่พอพูดเสร็จหลายคนบอกว่าเอ้ยคนนี้สิ

พล.อ.อนุพงษ์ไม่ได้แสดงออกมาเหมือนมาดของทหารสั่งงานลูกน้องหรือตอบผู้ใต้บังคับบัญชาต่างกับ ป.น้องคนเล็กที่ชักสีหน้าแสดงอารมณ์หงุดหงิดฉุนเฉียวเกรี้ยวกราด แบบอยากถามว่าอะไรจะขนาดนั้น แม้จะได้ใจว่า เข้ามานั่งรับฟังเกือบตลอดเวลาก็ตาม

หรือท่าทีที่เป็นผู้ใหญ่สอนน้องของสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ที่ตอบคำถามของ “ไหม-ศิริกัญญา ตันสกุล” และชวนฝ่ายค้านมาช่วยกันทำงาน ซึ่งเป็นบรรยากาศที่ไม่เคยเห็นมาหลายปีหลังการแตกต่างทางอุดมการณ์ทางความคิดแบ่งออกเป็น 2 ขั้วการเมืองในรอบสิบกว่าปีมานี้ นอกจากนั้นแต่ละสีขั้วการเมืองยังแบ่งซอยเป็นเฉดสีออกไปอีก จนเหมือนสังคมจะไร้ทางออก

แต่บรรยากาศที่เกิดขึ้นในรัฐสภานั้นทำให้เห็นว่าสังคมไทยยังมีทางออกที่จะเดินร่วมทางไปกันได้ โดยมีประเทศไทยที่ดีเป็นเป้าหมายร่วมกัน

ส.ส.พรรคอนาคตใหม่หลายคนอภิปรายได้อย่างน่าชื่นชม มีความรู้ ทำการบ้าน เข้าถึงปัญหา มีข้อเสนอแนะด้วยน้ำเสียงที่สุภาพไม่ก้าวร้าวเหน็บแหนมเชือดเฉือนยั่วยุแบบ ส.ส.รุ่นเก่า

ต่างจากภาพและลีลาของ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคที่มักได้ยินเขาแสดงอารมณ์สุดโต่งผ่านถ้อยคำถือดีมุ่งทลายระบอบเก่าสังคมเก่า ต้องการรื้อถอนโครงสร้างเก่าทำลายจารีตเดิมๆลงให้ได้

กระนั้นต้องยอมรับนะครับว่า พรรคอนาคตใหม่เกือบทั้งหมดได้รับเลือกตั้งมาเพราะกระแสของธนาธรหัวหน้าพรรคคนเดียวที่ถูกสร้างขึ้นมาด้วยแผนการตลาดที่ช่ำชองของทีมงานสร้างภาพ จนดึงดูดคนรุ่นใหม่มาลงคะแนนให้พรรคนี้จำนวนมาก

แต่เชื่อว่านับจากนี้สมาชิกของพรรคนี้หลายคนสามารถแจ้งเกิดสร้างความโดดเด่นคะแนนนิยมให้กับตัวเอง และพาตัวเองออกจากภาพความก้าวร้าวที่มุ่งแต่จะเอาชนะคะคานทำร้ายล้างของหัวหน้าพรรคได้แล้ว

แม้จะเห็นลีลาว่ามี 4-5 คนที่พอเป็นความหวังได้ จาก 80 กว่าคนในสภา ก็ยังหวังว่าคนเหล่านี้จะพาตัวมาสร้างการเมืองในระบบ สู้ในระบบเพื่อใช้ความคิดและข้อเสนอของตัวเองค่อยๆ เปลี่ยนแปลงสังคมไทย ไม่ใช่ท่าทีที่หมิ่นแคลนเหยียดหยามค่านิยมเก่าระบอบเก่าไปเหมือนคนเคียดแค้นที่จะต้องปฏิวัติโค่นล้มให้ได้ในฉับพลันของแกนนำพรรคหลายคน

