xs
xsm
sm
md
lg

รู้รักสามัคคี -สไตล์วิโดโด

เผยแพร่:   โดย: อ.สุดาทิพย์ จารุจินดา อินทร

ประธานาธิบดีโจโค วิโดโด ผู้นำอินโดนีเซีย และพล.ท.ปราโบโว ซูเบียนโต นั่งรถไฟฟ้าใต้ดินสายแรกของกรุงจาการ์ตา
ท่ามกลางบรรยากาศเดือดพล่านที่สหรัฐฯ ที่มีปธน.ที่ยุยงปลุกปั่นให้ชาติแตกแยก-เต็มไปด้วยความเกลียดชังต่อคนกลุ่มน้อยต่างๆ ที่ไม่ใช่ผิวขาว ด้วยคำขวัญของเขาที่ประธานสภาล่างแนนซี เพลโลซี มาเขียนใหม่ให้เข้าใจมากยิ่งขึ้นว่า “Make America White Again” หรือที่ปัญญาชนชั้นนำของสหรัฐฯ มาเขียนใหม่ให้เข้าใจความตั้งใจของทรัมป์ว่า “Make America Hate Again”

ปธน.ทรัมป์มีอาวุธที่อันตรายยิ่ง และแหลมคมทิ่มแทงใจคนยิ่งกว่าหอกดาบหรือลูกปืน นั่นคือ ทวิตเตอร์ ของเขา ที่ส่งตรงไปยังฐานเสียงที่คลั่งไคล้ ด้วยถูกปลุกปั่นให้ไฟแห่งความเกลียดชังลุกโชนในใจผู้รับข้อความทวิตเตอร์ของเขาถึง 60 ล้านคน (หรือเกือบ 20% ของประชากร 330 ล้านของสหรัฐฯ) จนผู้คนเหล่านี้ซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนผิวขาว มีความเกลียดชังดูถูกเหยียดหยามคนผิวสีเพราะถูกปลุกปั่นทุกๆ วัน บางทีวันละ 3-4 ครั้ง จนสามารถแสดงออกถึงความเกลียดชังอย่างออกนอกหน้า เช่น ถ้าเจอคนผิวดำหรือผิวสี (น้ำตาล) จะตะโกนไล่ให้บรรดาคนกลุ่มน้อยเหล่านี้ “ออกไปจากประเทศอเมริกาซะ” ทั้งๆ ที่คนเหล่านี้ โดยเฉพาะคนผิวสีน้ำตาล ที่เป็น Hispanic ที่มาจากอเมริกากลางและอเมริกาใต้มาอยู่แบบผิดกฎหมาย (ประมาณ 11-12 ล้านคน) และเป็นแรงงานที่ทำงานเป็นกระดูกสันหลังของชาติ ทั้งในภาคเกษตรกรรม (เลี้ยงหมู, ไก่, รีดนมวัว ซึ่งคนผิวขาวไม่ยอมทำงานสกปรกเหม็นสาบนี้เลย) และการเพาะปลูกจนถึงเก็บเกี่ยวผักและผลไม้ ซึ่งคนผิวขาวไม่ยอมทำงานนี้

ในภาคก่อสร้าง ก็เป็นบรรดาแรงงานผิวน้ำตาลที่หลบซ่อนอยู่แบบผิดกฎหมาย ที่ก่อสร้างบ้านเรือนให้แก่สหรัฐฯ

ในภาคบริการคือ แรงงานตามร้านอาหาร ทั้งในครัว, ล้างจาน, ประกอบอาหารและบริการลูกค้า รวมทั้งงานทำความสะอาดห้องน้ำ และเช็ดกระจกในตึกระฟ้า...ยังไม่นับในเหมืองเหล็ก, ถ่านหินที่แอบใช้แรงงานผิดกฎหมายเช่นกัน

ทรัมป์ออกมาไล่ ส.ส.หญิงสมัยแรก 4 คน (ที่กำลังกดดันไม่ให้ทรัมป์กระพือความเกลียดชังคนกลุ่มน้อย) ให้ “กลับไปประเทศที่ตนได้จากมา” ทั้งๆ ที่ 3 ใน 4 คนเกิดในสหรัฐฯ และอีกคนก็อพยพเข้ามาตั้งแต่อายุ 12 ขวบ

บรรยากาศในสหรัฐฯ ขณะนี้ คล้ายสมัย Joseph McCarthy วุฒิสมาชิกที่กุเรื่องปลุกปั่นให้คนอเมริกันแตกแยกหวาดระแวงหวาดกลัวเพื่อนบ้าน กล่าวหาผู้คนบริสุทธิ์ว่าเป็นคอมมิวนิสต์ (แม้แต่ดาวตลก Charlie Chaplin ก็ยังโดนข้อกล่าวหานี้ จนต้องรีบเผ่นออกจากสหรัฐฯ) เมื่อช่วงทศวรรษ 1950’s