เราต้องยอมรับว่าสังคมเราไม่ใช่ดินแดนพระศรีอาริย์ที่เพียบพร้อมสมบูรณ์ไปทุกด้าน มีหลายอย่างต้องปรับปรุงแก้ไขเปลี่ยนแปลง ซึ่งมันไม่ใช่หนทางที่สิ้นหวังอะไรที่จะเปลี่ยนแปลงไม่ได้ แล้วเราก็ยังมีหลายด้านที่เป็นความดีงามที่ต้องปกป้องรักษาไว้

อย่าลืมว่าเราหลายคนบรรพบุรุษเป็นคนมาจากที่อื่นทำมาหากินอาศัยแผ่นดินนี้สร้างรากฐานจนมั่นคง อยู่ๆ เราลุกขึ้นมาจะต้องเปลี่ยนแปลงโค่นล้มสังคมเก่าเหมือนทุกอย่างเลวร้ายไปหมดให้ได้ มันคงไม่มีใครยอมได้ง่ายๆ หรอก เพราะอีกด้านก็มีความศรัทธาของบุคคลอื่นอยู่ มันต้องถามตัวเองว่า กูเป็นใครมาจากไหนเสียก่อนที่คนอื่นจะถามว่ามึงเป็นใคร

ค่อยๆ ช่วยกันเปลี่ยนแปลงสังคมแบบค่อยเป็นค่อยไปเถอะครับ ออกจากอารมณ์ความเคียดแค้นสังคมของหัวหน้าพรรคเลขาพรรคโฆษกพรรค แล้วสร้างดาวให้กับตัวเอง ขอชื่นชมในศักยภาพและการเปลี่ยนแปลงโลกทัศน์ใหม่ในสภาครับ

อย่างน้อยหลายคนเหล่านี้ก็สามารถสร้างมุมมองที่ดีให้กับคนที่หวั่นเกรงพรรคอนาคตใหม่จาก3แกนนำของพรรค และหันมามองมุมใหม่ของอนาคตใหม่อย่างมีความหวังมากขึ้น

แม้ผมยังได้ยินเสียงจากฝ่ายตรงข้ามของอนาคตใหม่ยังส่งเสียงว่าอย่าเพิ่งไปไว้ใจคนเหล่านั้น เพราะการเข้าพรรคอนาคตใหม่ก็ย่อมแสดงว่า คนเหล่านั้นต้องมีความคิดและอุดมการณ์เดียวกับหัวหน้าพรรคเลขาธิการและโฆษกพรรค

หรือการถูกขุดคุ้ยลงไปถึงปัญหาความแตกแยกร้าวฉานจนลงมือลงไม้กันในครอบครัวของทิม พิธา แต่ผมคิดว่าเราไม่ควรจะด่วนสรุปกันจนเกินไป เพราะเรื่องแบบนี้อาจมีความซับซ้อนที่คนนอกจะเข้าใจได้

แต่ขณะเดียวกันก็ไม่ได้หมายความว่า เราจะหลงใหลได้ปลื้มในลีลาการอภิปรายของคนเหล่านี้จนตัดสินว่าเขามีความเหมาะสมดีงามไปเสียทั้งหมด เพียงแต่คิดว่าคิดว่าเราต้องทบทวนหันหลังกลับไปฟังเสียงของพวกเขาบ้าง เผื่อว่าจะมีความเห็นร่วมกันที่จะเป็นทางออกพาสังคมไปจากความขัดแย้งได้บ้าง

แต่สุดท้ายแล้วคนเหล่านั้นจะดีชั่วหรือมีความแปรเปลี่ยนไปในทางไหน พฤติกรรมที่แสดงออกของเขาจะปรากฏออกมาให้สังคมตัดสินแบบไม่อาจอำพรางซ่อนเร้นได้แน่นอน แบบว่าหากกระทำกรรมใดเอาไว้ทุกคนก็ต้องรับกรรมนั้น

ผมพูดเสมอว่า สำหรับผมแล้วความเห็นต่างทางการเมืองไม่ใช่เรื่องผิด ใครจะมีอุดมการณ์ทางการเมืองแบบไหนไม่ใช่เรื่องผิด แต่ถ้าอุดมการณ์ของใครขัดต่ออุดมการณ์ของรัฐ เขาก็จะถูกต่อต้านทั้งทางสังคมและถูกดำเนินการทางกฎหมาย

เมื่อไม่กี่วันก่อนผมเจอคุณเพชรวรรต วัฒนพงศศิริกุล ซึ่งตอนนี้เป็น ส.ส.ของพรรคเพื่อชาติ ผมยังพูดกับคุณเพชรวรรตว่าเราเคยต่อสู้กัน เป็นการต่อสู้กันทางความคิดไม่ใช่ความขัดแย้งกันส่วนตัว ไม่ได้โกรธเคืองอะไรกัน ถามว่าตอนนี้มีคดีความมากน้อยแค่ไหน คุณเพชรวรรตบอกมี 14-15 คดี แล้วมีคนถามด้วยว่า ถ้าใครชวนออกมาอีกตอนนี้เอาอีกไหม แกพูดชัดเลยว่า ไม่เอาแล้วครับ สู้กันสองฝ่ายต่างมีคดีติดคุกติดตะรางกันไป

ผมบอกว่า ผมเองก็โดนข้อหาร้ายแรงยังไม่รู้ชะตากรรมข้างหน้าจะเป็นอย่างไร

สิ่งที่เราเห็นแน่นอนก็คือภายใต้ความขัดแย้งทั้งสองฝ่ายมีคนกลุ่มหนึ่งเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ไป

แต่ไม่ใช่ว่าเราจะนิ่งเฉยไม่ดูดายต่อความเป็นไปของชาติบ้านเมืองนะครับสมมติว่า ความซ้ายจัดแบบสุดโต่งของแกนนำพรรคอนาคตใหม่มันกระทบต่อความเชื่อและอุดมการณ์และอาจส่งผลต่อชะตากรรมของชาติ ผมคิดว่าหลายคนก็คงไม่ยอมให้เกิดขึ้นและต้องออกมาสู้รบปรบมือกันอีก สังคมไทยจะต้องปกป้องและปกปักสถาบันและความศรัทธาของตัวเองเอาไว้

ได้แต่หวังว่าเสียงตอบรับจากลูกพรรคอนาคตใหม่ที่แสดงออกมาหลายคนในสภานั้นจะทำให้คนอย่างธนาธร ปิยะบุตร แสงกนกกุล ช่อ-พรรณิการ์ วานิช ได้คิดว่า สังคมไม่ได้ย่ำแย่สุดโต่งแบบที่พวกเขาแสดงถ้อยคำออกมาแต่ละครั้ง เหมือนที่พวกเขาพยายามจะทำลายค่านิยมจารีตสังคมไทยเก่าลงเสียให้หมด ไม่สนความรู้สึกของคนในสังคมอื่นว่าเขามีความเชื่อมั่นศรัทธาต่อสิ่งใดบ้าง และอันไหนเป็นรากเหง้าจารีตประเพณีและพฤติกรรมเฉพาะของสังคมไทยที่จะต้องช่วยกันรักษาเอาไว้

แต่ถ้าเขาสู่ในกรอบด้วยข้อเสนอที่ท้วงติงสังคมไม่ใช่มุ่งจะโค่นล้มทำลาย เขาอาจจะเปลี่ยนแปลงสังคมได้มากกว่า เหมือนที่สมาชิกพรรคอนาคตใหม่ได้รับการชื่นชมในการอภิปรายที่สร้างสรรค์เสนอแนะทางออกให้ผู้ใหญ่ในบ้านเมืองนี้รับฟัง

ผมอยากให้แต่ละฝ่ายเข้าใจว่าความสุดขั้วของแต่ละฝ่ายในสังคมไทยนั้นมันไม่มีทางออกที่ดีให้กับบ้านเมืองเลย นอกจากจะนำความขัดแย้งรุนแรงมากขึ้นไปตามกาลเวลาไม่จบสิ้น ไม่เว้นแต่ขั้วของฝั่งที่มีจุดยืนการเมืองเดียวกับผมที่อยากจะส่งเสียงนี้ออกไป