หันกลับมาดูความพยายามสร้างความสามัคคีในชาติที่ใหญ่สุดในอาเซียน...ประธานาธิบดีสมัยที่ 2 ของอินโดนีเซียคือ Jokowi หรือ Joko Widodo ได้เชิญคู่ปรับที่แข่งขันในตำแหน่งปธน.มาถึง 2 รอบคือ นายพลPrabowo Subianto; (อายุ 67 ปี) แพ้การเลือกตั้ง-แต่ไม่ยอมแพ้ เพราะเขาเป็นถึงอดีตลูกเขยของอดีตปธน.ซูฮาร์โต ที่โกงบ้านกินเมืองทั้งตระกูลอยู่ในอำนาจถึง 33 ปีเต็ม ได้ปล้นทรัพย์สินของชาติมหาศาล และนายพลซูเบียนโตนี่ ก็ร่ำรวยเพราะเป็นลูกเขยของเผด็จการซูฮาร์โตที่มีอำนาจล้นฟ้า

การเลือกตั้งเมื่อเดือนเมษายนจบลงโดยโจโควีได้คะแนนชนะขาดลอยถึง 55.5% แต่นายพลซูเบียนโตไม่ยอมรับคำตัดสินที่คณะกรรมการเลือกตั้งประกาศผล;นายพลซูเบียนโตระดมผู้คน (ใช้เงินจูงใจผู้คนออกมา) เพื่อชุมนุมต่อต้านผลการเลือกตั้ง ถึงกับมีม็อบชนม็อบระหว่างฝ่ายของโจโควี ที่โดนฝ่ายของซูเบียนโตทำร้าย...ตายไป 9 คน

ซูเบียนโต กล่าวหาว่ามีการโกงการเลือกตั้ง นำเรื่องฟ้องศาลและในที่สุด-ศาลเพิ่งได้ตัดสินว่าโจโควีชนะเด็ดขาดไม่มีการโกงเลือกตั้ง

เมื่อวันเสาร์ที่ 13 กรกฎาคม ปธน.โจโควี ได้ติดต่อเชิญนายพลซูเบียนโต ไปนั่งรถไฟด่วน MRT สายแรกของจาการ์ตา ซึ่งซูเบียนโตก็ตอบรับ

เป็นภาพที่ไม่น่าเกิดขึ้น แต่ก็ได้เกิดขึ้นแล้ว ที่ผู้นำอินโดนีเซียที่มีท่าทีอ่อนน้อม และอ่อนโยนไปเชิญคู่แข่งที่แข็งกร้าว มานั่งรถไฟด่วนด้วยกัน ทั้งคู่ใส่เสื้อเชิ้ตสบายๆ ไม่ผูกไท และเมื่อเจอกันก็สวมกอดและจับมือกัน

หลังนั่งสนทนาด้วยกัน 18 นาที ซึ่งทั้งคู่ไม่เคยพบกันเลยหลังเลือกตั้ง จึงมีท่าเคอะเขินเล็กน้อยในตอนต้น แต่ท่าทีอ่อนน้อมของโจโควี (อายุ 58) ก็ทำให้บรรยากาศอบอุ่นเป็นมิตร, ยิ้มแย้มในที่สุด

ปธน.โจโควี กล่าวกับฝูงนักข่าวที่รุมล้อมที่สถานีปลายทาง (คือกลางเมืองจาการ์ตา) ว่า เขารู้สึกดีใจยิ่งที่ท่านซูเบียนโตตอบรับมานั่งรถไฟที่เพิ่งเปิดให้บริการ เพราะ (ผมรู้ว่าท่านซูเบียนโตยังไม่เคยได้นั่งรถไฟนี้) (แปลว่า โจโควีทำการบ้านได้ดีมาก จนรู้ข้อมูลนี้เพื่อหาโอกาสสร้างความปรองดองเป็นมิตรกับศัตรูคู่อาฆาต และแข็งกร้าวมาก)

โจโควียิ้มแก้มแทบปริ เมื่อซูเบียนโตกล่าวว่า “ผมก็มีมารยาทนะ เพราะหลายคนมองว่า ทำไมผมไม่แสดงความยินดีกับโจโควี...ผมเพียงแต่ “รอ” เพื่อจะแสดงความยินดีด้วยตัวเองอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา (ไม่ใช่ผ่านทางโทรศัพท์) ซึ่งวันนี้เป็นโอกาสดียิ่ง-และผมพร้อมเสนอแก่ถ้าท่านปธน.โจโควีจะให้ผมช่วยอะไรก็ยินดียิ่ง”...ขณะที่โจโควีก็กล่าวว่า “ขอบคุณพระเป็นเจ้า ผมรู้ว่าท่านซูเบียนโตยังไม่ได้นั่งรถไฟด่วนนี้...ต่อไปนี้จะไม่มี “คางคก” หรือ “ค้างคาว” (เป็นฉายาแห่งความเกลียดชังที่คนทั้งสองฝ่ายกล่าวหาด้วยความเกลียดชังฝ่ายตรงข้าม)... จะมีก็แต่ตัวครุฑที่เป็นสัญลักษณ์ของชาติเราเท่านั้น “คือรวมเป็นหนึ่งเดียว-ไม่ฝักใฝ่แตกแยก”

เป็นความชื่นมื่นที่เริ่มต้นนับหนึ่งด้วยท่าทีอบอุ่น เป็นมิตร สำหรับประเทศประชาธิปไตยที่ใหญ่สุดของอาเซียน ซึ่งดูท่าทีความเป็นประชาธิปไตยกำลังปักหลักหยั่งรากลึกในประเทศแห่งนี้...ไปไกลกว่าประชาธิปไตยที่ลุ่มๆ ดอนๆ ของไทยหลายเท่านัก


กำลังโหลดความคิดเห็น