เราอาจจะทำใจยอมรับไม่ได้กับพฤติกรรมของแกนนำระดับบนของพรรคอนาคตใหม่ เรารู้ว่าธนาธรนั้นเป็นนายทุนของนิตยสารฟ้าเดียวกันที่มีทัศนคติอย่างไรกับสถาบันพระมหากษัตริย์ รวมถึงคำพูดจากระทบเทียบในหลายวาระของเขา เรารู้ถึงพฤติกรรมของปิยบุตร และช่อต่อสถาบันในอดีตนั้นเป็นอย่างไร แต่เราต้องใช้กรอบกติกาของสังคมเป็นตัวปะทะให้เขาเปลี่ยนแปลงทัศนคติของตัวเอง แล้วมาสู้ในกติกาบนเวทีการเมืองในรัฐสภา

ปิยบุตรอภิปรายในรัฐสภาถึงสถาบันพระมหากษัตริย์ว่า “พรรคอนาคตใหม่ พวกเรามีความปรารถนาดีต่อชาติบ้านเมือง พวกเรามีความรักชาติบ้านเมือง รักและเทิดทูนพระมหากษัตริย์ ไม่ได้น้อยไปกว่าพวกท่านและคนกล่าวหาพวกเรา แต่การแสดงออกอาจมีความเหมือนและแตกต่างกัน แต่หัวจิตหัวใจไม่ได้ต่างจากพวกท่าน พวกเราไม่ได้มีความคิดที่จะล้มล้างอะไร ไม่ได้มีความคิดรุนแรง เราเพียงต้องให้บ้านเมืองกลับมาสู่ระบบปกติ กลับมาสู่ระบบประชาธิปไตย กลับมาสู่นิติรัฐให้ได้ ต้องการสร้างฉันทามติร่วมกันเพื่อให้บ้านเมืองออกจากความขัดแย้ง 13 ปีเสียที เราไม่ได้คิดตั้งตนเป็นศัตรูกับกองทัพ เพียงแต่ไม่สนับสนุนการรัฐประหาร”

แม้จะมีบางอย่างยังขัดแย้งระหว่างคำพูดกับพฤติกรรมในอดีตของเขา แต่นี่ก็เป็นพันธสัญญาที่เขาจะต้องกลับมาอยู่ในแถวในทางที่คนไทยทั้งประเทศเชื่อมั่นต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ และหากการแสดงออกของเขาออกนอกเส้นทาง สังคมไทยก็จะต้องกดดันให้เขาออกไป

หรือบางครั้งเขาอาจจะตระหนักได้ว่า การท้าทายต่อศรัทธาของสังคมนั้น อาจนำไปที่ไม่อาจคาดฝัน แม้อาจจะส่งผลลัพธ์อย่างไรในอนาคตแต่ต้องจบลงด้วยความรุนแรงอย่างแน่นอน

ผมเห็นภาพของธนาธรในงานสันนิบาตสโมสร เห็นภาพของปิยบุตรยืนโอภาปราศรัยกับพล.อ.หม่อมเจ้าจุลเจิม ยุคล แม้จะเป็นภาพที่ไม่ได้สะท้อนผลลัพธ์หรือจิตใจใต้ก้นบึ้งที่แท้จริงออกมา แต่มันทำให้เห็นว่าเรายังมีทางออกที่ดีที่จะไม่นำพาประเทศไปสู่ความขัดแย้งที่ถอนตัวไม่ขึ้น

แม้รัฐธรรมนูญฉบับนี้จะเขียนไว้ให้ไม่เป็นประชาธิปไตยที่แท้จริง แต่เราเห็นว่ามันยากที่จะดึงดันเพื่อเปลี่ยนแปลงให้ได้ในฉับพลัน แต่ 5 ปีที่เขียนผูกไว้ให้อำนาจ ส.ว.ที่แต่งตั้งมากับมือ สามารถร่วมโหวตนายกรัฐมนตรีได้ แต่นั่นก็ไม่ใช่นานเกินไปที่จะรอไม่ได้เมื่อเทียบกับระยะเวลาของความขัดแย้งที่ผ่านมา

สำหรับผมแล้วยังเห็นว่าประเทศนี้ยังมีความหวัง และเราจะออกจากความขัดแย้งได้ในอีกไม่นาน

ติดตามผู้เขียนได้ที่ https://www.facebook.com/surawich.verawan


กำลังโหลดความคิดเห็น